บทที่ 59 จดหมายจากมู่อวิ่นเฉิง
แผลที่ได้รับบาดเจ็บ ทางหมอคงจัดการให้เรียบร้อยแล้ว แต่ร่างกายก็ต้องสะอาดอยู่ตลอดเวลา
ถึงแม้เธอจะรู้ว่าตัวเองกำลังดูแลคนป่วย แต่เมื่อต้องถอดเสื้อผ้าของมู่อวิ่นเฉิง เธอก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา
แต่งงานกับเขามานานขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นเรือนร่างทั้งหมดของเขาเลย…
เสี่ยวอวี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เดิมทีตั้งใจจะช่วย แต่เมื่อเห็นใบหน้าของเธอแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ จึงคิดว่าตัวเองคงทำให้เธออึดอัด จึงพูดว่า “พี่สะใภ้ ผมออกไปรอก่อนนะครับ ถ้าต้องการอะไรก็เรียกผมได้เลย”
ทันทีที่พูดจบ เสี่ยวอวี้ก็รีบวิ่งออกไป
เกาซูได้แต่คิดในใจว่า เสี่ยวอวี้กลับมานี่! กลับมาก่อน!
จริง ๆ แล้ว เธออยากให้เสี่ยวอวี้มาช่วยกันผ่านช่วงเวลาลำบากนี้ไป…
แต่ก็ช่างเถอะ!
เธอหลับตา ตัดสินใจกัดฟันสู้ต่อเพียงลำพัง!
บางจุด เธอกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่กล้ามองไปตรง ๆ…
ในที่สุด หลังจากจัดการเสื้อผ้าและผ้าห่มเรียบร้อยแล้ว เธอก็เหงื่อแตกพลั่ก จากนั้นจึงเรียกเสี่ยวอวี้เข้ามาช่วยพลิกตัวมู่อวิ่นเฉิง
เธอจำได้ว่า ถ้าคนไข้ไม่ได้สติ ไม่ควรนอนท่าเดียวเป็นเวลานาน ต้องพลิกตัวบ้าง ไม่อย่างนั้นอาจเกิดแผลกดทับได้
เสี่ยวอวี้เห็นเธอเหงื่อท่วมตัวทั้ง ๆ ที่อากาศหนาวเย็น จึงไม่ได้พูดอะไร เขาเดินไปชงนมอุ่น ๆ มาให้แก้วหนึ่ง
“ขอบคุณนะเสี่ยวอวี้ วางไว้ตรงนั้นเถอะ ตอนนี้ฉันยังไม่อยากดื่ม” เกาซูนั่งลงข้างเตียง จ้องมองใบหน้าของมู่อวิ่นเฉิง ความกังวลในใจก็พุ่งขึ้นมาอีกครั้ง
ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มามากมายขนาดนี้ เขายังไม่รู้สึกตัวอีกเหรอ?
เสี่ยวอวี้เห็นว่าเธอไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร จึงไม่ได้รบกวน เขาเดินออกจากห้องไปทำธุระอย่างอื่นให้เรียบร้อย
เกาซูจับมือของมู่อวิ่นเฉิงไว้แน่น แล้วไล่มองตามเนื้อตามตัวที่เต็มไปด้วยบาดแผล
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจริง ๆ…
ตอนที่เช็ดตัวให้เขาเมื่อครู่ เธอเห็นว่าที่เอวของเขาก็พันผ้าพันแผลเอาไว้ และขาข้างหนึ่งก็ถูกพันด้วยผ้าก๊อซเช่นกัน
นอกจากนี้ เธอยังเห็นรอยแผลเป็นเก่ามากมายบนหน้าอกและแผ่นหลังของเขา…
เขาไปเผชิญกับอะไรมากันแน่นะ…
เกาซูฟุบใบหน้าลงบนมือใหญ่ของเขา คิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ น้ำตาก็ไหลรินออกมาอีกครั้ง
มือของเขาแห้งกร้าน ถึงแม้จะอยู่ในโรงพยาบาลมาหลายวัน ทุกที่เต็มไปด้วยกลิ่นของยา แต่เมื่อเข้าใกล้ฝ่ามือของเขา เธอก็ยังได้กลิ่นที่คุ้นเคยอยู่ เป็นกลิ่นของชีวิต เป็นกลิ่นที่มอบความอบอุ่นให้กับเธอได้เสมอ
ถึงแม้ในใจจะกังวลมาก แต่เธอไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาสองวันหนึ่งคืนแล้ว ประกอบกับความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง การได้ซบหน้าลงบนมือของเขา สูดกลิ่นอายที่คุ้นเคย ทำให้เปลือกตาของเธอหนักอึ้งขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดเธอก็ผล็อยหลับไปในท่านั่ง
เธอเริ่มฝัน…
ภาพในฝันคุ้นเคยและชัดเจนมาก เป็นภาพที่เธอและเพื่อนสาวแต่งตัวจัดจ้านไปเที่ยวเล่นในเมืองหลวง การเดินทางครั้งนั้นทำให้เธอได้เห็นโลกกว้างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โลกที่อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านจวีกงและอำเภอชนบท ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน
แต่ไม่รู้ทำไม ในความฝันเธออยู่ที่เมืองหลวง แต่กลับมองเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านจวีกง
เธอเห็นผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยถือโทรเลขวิ่งหน้าตาตื่นมาที่บ้านตระกูลมู่ อ่านเนื้อหาในโทรเลขให้ฟังพ่อแม่ของมู่อวิ่นเฉิงฟัง หลังจากฟังจบ มู่เฟินก็เป็นลมล้มพับไป
เกาซูได้ยินเนื้อหาในโทรเลข ซึ่งมีใจความว่า ‘มู่อวิ่นเฉิงได้รับบาดเจ็บ ให้มาที่โรงพยาบาลด่วน’ มันช่างเหมือนกับเนื้อหาในโทรเลขที่เธอได้รับคราวนี้ไม่มีผิด…
จากนั้นภาพก็ตัดไปเป็นตอนที่มู่เยว่และมู่เฟินเก็บข้าวของเตรียมตัวออกเดินทาง
แม่สามีร้องไห้ถามพ่อสามีว่า “แล้วเกาซูล่ะ? จะบอกเธอยังไงดี?”
มู่เยว่ทำท่าทางร้อนรนแล้วตอบออกไป “จะไปบอกที่ไหน? แล้วจะไปบอกยังไง?”
แม่สามีได้แต่ตัดใจ และรีบออกเดินทางไปกับสามีในที่สุด
และภาพก็ตัดไปอีกครั้ง กลายเป็นโรงพยาบาล
พ่อแม่ของเธอเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย สิ่งที่พวกเขาเห็นก็เหมือนกับที่เกาซูเห็นในวันนี้ คือมู่อวิ่นเฉิงนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ศีรษะพันด้วยผ้าพันแผล…
เธอไม่รู้ว่าพ่อแม่สามีดูแลเขาในโรงพยาบาลนานเท่าไร แล้วภาพก็ตัดไปอีกครั้ง กลายเป็นงานศพ
เขาไม่ได้ฟื้นขึ้นมาอีกเลย…
ในงานศพ พ่อแม่ของมู่อวิ่นเฉินร้องไห้โฮ ส่วนรูปถ่ายของเขาอยู่ในเครื่องแบบทหาร ดูหนุ่มแน่นและสง่างาม ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
ที่แท้ในชาติที่แล้ว มีหลายสิ่งที่เธอไม่เคยได้เห็น…
และที่เธอไม่รู้ก็คือ ในชาติก่อน มู่อวิ่นเฉิงได้เขียนจดหมายลาตายไว้สามฉบับ
ฉบับแรกถึงพ่อแม่ อีกฉบับถึงพี่เยี่ยน และฉบับสุดท้ายถึงจงอี้
ในจดหมายถึงพ่อแม่ เขาเขียนว่า ‘ลูกชายคนนี้เป็นลูกอกตัญญู ไม่สามารถอยู่ดูแลพ่อแม่ได้อีกแล้ว ขอให้ทั้งสองดูแลสุขภาพ เงินบำเหน็จทั้งหมดขอยกให้มอบให้เกาซู และขอโทษที่ทำให้เธอเสียเวลานานหลายปี’
จดหมายถึงพี่สาวก็เต็มไปด้วยคำขอโทษ ในฐานะเสาหลักของครอบครัว เขาไม่สามารถทำอะไรให้ครอบครัวได้มากนัก และต่อไปก็ไม่มีโอกาสปกป้องครอบครัวได้อีกแล้ว ขอให้พี่เยี่ยนดูแลพ่อแม่แทนเขาที่ล่วงลับ
จดหมายฉบับสุดท้ายถึงจงอี้ เขากำชับให้เด็กน้อยเติบโตเป็นคนดี คำสั่งเสียสุดท้ายคือ ดูแลป้าซูด้วย เมื่อเธอแก่ตัวลง ก็ให้หาเวลาไปเยี่ยมบ้าง
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง…
ไม่แปลกใจเลยที่ตอนที่เธอเปิดร้านอาหารในเมือง เมื่อเจอลูกค้ากินแล้วไม่จ่ายเงิน หรือถูกข่มขู่รีดไถ จงอี้จะปรากฏตัวขึ้นทันที ชี้ไปที่เธอและร้านอาหารพลางพูดว่า “นี่คือป้าของผมและร้านของป้าผม พวกพี่อยากดื่มเหล้าให้มาหาผม ผมเลี้ยงเอง แต่ถ้าพวกพี่คิดจะทำอะไรป้าหรือร้านของป้าผม นั่นเท่ากับเป็นศัตรูกับผม อย่าหาว่าผมไม่เตือนนะ!”
ที่แท้ เขาได้จัดการทุกอย่างให้เธอเรียบร้อยแล้ว
เขารู้ว่าเธอขี้เกียจและรักสนุก จึงให้เงินที่ก้อนนั้นกับเธอ หวังว่าเธอจะไม่ลำบากเรื่องปากท้อง
มู่อวิ่นเฉิงไม่วางใจให้เธออยู่คนเดียว คงรู้ด้วยว่าเธอไม่ใช่คนเรียบร้อย จึงสั่งให้จงอี้คอยดูแลเธอ…
เขาเขียนจดหมายไว้ทั้งหมดสามฉบับ ส่งถึงทุกคนในครอบครัว แม้เขาจะเอ่ยถึงเธอและฝากฝังให้คนอื่น ๆ ดูแล แต่กลับไม่มีจดหมายแม้แต่ฉบับเดียวมาถึงเธอโดยตรง
เป็นเพราะ… เขาไม่มีคำพูดอะไรกับคนอย่างเธออย่างนั้นเหรอ?
เธอไม่คู่ควรที่จะได้รับความดีจากเขาขนาดนี้จริง ๆ…
ในชาติที่แล้ว เธอไม่ได้เจอหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้ายด้วยซ้ำ
แม้แต่ในความฝัน เธอยังรู้สึกเจ็บปวดเหมือนหัวใจจะแตกสลาย ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
มู่อวิ่นเฉิง… ทำไมคุณถึงทำแบบนี้?
ในความฝัน เกาซูร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวโยน แต่แล้วก็ได้ยินเสียงคนเรียกเธอ “พี่สะใภ้! พี่สะใภ้!”
เสี่ยวอวี้?
ในความฝันไม่น่าจะมีเสี่ยวอวี้นี่นา?
เกาซูรู้สึกสับสนทั้งในฝันและในโลกความเป็นจริง ในที่สุดเธอก็สะดุ้งตื่น
หญิงสาวลืมตาขึ้นมา ก็เห็นดวงตาแดงก่ำของเสี่ยวอวี้ที่คลอไปด้วยน้ำตา แต่ในแววตานั้นกลับเต็มไปด้วยความดีใจ “พี่สะใภ้! ผู้กองฟื้นแล้วครับ!”
อะไรนะ!
เกาซูดีใจจนตัวสั่น รีบหันไปมองมู่อวิ่นเฉิงทันที และเธอก็เห็นว่าเขาลืมตาขึ้นแล้ว กำลังจ้องมองมาที่เธอ ร่างกายของเขาดูอ่อนแรงมาก และดูเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ไม่สามารถพูดได้
“อวิ่นเฉิง! อวิ่นเฉิง! อย่าเพิ่งพูดอะไรนะ พักผ่อนก่อนนะ! พักผ่อนเยอะ ๆ! ไม่ต้องรีบพูดอะไรทั้งนั้น! ไม่ต้อง…” เกาซูพูดด้วยความตื่นตระหนก น้ำตาไหลอาบแก้ม ภาพตรงหน้าดูพร่ามัวไปหมด
MANGA DISCUSSION