บทที่ 2 หย่ากันเถอะ
มือคู่สวยลูบบริเวณหน้าท้องของตนเองเบา ๆ ก่อนจะเลิกชายเสื้อขึ้นเพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติไปหรือไม่ และแล้ว เธอก็พบกับความจริงอันน่าสะพรึง เพราะท้องของเธอเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ
จากนั้น จู่ ๆ ความทรงจำบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว เธอจำได้ว่า ตนเองเคยเจ็บหนักขนาดนี้ในช่วงที่แต่งงานกับมู่อวิ่นเฉิงได้ราวหนึ่งปี ในเช้าของวันนั้น เธอกำลังจะเดินไปตลาดตามปกติ แต่กลับถูกอันธพาลดักลวนลามและจะข่มขืน เธอสู้อย่างสุดชีวิต ใช้กลอุบายต่าง ๆ จนกระทั่งหนีออกมาได้สำเร็จ แต่เมื่อมาถึงบ้าน ก็รู้สึกเจ็บท้องที่ถูกต่อยมากจนกระทั่งสลบไป
พอตื่นมาอีกทีก็พบว่าตนเองนอนอยู่ในห้องของอวิ่นเฉิง แต่เหตุการณ์หลังจากที่ฟื้นขึ้นมานั้น เธอรับไม่ได้ที่ต้องนอนบนเตียงของสามีที่เธอเกลียดนักหนา จึงหนีออกไปอย่างไม่ไยดี
เมื่อลองปะติดปะต่อเรื่องราว เกาซูก็พอจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมา นั่นคือตอนนี้… เธอได้ย้อนกลับมาตอนอายุ 23 ปี!
เธอได้ย้อนกลับมาช่วงที่ตนเองถูกจับแต่งงานกับลูกชายคนเดียวของตระกูลมู่
เกาซูแต่งเข้ามาในตระกูลนี้อย่างไม่เต็มใจนัก เพราะเธอรังเกียจมู่อวิ่นเฉิงราวกับขยะในคลองน้ำเสีย เธอเกลียดที่เขาเป็นทหารหยาบกระด้าง ไร้มารยาท เกลียดที่เขามีลูกบุญธรรม เกลียดที่เขาอยู่ไกล ปล่อยปละละเลยลูก ไม่เคยอ่อนโยนต่อตัวเธอ เธอไม่ชอบทุกอย่างที่เป็นเขา ไม่ว่าเขาจะขยับตัวทำอะไรก็มีแต่จะสร้างความไม่พอใจให้เธออยู่ร่ำไป
ทว่าตอนนี้ เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของร่างสูงโปร่งที่เดินมาหยุดตรงหน้าเธอพร้อมทั้งส่งสายอบอุ่น หัวใจหญิงสาวก็แทบหยุดนิ่ง
ชีวิตในชาติที่แล้วไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นนี่!
บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัด หญิงสาวกลอกตาไปมาเพราะรู้สึกเหนียมอายที่เผลอหลุบตามองแผงอกกำยำของอีกฝ่ายหลายต่อหลายครั้ง
“คุณ…” ขณะที่เธอกำลังจะอ้าปากเอ่ย จู่ ๆ เขาก็คว้ามือของเธอขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“อ๊ะ!” เกาซูร้องเสียงหลง
เมื่อเห็นว่าภรรยากำลังแสดงสีหน้าเจ็บปวด ชายหนุ่มก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย “เจ็บเหรอ”
“เปล่า…” ถึงเธอจะเจ็บก็ต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็งเอาไว้!
ถึงอย่างนั้น ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถหลอกสายตาอันเฉียบคมของมู่อวิ่นเฉิงได้อยู่ดี
“รอตรงนี้แหละ เดี๋ยวฉันมา”
มู่อวิ่นเฉิงเอ่ยเพียงแค่นั้น ก่อนจะเดินออกจากห้องไป แล้วกลับมาพร้อมเบตาดีน และยาทาแก้ฟกช้ำ จากนั้น ก็ค่อย ๆ ทำความสะอาดแผลที่มือของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา
ด้วยยาที่เย็นเฉียบ ความปวดแสบได้แล่นริ้วจากบาดแผลจนเธอต้องกัดริมฝีปาก ขมวดคิ้วแน่น แต่ก็ไม่ปริปากส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่น้อย
เขาช้อนตามองเธออย่างเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก “ไปซนที่ไหนมาล่ะ ถึงได้เจ็บตัวขนาดนี้”
“ปะ… เปล่า… แค่หกล้ม”
หญิงสาวตอบปฏิเสธ เธอกลัวว่า หากตนเองบอกความจริงออกไปจะพาลให้ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด ที่สำคัญ เธอไม่อยากให้สามีของตัวเองต้องไปมีเรื่องกับใครเขา ไม่อย่างนั้น อาจถูกเบื้องบนสอบสวนกันให้มากความ เกาซูตั้งมั่นเอาไว้แล้ว ในเมื่อเธอมีโอกาสได้แก้ไขเรื่องราวในชีวิต เธอก็จะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้มู่อวิ่นเฉิงมีความสุข
ชายหนุ่มที่ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขาวางขวดยาและสำลีลงบนโต๊ะ ทำท่าจะเดินออกไป
เมื่อเห็นว่ามู่อวิ่นเฉิงมีท่าทีไม่สนใจตนเองแล้ว เกาซูก็ร้องปรามการกระทำของอีกฝ่ายเสียงหลง “คุณจะไปไหน!?”
เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมามอง
“คุณไม่คิดถึงฉันบ้างเหรอ!? คืนนี้ฉันตั้งใจจะนอนกับคุณนะ”
“หืม? นอนกับฉัน?”
“ก็… ฉันเห็นว่าคุณไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว อีกอย่าง… ถ้าแม่คุณรู้ว่าเราไม่ได้นอนด้วยกัน เธอคงจะเป็นกังวลมาก”
“แม่คงไม่…”
“ต่อหน้าคุณ เธอคงไม่กล้าพูดอะไร แต่พอลับหลังล่ะ คนเป็นแม่คงอยากเห็นลูกชายมีหลานให้อุ้มเร็ว ๆ แต่ถ้าเรายังนอนแยกห้องอยู่แบบนี้ คุณไม่คิดว่าเธอจะสงสัยอย่างนั้นเหรอ” เธอแสร้งทำหน้าบึ้งตึง “ไม่ว่ายังไง วันนี้ห้ามคุณก้าวขาออกจากห้องนี้เด็ดขาด!”
ชายหนุ่มประหลาดใจไม่น้อยกับการกระทำของเธอ ปกติเกาซูมักจะทำท่าทางรังเกียจเขาราวกับขยะโสโครก แต่มาตอนนี้ เธอกลับคะยั้นคะยอจะให้นอนห้องเดียวกันเสียให้ได้
แม้ว่ามู่อวิ่นเฉิงจะยังติดตัดใจสงสัย แต่สุดท้ายก็ยอมทำตามที่เธอสั่งแต่โดยดี เพียงแต่… เขาเดินไปหยิบผ้าห่มผืนหนาในตู้มาปูรองพื้นข้างเตียง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอน
ในค่ำคืนอันแสนเงียบสงบ เกาซูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นระรัว
ตึกตัก… ตึกตัก…
เธอทนอยู่กับบรรยากาศเย็นยะเยือกแบบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว!
หญิงสาวสัมผัสหน้าอกที่ตอนนี้ก้อนเนื้อข้างซ้ายเต้นกระหน่ำ ก่อนจะรวบรวมความกล้า กรีดร้องขึ้นมากะทันหัน “ว๊าย!”
เธอกระโจนลงจากเตียง วิ่งไปหามู่อวิ่นเฉิง
ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว ลืมตาขึ้นมอง แววตาของเขาดุดันราวกับราชสีห์ “เกิดอะไรขึ้น!?”
น้ำเสียงเย็นชาแข็งกร้าวราวกับเธอทำความผิดร้ายแรงอย่างไรอย่างนั้น
ร่างของหญิงสาวสั่นเทา แต่สมองกลับทำงานอย่างรวดเร็ว ชี้นิ้วไปที่เตียงด้วยท่าทางหวาดกลัว “มี… มีแมลงสาบ!”
มู่อวิ่นเฉิงลุกขึ้น จุดตะเกียง ก่อนจะค้นหาไปทั่วทั้งเตียง แต่ก็ไม่พบสิ่งใด เขาหันกลับมามองเธอด้วยสีหน้าบึ้งตึง “แมลงสาบอะไร ไม่เห็นจะมี”
แววตาคมกริบของชายหนุ่มจ้องมองมา ทำเอาเธอรู้สึกกดดันจนไม่กล้าสบตาคนตรงหน้า “มี… มีสิ… แต่ตอนนี้มันคงหนีไปแล้ว…”
มู่อวิ่นเฉิงได้แต่ยืนนิ่ง ไม่พูดไม่จา
เกาซูหลับตาปี๋ ทำท่าทางราวกับรอฟังเขาพูดอะไรสักอย่าง
ชายหนุ่มถอนหายใจให้กับพฤติกรรมน่าประหลาดของภรรยาอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่มีอะไรแล้ว เธอกลับไปนอนที่เตียงเถอะ”
“อะ… อืม…” เกาซูลุกขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง เธอมองเขาดับตะเกียง แล้วกลับไปนอนที่เดิม
เมื่อความเงียบกลับมาปกปคลุมในห้องอีกครั้ง เธอก็พุ่งตัวไปหาเขา แล้วแทรกกายเข้าไปในผ้าห่มผืนเดียวกันอย่างรวดเร็ว
“คราวนี้อะไรอีก!?” เสียงเข้มเอ่ยถาม
เกาซูรู้ว่า เขาเริ่มหมดความอดทน แต่เธอกลับไม่สนใจ แล้วเบียดกายเข้าไปใกล้มากขึ้น ซุกใบหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง “ฉัน… ฉันยังกลัวอยู่เลย ถ้าแมลงสาบมันกลับมาอีกล่ะ?”
“…”
มู่อวิ่นเฉิงถึงกับพูดไม่ออก
“ตามใจ” เขาเอ่ยเสียงเย็น ก่อนจะไม่ปริปากอะไรอีก ชายหนุ่มนอนสงบนิ่งไม่สนใจผู้หญิงข้างกาย
เกาซูซุกหน้าจมไปในอกแกร่ง หลับตาพริ้ม ริมฝีปากกระตุกยิ้มบาง ๆ
ร่างกายของหญิงสาวร้อนผ่าว ถึงแม้จะเป็นฤดูร้อน แต่การได้ซุกตัวแนบชิดเช่นนี้ กลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าตนเองได้รับความอบอุ่นในฤดูหนาว
อยู่ ๆ มู่อวิ่นเฉิงก็เอ่ยขึ้นท่ามกลางความมืด
“ฉันมีเวลาว่างอยู่หลายวัน เราหาเวลาไปหย่ากันเถอะ”
ดวงตากลมโตของเกาซูเบิกกว้างขึ้นในพลัน
หย่า!? หมายความว่ายังไง? ชาติที่แล้วไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นนี่?
เกาซูยันตัวลุกขึ้นนั่ง จ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มด้วยความไม่พอใจ “มู่อวิ่นเฉิง! คุณนี่มันแย่จริง ๆ!”
ชายหนุ่มถึงกับพูดไม่ออก
เกาซูทำหน้าถมึงทึงแล้วเอ่ยต่อ “ฉันแต่งงานกับคุณแล้ว! งานแต่งก็จัดซะใหญ่โตเอิกเกริก คนทั้งหมู่บ้านก็รู้ว่าฉันเป็นภรรยาของคุณแล้ว เพิ่งจะแต่งงานกันได้ไม่นาน คุณก็มาขอหย่ากับฉัน แล้วแบบนี้ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!?”
มู่อวิ่นเฉิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ฉันจะบอกทุกคนว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของฉัน เป็นเพราะฉันไม่ดีเอง”
MANGA DISCUSSION