บทที่ 43 ยิ่งกว่าพี่น้อง
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ” แม้มู่เยี่ยนฟางจะโกรธมาก แต่ก็เลือกที่จะกลืนความรู้สึกลงคอไป เพราะเกรงใจน้องสะใภ้ กลัวว่าเกาซูจะอายคนอื่น ๆ ที่มองมา
“ไม่ได้!! ฉันสั่งอาหารมาแล้ว ฉันจะกินแบบไหนมันก็เรื่องของฉัน! พวกคุณมีหน้าที่ทำอาหารก็ทำไปสิ จะมาตั้งคำถามไร้มารยาทแบบนี้กับลูกค้าทำไม”
ชาติก่อนเกาซูเคยทำธุรกิจร้านอาหาร แม้จะไม่ชอบลูกค้าที่สร้างปัญหาโดยไม่มีเหตุผล แต่พนักงานก็ต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้า ถ้าไม่เคารพลูกค้า พนักงานแบบนี้ก็ไม่สมควรจะทำงานต่อไป
“มีอะไรเหรอ?” เจ้าของร้านเดินมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
เกาซูมองชายอ้วนสูงวัยที่ตนเองเคยเรียกว่า ‘ลุง’ คนนี้ แล้วแจ้งความต้องการอย่างสุภาพ เมื่อเจ้าของร้านได้ยิน ก็รีบเอาจานกลับไปปรุงเมนูใหม่ทันที พร้อมกล่าวขอโทษพวกเขาด้วย
“พี่เยี่ยน ถ้าไม่ชอบก็ควรจะบอกเขาไปตามตรง ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลย” เกาซูนั่งตัวตรง สังเกตเห็นคนรอบข้างกำลังวิพากษ์วิจารณ์ “ใครมันจะนินทาอะไรก็เรื่องของมันเถอะ เพราะถึงยังไงเราก็มีเงิน มีปัญญากินของแบบเดียวกับที่พวกมันกินก็แล้วกัน”
มู่เยี่ยนฟางหลุดหัวเราะออกมา
“ฉันแค่… กลัวว่าจะถูกหัวเราะเยาะว่าเป็นคนบ้านนอกน่ะ ที่สำคัญ ฉันกลัวเธอจะอายคน” เธอพูดอย่างเขินอาย
“คนบ้านนอกแล้วไง คนบ้านนอกก็กินข้าวที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง น่าภูมิใจจะตายไป!” เกาซูพูด
“พูดได้ดีมาก” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
เกาซูหันกลับไปมอง ก็พบว่าเป็นเจ้าของร้านที่ยกบะหมี่กุ้งล็อบสเตอร์ร้อน ๆ มาเสิร์ฟด้วยตัวเอง
“ต้องการอะไรเพิ่มไหมครับ” เจ้าของร้านถามหลังจากวางอาหารลง
“ไม่มีแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ”
หลังจากนั้น พวกเขาเสิร์ฟปูยักษ์นึ่งและของหวาน มู่เยี่ยนฟางชอบทานทั้งหมด
ตอนจ่ายเงิน มู่เยี่ยนฟางถึงกับตาโต แพงขนาดนี้เลยเหรอ!
“นี่ซื้อเนื้อได้ตั้งกี่กิโล! ที่สำคัญ มื้อนี้มื้อเดียว แต่เราสามารถเอาไปกินดี ๆ ได้อีกตั้งหลายมื้อเชียวนะ” เธอกระซิบกับเกาซู
“ก็แค่มาเปิดหูเปิดตา ไม่ได้กินทุกมื้อสักหน่อย ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่เยี่ยน” เกาซูพูด “ไปกันเถอะ เราไปเดินห้างกันดีกว่า!”
เกาซูซื้อขนมหวานที่เก็บไว้ได้นานสองสามวันมาสองชิ้น เพื่อนำกลับไปฝากเด็ก ๆ ระหว่างที่เดินออกจากร้านอาหาร มีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาชน เกือบจะทำให้ขนมในมือเกาซูหล่น
“ขอโทษครับ!” ชายหนุ่มรีบขอโทษ แล้วตะโกนเข้าไปในร้าน “พ่อ! ตกลงพ่อจะให้ผมไปหรือไม่ให้ไปกันแน่!”
เกาซูเห็นภาพชายหนุ่มคนนี้ ก็อดที่จะยิ้มและส่ายหัวไม่ได้ ยังคงเป็นวัยรุ่นหัวรั้นคนเดิมไม่มีผิด!
“ไปกันเถอะ” เกาซูพามู่เยี่ยนฟางและตู้เหลียงเดินไปที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ
การเดินชมร้านค้าต่าง ๆ ทำให้มู่เยี่ยนฟางตื่นตาตื่นใจมาก แต่เมื่อเข้าไปในร้าน เห็นสินค้ามากมาย เธอกลับไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรดี
เกาซูหยุดอยู่ที่ร้านเครื่องสำอาง เลือกซื้อครีมบำรุงผิวหน้า
เธอซื้อให้ตัวเองและน้องสาว
และยังเลือกซื้อชุดเดรสให้มู่เยี่ยนฟางอีกหนึ่งชุด
“นี่… ฉันมีส่วนด้วยเหรอ” มู่เยี่ยนฟางพูดอย่างเขินอาย “ฉันไม่เคยของแบบนี้เลย”
“ลองใช้ดูสิคะ เป็นผู้หญิง ต่อให้มีสามีแล้วก็ไม่ควรปล่อยเนื้อปล่อยตัว” เกาซูพูด ก่อนจะค่อย ๆ โน้มไปกระซิบข้างหูมู่เยี่ยนฟาง “ถือว่าทำเพื่อมัดใจพี่เขยไงคะ”
หญิงที่เกิดในชนบทส่วนใหญ่ ล้วนต้องทำงานกลางทุ่งนา ผิวจึงมักจะถูกแดดเผา จนลอกเป็นขุย ผิวคล้ำเสียก็เป็นเรื่องธรรมดา
มู่เยี่ยนฟางไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแต่ส่งสายตาให้ตู้เหลียงอย่างเงียบ ๆ
ตู้เหลียงก็เข้าใจความหมาย จึงเดินออกไป ดังนั้น เมื่อเกาซูไปชำระเงิน พนักงานขายจึงแจ้งว่ามีคนจ่ายเงินไปแล้ว
นาทีนั้น เกาซูก็รู้ได้ในทันทีว่า พี่เขยเป็นคนจ่ายไปก่อนแล้ว
“พวกพี่นี่จริง ๆ เลย!” เกาซูไม่เคยคิดถึงปัญหาค่าใช้จ่ายในการออกมาข้างนอกเลย แต่การกระทำของมู่เยี่ยนฟางและสามีก็ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ต่างจากน้องชายและหลานชายในชาติก่อนที่เอาแต่เรียกร้องจากเธออยู่เสมอ
มู่เยี่ยนฟางยิ้มอย่างเขินอาย “ใคร ๆ ก็ต้องทำงานหาเงินเพื่อตัวเอง จะให้เธอเอาเงินตัวเองมาจ่ายแทนฉันได้ยังไง ฉันยังเป็นพี่สาวนะ!”
เกาซูรู้สึกสบายใจมากขึ้น เธอเดินกลับโรงแรมพร้อมกับข้าวของมากมาย
หลังจากใช้เวลาหนึ่งวันในการจับจ่ายซื้อของในเมืองหลวง ในวันถัดมา ผู้จัดการโรงงานจิ้งก็เดินทางมาถึง พร้อมกับหนังสือแนะนำตัวจากโรงงานและตราประทับ
เขาเซ็นสัญญากับร้านเป่าเป้ยอย่างราบรื่น จากนั้นก็เซ็นสัญญาจ้างงานชั่วคราวกับเกาซูในฐานะนักออกแบบประจำโรงงาน
“คุณเกาซู เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคเฟื่องฟู คุณทำงานอย่างมั่นใจได้เลย! ส่วนเรื่องอื่น ๆ ผมจะจัดการเอง” การมาครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้จัดการโรงงานจิ้งได้เห็นความสำเร็จของเสื้อผ้าที่เกาซูออกแบบ ขายดีในร้านเป่าเป้ยและห้างสรรพสินค้าอื่น ๆ แต่ยังได้เห็นถึงความเฉียบแหลมและพรสวรรค์ในการออกแบบเสื้อผ้าของเธอ เขาทำงานในวงการเสื้อผ้ามาทั้งชีวิต จึงรู้สึกชื่นชมคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถอย่างเกาซูเป็นอย่างมาก
เกาซูยังเสนออีกว่า ด้วยปริมาณงานที่มาก และระยะเวลาที่จำกัด เธอคนเดียวคงไม่สามารถจัดการได้ทั้งหมด จึงหวังว่าทางโรงงานจะรับมู่เยี่ยนฟางและสามีเข้ามาเป็นลูกจ้างชั่วคราวด้วย และจ่ายเงินเดือนตามอัตราค่าจ้างของพนักงานชั่วคราวก็พอ
ผู้จัดการโรงงานตกลงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เกาซูคิดว่า มู่เยี่ยนฟางและสามีจะได้รับเงินเดือนจากโรงงาน ได้เรียนรู้งาน และยังจะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเธออีกด้วย แต่เธอไม่ได้พูดออกไป เพราะในชาติก่อน เธอจริงใจกับคนอื่นมากเกินไป จนทำให้ต้องเสียเปรียบอยู่เรื่อย ในชาตินี้เธอจึงต้องฉลาดขึ้น และจะคอยสังเกตการณ์ไปสักระยะหนึ่ง
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เกาซูก็เดินทางกลับบ้าน
ทางโรงงานจะเริ่มผลิตเสื้อผ้าแบบเดิมจำนวน 1,200 ชิ้นก่อน เพราะมีแบบร่างและตัวอย่างเรียบร้อยแล้ว เกาซูจึงไม่จำเป็นต้องรีบไปที่โรงงาน เธอวางแผนจะกลับบ้านก่อน แล้วค่อยไปตรวจสอบสินค้าล็อตแรกในวันพรุ่งนี้อีกทีหนึ่ง
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตู้เหลียงใจร้อน เป็นกังวลเรื่องโรงงานมากกว่าเกาซู “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลย ไปกับผู้จัดการจิ้ง ฉันต้องไปดูแลการเริ่มงาน กลัวว่าพวกเขาจะไม่มีประสบการณ์ แล้วทำผิดพลาดเอาได้”
เกาซูครุ่นคิด แล้วก็เห็นด้วย ยอมให้ตู้เหลียงไปก่อนก็ดี ยังไงเธอก็ต้องการฝึกฝนเขาให้เป็นมือขวาอยู่แล้ว ถือว่าเป็นประสบการณ์อันเหมาะสม
ดังนั้น มีเพียงเกาซูและมู่เยี่ยนฟางที่เดินทางกลับบ้าน
เมื่อกลับถึงบ้าน สิ่งแรกที่เกาซูทำคือการตรวจการบ้านของจงอี้และน้องสาว
ระหว่างตรวจ เธอก็พบความผิดปกติในการบ้านของจงอี้ ตอนที่เธอมอบหมายการบ้าน ก็จงใจออกโจทย์การบวกเลข โดยใช้ตัวเลขที่มีมากกว่าสิบหลัก แต่จงอี้กลับสามารถหาคำตอบได้อย่างถูกต้อง
เกาซูเรียกจงอี้มาสอบถาม เธอคิดว่าจงอี้อาจจะใช้วิธีนับเม็ดถั่ว แต่ปรากฏว่า จงอี้อธิบายวิธีคิดได้อย่างชัดเจน
จงอี้อายุเพียงแค่ห้าขวบกว่า ๆ เท่านั้น แต่กลับสามารถบวกเลขได้เก่งขนาดนี้ นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
“พี่เกาผิงอันสอนเธอใช่ไหม” เกาซูคิดว่าน้องสาวเป็นคนสอน
จงอี้รีบส่ายหน้า
เขาดูตื่นเต้นเล็กน้อย “มัน… มันผิดเหรอครับ”
“ไม่ผิดหรอก ทำได้ถูกต้องเลยล่ะ วิธีคิดก็ดีมาก คิดเองเหรอ” เกาซูถามย้ำ
จงอี้เริ่มรู้สึกลนลานเล็กน้อย แล้วตอบอ้อมแอ้ม
“ชะ… ใช่… ครับ”
“ดีมาก ต่อไปก็ตั้งใจแบบนี้อีกแล้วกันนะ”
เกาซูชมเชยเด็กน้อย แล้วเตรียมตัวทำอาหาร
“จงอี้ อยากกินอะไรเหรอ?” เกาซูถาม
จงอี้ทำตาโตแล้วพูดว่า “อยากกิน… ขนมหวานครับ”
ขนมหวาน…
เกาซูได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับ
MANGA DISCUSSION