บทที่ 27 เจรจาต่อรอง
มู่เยี่ยนฟางรู้สึกโล่งใจอย่างมาก มองเกาซูด้วยแววตาชื่นชมอีกครั้ง “เสี่ยวซู เธอเก่งจริง ๆ เลย! เก่งกว่าพวกในห้างร้อยเท่า! เธอแค่เกิดที่ชนบท ไม่อย่างนั้นล่ะก็ พวกร้านในห้างไม่มีใครเทียบเธอได้หรอก!”
เกาซูไม่ได้ปฏิเสธคำชม นึกถึงความสำเร็จในหน้าทางการงานชาติก่อนแล้ว เธอก็ยิ้มมุมปาก “ถึงพวกเราจะเกิดที่ชนบท แต่ก็ไม่ด้อยไปกว่าพวกเขาหรอกนะคะ!”
สถานการณ์เหมือนกับตอนขายของครั้งก่อน ขณะที่พวกเธอกำลังเก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน ก็มีคนเข้ามาหา
เธอคนนั้นเป็นผู้หญิงอีกเช่นเคย ผมสั้นดัดลอนดูทันสมัยและสง่างาม
แต่ผู้หญิงคนนี้ต่างจากคนก่อนที่ความสุภาพ มาถึงแล้วเธอก็แนะนำตัวก่อน “สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อไฉ่หง เป็นผู้จัดการร้านเป่าเป้ย ดิฉันสนใจในเสื้อผ้าของคุณมาก ไม่ทราบว่าพอจะมีเวลาพูดคุยรายละเอียดกันไหมคะ?”
มู่เยี่ยนฟางนึกออกในทันที “ร้านเป่าเป้ย! ที่พนักงานขายมองพวกเราเหยียด ๆ ไงล่ะ!”
ไฉ่หงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ก็รีบขอโทษ “ขออภัยด้วยค่ะ ที่พนักงานของเรามีบริการที่ไม่ดี ดิฉันจะกลับไปตำหนิและปรับปรุงการบริการในอนาคต แต่วันนี้ดิฉันมาเพื่อแสดงความชื่นชมในเสื้อผ้าของคุณจริง ๆ ค่ะ ไม่ทราบว่าสะดวกคุยไหมคะ?”
เกาซูคุ้นเคยกับบรรยากาศแบบนี้ดี ชาติก่อนคลุกคลีอยู่กับธุรกิจมาเป็นสิบปี ในการทำธุรกิจนั้น สิ่งสำคัญคือ ‘การเจรจา’ จะตกลงกันได้หรือไม่ ค่อยว่ากันทีหลัง
เธอตอบตกลงทันที ไฉ่หงก็ชวนพวกเธอไปกินข้าวในห้าง
ภายในร้านอาหารดังที่มีห้องแยกอันเงียบสงบ เกาซูไม่ประหม่าหรือเคอะเขินเหมือนคนบ้านนอกเลยสักนิด เธอทำให้ไฉ่หงมองเธอด้วยความประหลาดใจ
ไฉ่หงคงคิดว่าผู้หญิงบ้านนอกคนนี้เสแสร้งเก่ง แต่เธอหารู้ไม่ว่า ชาติก่อนเกาซูผ่านงานสังคมมามากมาย อย่าว่าแต่ร้านอาหารชื่อดังในเมืองหลวงเลย ร้านของเธอยังหรูกว่าเสียอีก
คนอื่น ๆ บนโต๊ะอาหารต่างก็ตื่นเต้น มีเพียงเกาซูที่สนทนากับไฉ่หงอย่างใจเย็นและรักษาความสุขุมเอาไว้ได้
ไฉ่หงอยากรู้ว่าพวกเธอไปรับเสื้อผ้ามาจากไหนจึงเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
เกาซูยิ้มแล้วตอบอย่างมั่นใจ “ฉันออกแบบเองค่ะ”
ไฉ่หงถึงกับตะลึงงัน เกาซูไม่ปิดบัง บอกตรง ๆ ว่าเธอเพียงแค่ดัดแปลงเสื้อผ้าสำเร็จรูปเท่านั้น
เหตุผลที่ไม่ปิดบัง เพราะเธอเชื่อว่า ไฉ่หงเป็นมืออาชีพ และดูออกอยู่แล้ว การปิดบังจึงไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด
หลังจากที่ตะลึงไปครู่หนึ่ง ไฉ่หงก็ชมเกาซูยกใหญ่ จากนั้นก็พูดคุยกับมู่เยี่ยนฟาง ตู้เหลียงและเด็ก ๆ
เกาซูไม่รีบร้อน เธอรู้ว่าไฉ่หงกำลังใช้เวลานี้พิจารณา
ในที่สุด หลังจากพูดคุยกันสักพัก ไฉ่หงก็เอ่ยปากออกมา “ถ้าฉันต้องการให้คุณส่งเสื้อผ้า 400 ตัว ภายในสิบวัน และต้องไม่ใช่แบบที่เคยขายไปแล้วสองครั้งนี้ คุณทำได้ไหม?”
“ขอทราบเงื่อนไขก่อนค่ะ” เกาซูพูดอย่างใจเย็น
“ราคาต่อตัวจะลดลงจากราคาขายปลีก 2 หยวน ข้อดีสำหรับคุณคือ ฉันสามารถไปรับสินค้าเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้คุณเดินทางไกลมาส่งถึงที่นี่”
เกาซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
นี่ก็เป็นเกมจิตวิทยาเช่นกัน ในที่สุด เกาซูก็ยอมตอบ “ฉันคงไม่สามารถรับปากว่าจะทำเต็มจำนวน 400 ตัวได้ น่าจะอยู่ระหว่าง 320-360 ตัวค่ะ”
“ได้ค่ะ!” ไฉ่หงตอบตกลงอย่างรวดเร็ว “ถ้าอย่างนั้น อีกสิบวัน ให้ฉันไปรับสินค้าที่ไหนดีคะ?”
เกาซูบอกที่อยู่ที่อำเภอ “แล้วก็ส่งที่สถานีรถไฟแล้วกันค่ะ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ!”
ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลง หลังจากกินข้าวเสร็จ ไฉ่หงก็พาเกาซูไปที่ร้านเป่าเป้ยเพื่อเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ ไฉ่หงประทับตราบริษัท ส่วนเกาซูก็ประทับลายนิ้วมือ
หลังจากเดินออกมาจากร้านเป่าเป้ย มู่เยี่ยนฟางก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “โอ๊ย ตกใจหมดเลย! ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน ไม่เคยกินข้าวในที่แบบนี้ด้วย และไม่เคยเจอบรรยากาศแบบนี้ ไหนจะเซ็นสัญญาอีก เสี่ยวซู เธอเข้าใจสัญญาหรือเปล่า? ฉันไม่กล้าพูดอะไรสักคำ กลัวมาก… เขาจะหลอกพวกเราหรือเปล่านะ?”
“ไม่ต้องห่วง ฉันดูแล้ว ไม่มีปัญหาค่ะพี่เยี่ยน” เรื่องเซ็นสัญญา ชาติก่อนเกาซูเซ็นมานับไม่ถ้วน เธอมั่นใจมากในเรื่องนี้
สำหรับมู่เยี่ยนฟางแล้ว ตอนนี้ ตราบใดที่เกาซูพูด ทุกอย่างก็ดูถูกต้องไปเสียหมด! ตราบใดที่เกาซูบอกว่าไม่มีปัญหา ก็จะไม่มีปัญหา!
จู่ ๆ เธอก็รู้สึกดีใจอย่างมาก “โอ้โฮ ฉันได้กินข้าวในเมืองหลวงแล้วนะเนี่ย! แถมเสี่ยวเปาของเรา ยังได้กินเค้กนมสดด้วย!”
“เค้กครีมต่างหาก!” ตู้เหลียงแก้ให้ “ดูสิ ไม่มีความรู้เอาซะเลย!”
“ไม่ใช่แค่ฉันหรอกนะ พวกเราทั้งหมด ยกเว้นเสี่ยวซู ใครบ้างที่ไม่กลัว?” มู่เยี่ยนฟางเถียง แต่ก็ยังดีใจ โอบกอดเสี่ยวเปาแล้วถามเสียงอ่อนโยน “ลูกจ๊ะ เค้กครีมอร่อยไหมลูก?”
“อร่อยค่ะ” เสี่ยวเปาตอบเสียงเบา
ใช่แล้ว ตอนกินข้าว เด็ก ๆ ทั้งสองคนได้กินเค้กครีม เป็นของแปลกใหม่สำหรับทุกคน แต่จงอี้กลับดูเฉยเมย ราวกับเคยชินกับมันแล้ว
เกาซูจูงมือจงอี้ เด็กคนนี้ ต้องมีอะไรบางอย่างแน่ ๆ
ส่วนน้องสาวของเธอก็เงียบตลอด มีเพียงรอยยิ้มบนใบหน้า เธอเดินแนบชิดพี่สาว ทุกคนต่างชมเกาซู จนเกาผิงรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก
พวกเขากลับไปที่หมู่บ้านของมู่อวิ่นเฉิง
พ่อแม่ของมู่อวิ่นเฉิงเห็นพวกเขากลับมาพร้อมกับกระสอบเปล่า ๆ ก็ดีใจกันมาก และยิ่งดีใจมากขึ้นไปอีกเมื่อพวกเขายื่นโทรเลขให้เกาซู “เสี่ยวซูจ๊ะ มีคนส่งโทรเลขมาหาแหนะ”
หญิงสาวรีบคว้ากระดาษโทรเลขจากมือมู่เฟินทันทีที่ได้ยิน
ข้อความในโทรเลขนั้นเรียบง่าย เพียงแค่บอกว่าคำร้องขอไปเยี่ยมญาติได้รับการอนุมัติแล้ว ให้เธอไปที่กองทัพภายในครึ่งเดือน
นอกจากโทรเลขแล้ว ยังมีจดหมายอีกฉบับหนึ่งที่ส่งมาถึงมู่เฟินและมู่เยว่อีดด้วย
มู่เฟินกับมู่เยว่อ่านหนังสือไม่ออก จึงต้องให้เกาซูอ่านให้ฟัง เกาซูคาดว่าในจดหมายน่าจะมีเรื่องเกี่ยวกับน้องสาวเธอ จึงรอจนกระทั่งทุกคนเข้านอนแล้ว จึงไปหามู่เฟินกับมู่เยว่ และอ่านเนื้อหาในจดหมายทั้งหมดให้ฟัง
เรื่องนี้มันค่อนข้างแปลกใหม่จากธรรมเนียมคนยุคนี้สักหน่อย แต่ที่บ้านนี้ มู่อวิ่นเฉิงเป็นคนตัดสินใจอยู่เสมอ เมื่อลูกชายพูดแบบนี้แล้ว ต่อให้มู่เฟินจะไม่อยากตอบตกลงแค่ไหน ก็ทำอะไรไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น เกาซูมั่นใจในตัวมู่เฟินอยู่เรื่องหนึ่ง คือถ้ามู่เฟินไม่ตอบตกลงก็คือไม่ตกลง แต่ถ้าตอบตกลงแล้ว เธอก็จะไม่คืนคำและฟื้นฝอยหาตะเข็บอีก
อย่างน้อยเกาซูก็วางใจได้ในเรื่องนี้ ชาติที่แล้วเธอทำตัวเหลวแหลกแค่ไหน มู่เฟินก็ยังไม่เคยรังแกเธอ นี่ยิ่งเป็นการฟันธงว่า มู่เฟินไม่ใช่แม่สามีใจยักษ์อย่างที่เห็นได้ทั่วไป
สิบวันที่เหลือ ทุกคนในครอบครัวต่างช่วยกันสะสางสินค้าที่ค้างอยู่อย่างขะมักเขม้น สุดท้ายก็สามารถตัดเย็บเสื้อผ้าทั้งหมดเสร็จสิ้นก่อนถึงวันนัดหมาย พอตรวจนับจำนวนดู ก็พบว่าไม่ได้มี 350 ตัวอย่างที่คิดไว้ เหลือแค่ 290 ตัวเท่านั้น
เกาซูจ้างรถม้าคันเดิม ในวันนัดหมาย เธอก็ขนเสื้อผ้าทั้งหมดไปที่สถานีรถไฟ
เธอไม่คิดเลยว่า ไฉ่หงจะมาคอยรับสินค้าด้วยตัวเอง
หลังจากที่ไฉ่หงตรวจดูแบบเสื้อผ้าและจำนวนแล้ว เธอก็ไม่ได้พูดว่าดีหรือไม่ดี แค่จ่ายเงินตามจำนวนที่ตกลงกันไว้ เท่านี้ การซื้อขายก็ถือว่าเสร็จสิ้น
เกาซูกลับมาที่หมู่บ้านพร้อมกับเงินจำนวนมากอีกครั้ง
เมื่อมองไปยังพื้นที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยเสื้อผ้า ตอนนี้กลับว่างเปล่า ทุกคนในครอบครัวต่างก็รู้สึกตื้นตันใจ มีทั้งความยินดี ตื่นเต้น และไม่อยากจะเชื่อปะปนกันไปหมด
สิ่งที่ต้องทำหลังจากสะสางสินค้าหมดเกลี้ยงทุกครั้งก็คือ กิจกรรมนับเงิน!
MANGA DISCUSSION