บทที่ 58 ก่อนอื่น… ต้องเช็ดตัว
การกลับบ้านครั้งนี้ พวกเธอมีสัมภาระมากมาย ทั้งสวัสดิการที่โรงงานแจก ของฝากที่พนักงานเอามาให้ และของที่พวกเธอซื้อจากในเมืองด้วยตัวเอง นอกจากนี้ พวกเธอยังขายเสื้อผ้าไปได้เป็นหมื่นตัว ช่วงปีใหม่ทั้งทีก็ต้องแต่งตัวสวย ๆ กันหน่อย ดังนั้นพวกเธอจึงนำเสื้อผ้ารุ่นใหม่กลับไปหลายชุด เผื่อญาติพี่น้องในครอบครัวอีกด้วย
เนื่องจากของเยอะมาก ตู้เหลียงจึงช่วยเกาซูขนไปส่งที่บ้านตระกูลมู่ หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้อยู่คุยนานสองนาน ก่อนจะรีบพามู่เยี่ยนฟางกลับบ้านไปหาลูกสาวตัวน้อย
เกาซูหยิบเงิน 1,500 หยวน ให้พ่อแม่สามีเพื่อฉลองปีใหม่ มู่เฟินเห็นเงินจำนวนมากขนาดนั้นก็ไม่รับมันเพราะเกรงใจ เกาซูต้องพูดจาโน้มน้าวอยู่นานกว่าจะทำให้เธอรับไว้ได้ จากนั้นก็แจกเสื้อผ้าให้ทุกคน คนละสามชุด!
“เราต้องฉลองปีใหม่อย่างมีความสุขนะคะ!” เกาซูประกาศกร้าวว่าทุกคนต้องใส่เสื้อผ้าใหม่ในวันปีใหม่นี้
ปีนี้ตระกูลมู่เตรียมตัวฉลองปีใหม่อย่างยิ่งใหญ่ พ่อแม่ของมู่อวิ่นเฉิงได้เตรียมเนื้อสัตว์นานาชนิดไว้ พร้อมทั้งซื้อขนมขึ้นชื่อจากในตัวอำเภอมาด้วย พวกท่านบ่นพึมพำว่าไม่รู้ว่าอวิ่นเฉิงจะกลับมาหรือเปล่า
ใช่แล้ว เกาซูก็เฝ้ารอคอยการกลับมาของเขาไม่แพ้กัน…
นับตั้งแต่เจอกันครั้งล่าสุด เวลาผ่านไปกว่าสี่เดือนแล้ว เธอไม่ได้รับข่าวคราวจากเขาเลย…
ทว่า ไม่มีใครคาดคิดว่า ในขณะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายเตรียมฉลองปีใหม่ และตั้งตารอการกลับมาของมู่อวิ่นเฉิงอย่างใจจดใจจ่อ จู่ ๆ ก็มีโทรเลขส่งมาถึงโดยด่วน
เนื้อหาในโทรเลขมีใจความสั้น ๆ ว่า ‘มู่อวิ่นเฉิงได้รับบาดเจ็บ ให้มาที่โรงพยาบาล’
มู่เฟินเกือบจะเป็นลมเมื่อได้ยินเนื้อหาในโทรเลข ส่วนเกาซูก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
บรรยากาศแห่งความสุขที่เคยอบอวลในบ้าน พลันถูกแทนที่ด้วยความวิตกกังวล
ทุกคนไม่มีกะจิตกะใจฉลองปีใหม่อีกต่อไป เกาซูรีบเก็บข้าวของเตรียมตัวเดินทางไปโรงพยาบาลทหารทันที ก่อนออกเดินทาง เธอได้มอบซองแดงให้จงอี้และเกาผิงอันคนละซอง เป็นเงินขวัญถุงสำหรับปีใหม่นี้
ในขณะที่เกาซูกำลังเตรียมตัวออกเดินทาง แขกไม่ได้รับเชิญก็ปรากฏตัวขึ้น นั่นคือ ปิงหว่าน
ปิงหว่านถือห่อผ้าเดินเข้ามาหาเธอ “ได้ยินว่าพี่จะไปเยี่ยมพี่อวิ่นเฉิงเหรอ?”
“อืม” เกาซูหมดอารมณ์ที่จะใส่ใจ จึงตอบสั้น ๆ แค่นั้น เพื่อบอกเป็นนัยให้เธอรู้ว่า ‘อย่าเพิ่งมากวน’
อีกฝ่ายกระตุกรอยยิ้มร้าย กอดอกเดินตรงมา คลี่ห่อผ้าออก ก่อนจะยื่นให้เกาซู “ช่วยเอาเสื้อไหมพรมตัวนี้ไปให้เขาด้วยสิคะ!”
เกาซูมองมันด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะตอบอย่างเย็นชา “อย่าดีกว่า เขามีเสื้อผ้าเยอะแยะ ไม่จำเป็นต้องรับเสื้อจาก ‘คนอื่น’”
แต่ปิงหว่านกลับแสร้งยิ้มแล้วพูดว่า “ถึงเขาจะมีแล้ว แต่ก็คงใส่ตัวเดิม ๆ มาหลายปี น่าจะขาดหมดแล้วล่ะมั้งคะ? ป้าเฟินกับพี่เยี่ยนคงจะถักเสื้อผ้าไม่เป็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพี่เลย ฉันได้ยินชาวบ้านพูดว่า วัน ๆ พี่เอาแต่นอนกินบ้านกินเมือง เขาเป็นผู้ชายคงไม่ปริปากบอกหรอก ถูกไหม”
“ไม่เป็นไรก็คือไม่เป็นไร! เขาอยู่ในกองทัพก็ใส่ชุดเครื่องแบบอยู่แล้ว เธอเป็นภรรยาเขาเหรอ ถึงได้มาคิดแทนแบบนี้” เกาซูไม่อยากเสียเวลาคุยกับเธอแล้ว จึงหันหน้าหนีเตรียมจะขึ้นรถไฟ
หญิงสาวส่งโทรเลขไปบอกเสี่ยวอวี้ว่าเธอจะขึ้นรถไฟขบวนไหน และจะถึงเวลาประมาณเท่าไร หลังจากนั้นก็ออกเดินทางทันที
การเดินทางครั้งนี้ อากาศหนาวเย็นกว่าตอนที่เธอไปเยี่ยมเขาครั้งก่อน เกาซูเตรียมตัวอย่างดี สวมใส่เสื้อผ้าหนาหลายชั้น เตือนตัวเองว่าเธอมาเพื่อดูแลเขา ห้ามป่วย จะได้ไม่เป็นภาระให้อีกฝ่าย
หลังจากเดินทางมาถึงตัวเมืองใกล้กองทัพ เสี่ยวอวี้ก็มารอรับเธอที่สถานีรถไฟตามที่นัดหมายไว้
เกาซูไม่ได้หลับไม่ได้นอนตลอดสองวันหนึ่งคืนบนรถไฟ เพราะความกังวล เมื่อเจอหน้าเสี่ยวอวี้ เธอก็รีบถามเขาทันที “ผู้กองมู่ของพวกเธอเป็นยังไงบ้าง? บาดเจ็บตรงไหน?”
“พี่สะใภ้…” เสี่ยวอวี้มีท่าทางลังเล “คุณไปดูเองดีกว่านะครับ”
เกาซูรู้สึกใจคอไม่ดี นี่มันต้องเรื่องใหญ่แน่ ๆ!
เมื่อนึกถึงชาติที่แล้ว ตอนที่เขาเสียชีวิต เธอไม่ได้สนใจอะไรเลย แม้แต่สาเหตุการตายของเขาก็ยังไม่รู้ และเธอก็ไม่คิดจะหาคำตอบ
ตอนนั้น เขาได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นเหรอ? เป็นเหตุการณ์ครั้งนี้หรือเปล่านะ? หรือเป็นเพราะเธอย้อนเวลามาใหม่ ทำให้เรื่องราวเกิดขึ้นเร็วกว่าเดิม?
ระยะทางจากสถานีรถในเมืองไปถึงโรงพยาบาลทหาร ในเวลานี้ช่างยาวนานเหลือเกิน หนึ่งชั่วโมง ราวกับผ่านไปเป็นปี…
ในที่สุดรถของเสี่ยวอวี้ก็มาถึงหน้าโรงพยาบาล
“พี่สะใภ้ ไปกันเถอะครับ!” เสี่ยวอวี้ช่วยเปิดประตูรถให้
ทว่า ทันทีที่เกาซูลงจากรถ เธอกลับรู้สึกแขนขาอ่อนแรง ยืนทรงตัวไม่อยู่ ร่างกายเหมือนจะทรุดลงไปกองกับพื้นเสียอย่างนั้น
เสี่ยวอวี้รีบเข้าไปประคอง “พี่สะใภ้! พี่สะใภ้ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
เกาซูกัดฟันกลั้นน้ำตา แล้วโบกปฏิเสธ “ไม่เป็นไร ๆ เรารีบไปกันเถอะ!”
แต่เธอจะเดินเองไหวได้อย่างไร? ตลอดทางต้องอาศัยเสี่ยวอวี้พยุงไว้ตลอด
ในที่สุดพวกเธอก็มาถึงหน้าห้องพักผู้ป่วย เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นมู่อวิ่นเฉิงนอนอยู่บนเตียง ศีรษะถูกพันด้วยผ้าพันแผล
“อวิ่นเฉิง! อวิ่นเฉิง!” เธอเรียกเขาเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
มู่อวิ่นเฉิงหลับตาพริ้ม ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ
เห็นแบบนี้ น้ำตาของเกาซูก็ไหลพรากออกมาทันที
“พี่สะใภ้…” เสี่ยวอวี้เรียกเธอเบา ๆ
ทั้งเสี่ยวอวี้และหมอต่างบอกกับเธอว่า นับตั้งแต่ถูกส่งตัวเข้ามารักษา มู่อวิ่นเฉิงก็ยังไม่ได้สติเลย
เสี่ยวอวี้ปลอบใจเธอว่า “พี่สะใภ้ อย่าเสียใจไปเลยครับ ผู้กองมู่จะต้องฟื้นขึ้นมาแน่นอน”
เกาซูพยักหน้ารับ แต่น้ำตาก็ยังไหลอาบแก้มไม่หยุด
เสี่ยวอวี้จะรู้ความกังวลในใจของเธอได้อย่างไร?
ชาติที่แล้ว เขาได้รับบาดเจ็บแบบนี้หรือเปล่า? และหมดสติไปแบบนี้เหมือนกันไหม? ถ้าใช่ ใครกันที่อยู่เคียงข้างเขา? หรือว่าเขาจากไปอย่างโดดเดี่ยว?
เธอไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย…
คิดแล้วก็โกรธตัวเอง
ตอนนั้นเธอกำลังทำอะไรอยู่กันนะ? จริงสิ… เหมือนว่าเธอกำลังเที่ยวเล่นอยู่ในเมืองหลวงกับเพื่อนสาวที่เธอคิดว่าน่าสนใจในตอนนั้น พอกลับมา สิ่งที่รอเธออยู่ที่บ้านตระกูลมู่ก็คือข้าวของเครื่องใช้ของเขา…
เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต หัวใจของเธอก็เจ็บร้าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“มู่อวิ่นเฉิง แม้แต่ฉันยังตายแล้วย้อนมาเริ่มใหม่ได้ ปาฏิหาริย์อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น! คุณต้องผ่านมันไปให้ได้นะ!”
เกาซูรู้ดีว่าต้องดูแลคนป่วยอย่างไร
ในชาติก่อน เธอเป็นเสาหลักของครอบครัว ตั้งแต่พ่อแม่ไปจนถึงหลานชาย รวมทั้งน้องชายและน้องสะใภ้ ใครเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลเธอก็จะเป็นคนดูแล หรือไม่ก็จ้างคนมาดูแล แต่ถึงจะจ้างคน เธอก็จะคอยอยู่เฝ้าตลอด เพราะกลัวว่าคนที่จ้างมาจะดูแลไม่ดี แน่นอนว่า ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดเธอก็เป็นคนจ่าย
แต่ถึงเธอจะทุ่มเทมากแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่ได้รับความจริงใจตอบแทน สุดท้าย… เมื่อเธอล้มป่วยลง สิ่งที่รอเธออยู่ก็คือจุดจบอันน่าสมเพช…
เกาซูตัดสินใจไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้อีก และเริ่มลงมือดูแลมู่อวิ่นเฉิงอย่างคล่องแคล่ว
ก่อนอื่น เธอต้องเช็ดตัวให้เขา
MANGA DISCUSSION