บทที่ 55 จูบทางอ้อม
เธอกำลังจะยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้า แต่ก็ถูกกระชากเสื้อจากทางด้านหลังอย่างแรง ร่างของเธอถูกดึงให้ขยับไปนั่งกลางเบาะหลัง ตรงกับตำแหน่งกระจกมองหลังในห้องคนขับพอดี
“เธอลองดูตัวเองตอนนี้สิ! นี่เหรอที่เธอบอกว่าปกป้องตัวเองได้!?” น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ แฝงไว้ด้วยความโกรธที่พยายามควบคุมอย่างสุดกำลัง
เกาซูมองตามที่เขาบอกก็เพิ่งสังเกตเห็นรอยเล็บข่วนเป็นทางยาวบนใบหน้าและลำคอ รอยแดงจากเล็บที่ตอนแรกไม่รู้สึกอะไร กลับเริ่มส่งความแสบร้อนขึ้นมา คงเป็นเพราะตอนนั้นเธอตื่นเต้นเกินกว่าจะรับรู้ความเจ็บปวดจึงไม่ทันได้รู้ตัว
หญิงสาวจ้องมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก เสียงแผ่วเบาเอ่ยถามอย่างกังวล “นี่… ฉันจะไม่เสียโฉมไปใช่ไหม?”
“ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วเหรอ? มันสายไปแล้วล่ะ!” มู่อวิ่นเฉิงแค่นเสียงเย็นชา
“แล้ว… ถ้าฉันเสียโฉม คุณ… จะรังเกียจฉันไหม?” เธอขมวดคิ้ว มองเขาด้วยแววตาสั่นไหว ริมฝีปากเม้มเข้าหากันอย่างน่าสงสาร
มู่อวิ่นเฉิงไม่รู้ว่าผู้บังคับการต้าที่นั่งอยู่ด้านหน้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับคำถามนี้ แต่ที่แน่ ๆ คือ เหิงอู่ คนขับรถ กำลังพยายามกลั้นเสียงหัวเราะอย่างสุดชีวิต
สีหน้าของมู่อวิ่นเฉิงยิ่งเคร่งขรึมขึ้น เขาทำหน้านิ่งแล้วเอ่ยเสียงแข็ง “รีบลงไปเถอะ รีบไปรักษาที่ห้องพยาบาล”
ได้ยินดังนั้น เกาซูก็ตระหนักได้ว่า พวกเขากำลังจะไปแล้ว!
ช่วงเวลาอันแสนสั้นที่เธอได้อยู่กับมู่อวิ่นเฉิงกำลังจะจบลงแล้ว แม้จะรู้สึกอาลัยอาวรณ์ แต่เธอก็เข้าใจดีว่าไม่อาจรั้งเขาเอาไว้ได้ แค่เพียงได้พบหน้ากันในเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ เธอก็รู้สึกพอใจมากแล้ว…
ทว่า ยังมีเรื่องหนึ่งที่ค้างคาใจ
“แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็จะไม่กลับบ้าน คุณไม่ว่าอะไรหรอกใช่ไหม” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ไม่ว่าอย่างไรเธอก็จะไม่ยอมกลับไป ส่วนพี่เยี่ยนกับพี่เขยจะกลับหรือไม่ เธอไม่สนใจ แต่เธอจะไม่กลับไปอย่างเด็ดขาด
มู่อวิ่นเฉิงเพียงแค่ขมวดคิ้ว ไม่ได้เอ่ยตอบอะไร
แต่เพียงเท่านี้ เกาซูก็เข้าใจแล้วว่า เรื่องนี้เขาคงไม่เห็นด้วย แต่ถ้าเธอยืนกราน เขาก็คงทำอะไรไม่ได้
นั่นเท่ากับว่าเขาอนุญาตแล้ว!
ความยินดีก่อตัวขึ้นในใจ เธอมองใบหน้าด้านข้างที่เคร่งขรึมของเขา ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าหล่อเหลา
น่าเสียดายที่จะต้องแยกจากกันแล้ว…
ดวงตาของเกาซูกลอกไปมา ก่อนจะหยุดลงที่ผู้บังคับการต้า
ทันทีที่เห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของเธอ มู่อวิ่นเฉิงก็รู้ทันทีว่าเธอกำลังคิดแผนอะไรบางอย่าง และเป้าหมายของเธอก็คือเจ้านายของเขา!
เขากำลังจะเอ่ยปากห้าม แต่เกาซูกลับเร็วกว่า
“ผู้บังคับการต้าคะ ขออนุญาตกอดอวิ่นเฉิงหน่อยได้ไหมคะ?”
มู่อวิ่นเฉิงแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี!
วินาทีถัดมา เสียงหัวเราะก็ดังลั่นขึ้นภายในรถ
เหิงอู่ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ถึงกับหัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา
ผู้บังคับการต้าพยายามรักษาสีหน้าเอาไว้ แต่ก็อดกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่อยู่ เขาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เราคงต้องไปหาอะไรกินกันก่อน ผู้กองมู่ พาภรรยานายไปกินอะไรก่อนเถอะ แล้วเราค่อยมาเจอกันอีกที”
เสียงหัวเราะยังคงดังก้องอยู่ในอากาศ แม้รถจี๊ปจะแล่นพาผู้บังคับบัญชาออกไปไกลแล้ว แต่เกาซูก็ยังรู้สึกผิด เธอเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อของมู่อวิ่นเฉิงเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยขอโทษ “ขอโทษนะ… ฉัน… ไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติตัวในฐานะภรรยาทหาร เลยทำให้คุณต้องอายคนอื่น…”
“ไม่เป็นไร” มู่อวิ่นเฉิงตอบ แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย “ไปกินข้าวกันเถอะ แล้วก็พาฉันไปดูโรงงานด้วย”
“อืม ได้!” เกาซูพยักหน้ารับ ก่อนจะจูงมือเขาเดินไปยังโรงอาหารของโรงงาน
ทว่า มีคนสองคนยืนอยู่ใกล้ ๆ โดยที่ทั้งคู่ไม่ทันสังเกตเห็น นั่นคือ มู่เยี่ยนฟางและตู้เหลียง
เมื่อเห็นน้องชายและน้องสะใภ้เดินเข้าไปในโรงอาหาร มู่เยี่ยนฟางก็อยากจะรีบตามไป เธอกำลังจะอ้าปากเรียก แต่ก็ถูกตู้เหลียงคว้ามือไว้เสียก่อน
“จะทำอะไรน่ะ?”
มู่เยี่ยนฟางตอบเสียงเข้ม “ฉันจะไปคุยกับน้องชายฉันหน่อย!”
เธอกำลังจะตะโกนอีกครั้ง แต่ตู้เหลียงก็รีบเอามือปิดปากเธอไว้ทันที
“หยุดเลยนะ! ปล่อยให้พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันตามลำพังกันสักพัก!” ตู้เหลียงรู้สึกหมดคำพูดกับความดื้อรั้นของภรรยา “พวกเราสองคนไปกินข้าวข้างนอกกันเถอะ”
“ไปร้านอาหารเหรอ? มันต้องเสียเงินตั้งเยอะแยะนี่!” แค่คิดว่าต้องจ่ายเงินให้ร้านอาหาร มู่เยี่ยนฟางก็อดเสียดายไม่ได้
“ฉันเลี้ยงเอง”
มู่เยี่ยนฟางขมวดคิ้ว “คุณเลี้ยงก็เท่ากับใช้เงินฉันอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?” แม้จะพูดแบบนั้น แต่เธอก็ยังเดินตามตู้เหลียงไปยังร้านอาหารเล็ก ๆ หน้าโรงงาน
ตลอดเวลาที่นั่งกินข้าวด้วยกัน มู่อวิ่นเฉิงไม่ได้พูด หรือถามอะไรเกาซูเลย
ด้วยนิสัยเงียบขรึม และมีเลือดทหารอยู่ในกายอย่างเต็มร้อย ทำให้มู่อวิ่นเฉิงมีนิสัยกินข้าวเร็วและไม่พิลี้พิไล
เจ้านายของเขาให้เวลาไม่มากนัก เดินเข้าโรงอาหารมาก็กินเวลาไปตั้งห้านาทีแล้ว เดี๋ยวต้องเดินออกไปอีกห้านาที ข้าวจานนี้เขาใช้เวลาแค่สามนาทีก็กินหมด ระหว่างนั้นยังแบ่งเนื้อในชามให้เกาซูเพิ่้มอีก
เกาซูมองชามเนื้อแล้วรู้สึกร้อนรน “อย่าเอามาให้ฉันสิ! ฉันกินช้ากว่าคุณอยู่แล้ว คุณยังให้ฉันเยอะขนาดนี้อีก ฉันกินไม่หมดหรอกนะ!”
เกาซูเห็นชามของเขาว่างเปล่าแล้ว เธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องรีบกินคำโต ๆ ถ้าเธอไม่รีบ พอเขากินเสร็จก็จะไปแล้ว!
ผลก็คือ เธอต้องพบการสำลัก
“ผู้กองครับ!”
ทันใดนั้น เสี่ยวอวี้ที่เพิ่งกลับจากจัดการเรื่องก็โผล่มาพร้อมกับยื่นน้ำให้กับมู่อวิ่นเฉิง
ชายหนุ่มรับกระบอกน้ำมาเปิดฝา แล้วป้อนน้ำให้เกาซู แต่เธอไม่กล้าดื่มในทันที ได้แต่สะอึกมองมันด้วยแววตาหวาดระแวง
“ของฉันเอง!” มู่อวิ่นเฉิงบอก
“อ้อ…” เกาซูรีบเปิดกระบอกน้ำแล้วดื่มทันที
เมื่อครู่เธอสงสัยว่า กระบอกน้ำนี้เป็นของใคร ถ้าเป็นของเสี่ยวอวี้ เธอคงไม่กล้าดื่ม แต่เมื่อเป็นของมู่อวิ่นเฉิง… เป็นของสามีเธอ เกาซูก็รู้สึกโล่งใจ
ทว่าหลังจากดื่มจนหมดแล้ว เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมา
เธอกอดกระบอกน้ำไว้ แล้วเข้าไปใกล้ ๆ ถามมู่อวิ่นเฉิงเสียงเบา “คุณใช้กระบอกน้ำนี้ดื่มน้ำตลอดทางเลยเหรอ”
“อืม แต่เธอดื่มเถอะ ดื่มหมดแล้วค่อยเติมก็ได้”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่คำพูดนั้น กลับทำให้คนฟังถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความขวยเขิน
“อะไร? ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้น” มู่อวิ่นเฉิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ปะ… เปล่า…”
“ถ้าไม่มีอะไร แล้วเธอจะทำหน้าแบบนั้นทำไม”
เกาซูหลบสายตา เมื่อครู่นี้ เธอเผลอคิดอะไรเกินงามกับสามีในขณะที่นั่งอยู่ท่ามกลางคนมากมายได้อย่างไร น่าอายจริง ๆ!!
เธอจะให้เขารู้ไม่ได้ว่า เมื่อครู่นี้… เธอเผลอดีใจที่ได้จูบทางอ้อมกับสามี
“พูดออกมา!” คำสั่งสั้น ๆ แต่เฉียบขาด มีเพียงคำเดียว แต่กลับมีอำนาจข่มขู่อย่างมาก
มือของเกาซูที่กำลังถือกระบอกน้ำอยู่สั่นเทาเล็กน้อย เธอรีบพูดออกมาทันที “เอ่อ… การที่ฉันดื่มน้ำจากกระบอกเดียวกับคุณ มันก็เหมือนการจูบทางอ้อมไม่ใช่เหรอ?”
“…”
มู่อวิ่นเฉิงถึงกับนิ่งอึ้ง
ขณะเดียวกัน เสี่ยวอวี้ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็หน้าแดงก่ำพลอยเขินไปด้วย
เสี่ยวอวี้ได้แต่ลอบคิดในใจ ‘ฉันเป็นหุ่นไม้ ฉันเป็นหุ่นฟางข้าว ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ฉันไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น…’
“เกาซู! นี่เธอ…” มู่อวิ่นเฉิงถึงกับหมดคำจะพูด
“เห็นไหม ๆ คุณกำลังจะดุฉันอีกแล้ว”
“เอ่อ… อะแฮ่ม…” เสี่ยวอวี้กระแอมออกมาเบา ๆ เพื่อขัดบรรยากาศที่จะคุกรุ่นในอนาคต “ผู้กอง… ผมเอายามาด้วย… รีบทาให้พี่สะใภ้สิครับ”
MANGA DISCUSSION