บทที่ 35 หรือว่ามู่อวิ่นเฉิงเป็นหมัน!?
ด้วยความสนใจ เกาซูจึงเดินออกไปดู เด็ก ๆ หลายคนกำลังสนุกสนานกับการปาหิมะ ก้อนหิมะสีขาวลอยไปลอยมา ก่อนที่ก้อนหนึ่งจะพุ่งเข้าใส่เธออย่างจัง
“เหิงอู่! ปาหิมะมั่วซั่วอีกแล้วนะ! รีบขอโทษเดี๋ยวนี้เลย!” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับทำสีหน้าคาดโทษเจ้าเด็กน้อยไว้
จากนั้นก็มีเสียง “ขอโทษครับ” ดังมาจากมุมใดมุมหนึ่ง เด็ก ๆ กลุ่มนั้นวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง แม้แต่เกาซูเองก็ยังงงว่าเกิดอะไรขึ้น
“เธอคือภรรยาของผู้กองมู่ใช่ไหม?” หญิงสาวอายุราว ๆ 27 ถึง 28 ปี เดินเข้ามาหาเกาซูพร้อมรอยยิ้ม เธอคือคนเดียวกับที่ตะโกนใส่เด็กชายเมื่อครู่
ฝ่ายเกาซูก็ยิ้มรับอย่างเป็นมิตร “ใช่ค่ะ สวัสดีค่ะ”
“ฉันชื่อหวางเฟยอวี้ สามีของฉันสนิทกับผู้กองมู่มาก ได้ยินว่าเธอมาพักที่นี่ ก็เกรงใจ กลัวจะรบกวน เลยยังไม่ได้แวะมาทักทาย ตอนนี้เธอว่างไหม? ไปนั่งคุยกันที่บ้านฉันหน่อยไหมล่ะ มีภรรยาทหารคนอื่น ๆ อยู่ด้วยนะ” หวางเฟยอวี้เอ่ยชวนอย่างกระตือรือร้น
“ได้สิคะ” เกาซูก็ตอบตกลงทันที
หวางเฟยอวี้ก็เป็นภรรยาทหารเช่นกัน เธอมีบ้านพักเป็นหลักเป็นแหล่งอยู่ในเขตที่อยู่อาศัยสำหรับครอบครัวทหาร ต่างจากเกาซูที่พักอยู่ในอาคารรับรองชั่วคราว ทำให้เธอรู้สึกอิจฉาอยู่บ้าง
แต่จะโทษใครได้ล่ะ? ก็ต้องโทษตัวเองนี่แหละ
ความจริงในชาติที่แล้ว มู่อวิ่นเฉิงเคยเอ่ยปากชวนเธอให้จดทะเบียนสมรสเป็นภรรยาทหาร แต่เธอปฏิเสธไป
ตอนนั้น เธอไม่ได้ชอบเขาเลยสักนิด แถมยังรู้สึกว่าชีวิตในค่ายทหารช่างน่าเบื่อ ไม่มีสีสันเหมือนชีวิตข้างนอก แล้วเธอจะยอมมาได้อย่างไร?
หวางเฟยอวี้พาเกาซูเข้าไปในบ้าน ภายในนั้นมีผู้หญิงหลายคนนั่งอยู่เต็มห้อง เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจ บนโต๊ะมีขนมขบเคี้ยววางอยู่ บรรยากาศเต็มไปด้วยความครื้นเครง
หวางเฟยอวี้แนะนำเกาซูให้ทุกคนรู้จัก ผู้หญิงเหล่านั้นล้วนเป็นมิตรและเข้ากับคนง่าย ไม่นานเกาซูก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของวงสนทนา เธอนั่งกินเมล็ดแตงโมพลางฟังพวกเธอคุยกัน
ในฐานะสมาชิกใหม่ เกาซูยังไม่รู้อะไรมากนัก เธอจึงตั้งใจฟังหญิงสาวเหล่านั้นคุย จำหน้าค่าตา พร้อมกับรับหน้าที่กินเมล็ดแตงโมไปเรื่อย ๆ
เรื่องที่พวกเธอคุยกัน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องทั่ว ๆ ไปในค่ายทหาร ไม่มีเรื่องชาวบ้านตบตีแย่งผัวแย่งเมีย มีแต่เรื่องเด็ก ๆ ซุกซนแล้วก่อเรื่องวุ่นวาย
คุยกันไปคุยกันมา หัวข้อก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องของการบาดเจ็บ
มีคนพูดขึ้นมาว่า วันนี้เพื่อนอีกคนหนึ่งไม่ได้มาร่วมวงสนทนา เพราะสามีของเธอได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยระหว่างการฝึก
จากนั้น ผู้หญิงเหล่านั้นก็เริ่มเล่าถึงประสบการณ์การบาดเจ็บของสามีตัวเอง บ้างก็เล่าว่าโดนสะเก็ดระเบิด บ้างก็เล่าว่าขาหัก
แล้วสายตาทุกคู่ก็จับจ้องมาที่เกาซู “ผู้กองมู่ของเธอก็เคยบาดเจ็บหนักมาครั้งหนึ่งนะ”
“หา?” เกาซูทำหน้าตกใจ
“นี่เธอไม่รู้เหรอ?” ทุกคนต่างทำหน้าประหลาดใจยิ่งกว่าเธอ
“โธ่เอ๊ย! เธอเพิ่งแต่งงานกับผู้กองมู่ได้ไม่นานเองนี่นา ไม่รู้ก็ไม่แปลก! ผู้กองมู่เขาเป็นคนเข้มแข็ง คงไม่เล่าให้เธอฟังจนเป็นห่วงหรอก!” หวางเฟยอวี้พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนก็พยักหน้ารับ รู้สึกว่ามันก็จริง
“พวกผู้ชายเวลาบาดเจ็บก็ไม่อยากบอกพวกเราหรอก คงกลัวว่าเราจะตกใจเป็นเรื่องใหญ่”
เกาซูรู้สึกไม่สบายใจ จริง ๆ แล้วเธอไม่อยากฟังเรื่องการบาดเจ็บนี้เลย
ชาติก่อน มู่อวิ่นเฉิงเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย จุดนี้เป็นเหมือนหนามตำใจเธออย่างยิ่ง
เกาซูอ้างว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แล้วออกไปนานพอสมควร จากนั้นจึงกลับมา
ตั้งใจจะบอกลาพวกเธอแล้วกลับ แต่ผลคือที่หน้าประตูได้ยินพวกเธอยังคุยเรื่องนี้กันอยู่ พวกเธอยังพูดถึงมู่อวิ่นเฉิงบาดเจ็บไม่หยุด เหมือนจะพูดว่าเป็นเรื่องที่ผู้ชายยอมรับไม่ได้อะไรทำนองนั้น…
เกาซูรู้สึกเหมือนฟ้าผ่า
เธอไม่ใช่เด็กสาวอายุ 20 ที่ไร้เดียงสา เธอคือผู้หญิงที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าครึ่งชีวิต เพียงแค่ได้ยินประโยคแว่ว ๆ เหล่านั้น ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้
หญิงสาวยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ความคิดตีกันอยู่ในหัวจนรู้สึกมึนงงไปหมด กระทั่งหวางเฟยอวี้เห็นเธอยืนเหม่อลอยอยู่ จึงเรียกให้เธอเข้าไป เกาซูถึงได้สติ
แต่เมื่อกลับไปนั่งรวมกลุ่มกับพวกนั้นอีกครั้ง เธอกลับไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด สมองของเธอเต็มไปด้วยคำพูดที่ได้ยินเมื่อครู่ มีคนถามเธอหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่ได้ยิน จนกระทั่งรู้ตัวว่า พวกเขาถามถึงอาการของจงอี้
เธอตอบส่ง ๆ ไป ก่อนจะจมดิ่งลงสู่ห้วงความคิดของตัวเองอีกครั้ง
ที่ผ่านมา มู่อวิ่นเฉิงพยายามหลีกเลี่ยงที่จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเธอ ทั้งในชาติที่แล้วและชาตินี้ เป็นเพราะเหตุผลนี้หรือเปล่า?
เขา… ไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกแล้วงั้นเหรอ?
เขาเป็นหมันใช่ไหม!?
เพราะแบบนี้ใช่ไหม เขาถึงได้ดีใจที่เธอมีประจำเดือน
ต้องยอมรับว่า เธอเป็นคนช่างสังเกต ยิ่งคิด เกาซูก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเค้าลางมาโดยตลอด เมื่อนำเรื่องราวในชาติที่แล้วกับชาตินี้มาประกอบกัน สิ่งที่เธอเคยสงสัย ก็กลายเป็นความจริง
เมื่อรู้ความจริงแล้ว เกาซูกลับรู้สึกสงบ ในใจคิดว่า อย่างไรเสีย เธอก็กลับมาเพื่อมู่อวิ่นเฉิงคนนี้ แต่เดิมเธอก็อยากจะมีลูกกับเขา ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ถึงแม้ตอนนี้จะมีลูกด้วยกันไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตร่วมกันสักหน่อย
เมื่อเข้าใจทุกอย่างแล้ว ความสับสนในใจก็หายไป เกาซูกล่าวลาภรรยาทหารคนอื่น ๆ อย่างสุภาพ ก่อนจะขอตัวกลับบ้าน
วันนี้ มู่อวิ่นเฉิงกลับบ้านเร็วกว่าปกติ ทำให้เขามีเวลาทานมื้อเย็นร่วมกับเธอ
แต่ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่า ภรรยาตัวน้อยของเขาดูแปลกไป สายตาที่เธอมองเขานั้น ไม่ได้ร้อนแรงราวกับจะกลืนกินเขาเหมือนเคย แต่กลับแฝงไปด้วยความสงสารและ… ความเอ็นดู?
มู่อวิ่นเฉิงรู้สึกสับ
สายตาเอ็นดู? เขาตาฝาดไปเองหรือเปล่า?
ตลอดทางที่เดินไปโรงอาหาร เกาซูก็มองเขาด้วยสายตาแบบนั้นไม่คลาย
หลังจากตักอาหารเสร็จแล้ว เกาซูก็คอยตักกับข้าวในส่วนของเธอใส่ชามของเขาไม่หยุด
มู่อวิ่นเฉิงจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม “เกาซู วันนี้เธอเป็นอะไรไปหรือเปล่า?”
เกาซูกำลังจะตักไข่ใส่ชามของเขา พอถูกถามแบบนั้น ไข่ในช้อนก็เกือบหล่น
เธอนั่งตัวตรง สายตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูนั้น ยิ่งเด่นชัดขึ้นไปอีก “เปล่าสักหน่อย พวกคุณฝึกซ้อมจนเหนื่อย ต้องกินเยอะ ๆ บำรุงร่างกายให้แข็งแรง”
ดวงตาคมกริบของมู่อวิ่นเฉิงมองสำรวจใบหน้าของเธออย่างพิจารณา ในแววตานั้นราวกับจะบอกว่า ‘เธอกำลังล้อฉันเล่นอยู่หรือเปล่า?’
“เกาซู วันนี้เธอกินยาแล้วเหรอ?”
“กินแล้ว…”
หืม?
ทำไมเธอรู้สึกว่าคำพูดของเขามีความหมายแฝง? เกาซูครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา “นี่… คุณไม่ได้กำลังจะหาเรื่องด่าฉันหรอกใช่ไหม?”
มู่อวิ่นเฉิงเหลือบมองเธอ “ยังรู้ตัวอีกนะ!”
“มู่…” แก้มของเธอป่องขึ้น แต่ทันใดนั้น เธอก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ อ้อ… ที่แท้มู่อวิ่นเฉิงมักจะหงุดหงิดง่าย เป็นเพราะฮอร์โมนสินะ? ถ้างั้น ต่อไปนี้ เธอจะไม่เถียงกับเขาแล้ว ต้องปลอบเขาให้มาก ๆ
รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธออีกครั้ง หญิงสาวเอื้อมมือไปตบมือของมู่อวิ่นเฉิงเบา ๆ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณสามี… มู่อวิ่นเฉิง… ฉันเข้าใจนะว่าคุณกำลังเครียด ไม่ต้องกังวลไป ฉันไม่ได้เป็นคนใจแคบแบบนั้นหรอก”
“หา?”
ทำไมยิ่งฟัง เขายิ่งไม่เข้าใจ ปกติภรรยาของเขาไม่เคยเรียกเขาด้วยคำพูดแบบนั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว มาตอนนี้กลับทำสายตาสงสาร ซ้ำยังอารมณ์เย็นเสียจนน่าใจหาย
“ไม่เป็นไรหรอก! จริง ๆ นะ!” เธอขยับตะเกียบไปมา แล้วพบว่า ในชามของเธอไม่มีอะไรให้เขาแล้ว จึงกระแอมไอเบา ๆ “อวิ่นเฉิง พวกเราเป็นเนื้อคู่กันใช่ไหม? เป็นคู่แท้อะไรแบบนั้นน่ะ”
คุยกับนักอ่าน : โอ๊ยยย!! ไม่รู้จะเอ็นดูใครดี ต่างฝ่ายต่างเข้าใจผิด 5555 แล้วแบบนี้จะยังไงต่อล่ะเนี่ย!! ถ้าชอบอย่าลืมกดไลก์เป็นกำลังใจให้กันน๊าาา <3
มีช่องทางอ่านสุดคุ้มที่ Bookfet.com
MANGA DISCUSSION