บทที่ 18 ไถ่ตัว
“หก… หก… หกสิบเลยอย่างนั้นเหรอ!” เกาซูเห็นแววตาของแม่เป็นประกายระยิบระยับ แสดงว่าแค่หกสิบหยวน แม่ก็พร้อมจะขายน้องสาวแล้ว ถ้ารู้ว่าหกร้อยหยวน แม่คงจะดีใจจนเป็นบ้าเป็นหลังไปแน่ ๆ ไม่สิ ตอนนี้ก็เป็นบ้าอยู่นี่นา
และก็เป็นไปตามคาด แม่สื่อส่ายหน้าไปมาพร้อมกับฉีกรอยยิ้มกว้าง “หกสิบอะไรกัน หกร้อยต่างหากเล่า!”
“หกร้อย!” อู๋ซิ่วถึงกับลุกพรวดพราด ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เธอเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือระคนตื่นเต้น
เห็นแม่ตื่นเต้นดี๊ด๊าจนหน้าแดงก่ำ เกาซูก็กลัวว่าแม่อาจจะช็อกเป็นลมล้มไปเสียก่อน จึงแกล้งพูดสาดน้ำเย็นใส่ “ฝ่ายชายพิการหรือบกพร่องตรงไหนหรือเปล่า ถึงได้ให้สินสอดเยอะขนาดนี้”
อู๋ซิ่วแทบจะพุ่งตัวเข้ามาปิดปากเกาซู “แก! นังเด็กเมื่อวานซืน อย่าสะเออะพูดแทรกเวลาผู้ใหญ่เขาคุยกัน!” พูดจบก็หันไปยิ้มให้แม่สื่อ “ป้าหวัง เล่าให้ละเอียดอีกสักหน่อยสิ”
เอาเถอะ ไม่ว่าแม่สื่อจะพูดอะไร ตอนนี้ แม่ก็มีคำตอบในใจอยู่แล้ว ต่อให้ฝ่ายชายจะเป็นตาแก่หงำเหงือก หรือเป็นอัมพาต ขอแค่ยังหายใจรวยรินอยู่ แม่ก็คงจะยัดเยียดน้องสาวไปให้เขาแน่ ๆ
แม่สื่อแสดงสีหน้าลำบากใจนิดหน่อย แต่ก็รีบปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติ “วางใจเถอะ ฉันเป็นแม่สื่อนะ ไม่มีปิดบังอำพรางอยู่แล้วล่ะ เอาอย่างนี้สิ ถือเป็นจรรยาบรรณของแม่สื่อเลยนะ เอ่อ… คือว่า ฝ่ายชายเขาอายุอาจจะเยอะไปหน่อย อายุ 30 แล้ว…”
พอได้ยินว่า 30 ปี อู๋ซิ่วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตอนแรกเธอเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะอายุ 60 ปี
“แล้วก็ ขาเขามีปัญหานิดหน่อย เดินไม่ค่อยสะดวก…” แม่สื่อค่อย ๆ ปล่อยข้อมูลออกมาทีละนิด
“คือ… ไม่สะดวกขนาดไหนเหรอ” อู๋ซิ่วถามอย่างระมัดระวัง อย่าบอกนะว่าพิการจริง ๆ!
“เมื่อสองปีก่อน เขาประสบอุบัติเหตุ เลยทำให้เดินเหินไม่ค่อยสะดวก เดินขาเป๋ ๆ หน่อย ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
อู๋ซิ่วตบขา “โถ่เอ๊ย! แค่นั้นเอง เรื่องเล็กมาก!”
มันก็จริง เมื่อเทียบกับคนพิการ ก็นับว่าดีมากแล้ว…
“แล้วก็… มีอีกเรื่องหนึ่ง” แม่สื่อพูดต่อ “คือเขาเคยแต่งงานมาแล้ว ภรรยาเก่าเสียไป แต่ไม่มีลูก ถ้าเกาผิงแต่งงานกับเขาแล้ว ขอแค่มีลูกสักคน ก็ไม่ต่างอะไรกับแต่งงานครั้งแรกเลย!”
“อย่างนี้นี่เอง…” ดวงตาของอู๋ซิ่วเป็นประกาย งานแต่งงานที่ดีเลิศประเสริฐศรีอะไรอย่างนี้!
เกาซูได้แต่สาดน้ำเย็นใส่ต่อ “ป้าหวังลี่คะ แล้วภรรยาเก่าของเขา…”
อีกฝ่ายรีบตอบในทันควัน “ตายแล้ว!”
เกาซูเอ่ยถาม “ตายยังไงล่ะ?”
ป้าหวังลี่มีท่าทีลังเล “เอ่อ… ป่วยตายจ้ะ”
“จริงเหรอ?” เกาซูไม่ถามอะไรอ้อมค้อม เธอรีบมุ่งตรงเข้าประเด็นว่า “ทำไมหนูถึงได้ยินมาว่า ไอ้คนพิการนั่นมันตบตีเมียทุกวันจนปางตาย สุดท้ายเธอทนไม่ไหวเลยโดดน้ำตายไปเองล่ะ?”
“นี่… อย่าพูดมั่ว ๆ นะ!” สีหน้าป้าหวังลี่เปลี่ยนไป
เกาซูแสยะยิ้ม “ฉันพูดมั่วหรือไม่ ในใจป้าเองก็รู้ดี รับเงินมาเป็นแม่สื่อแบบนี้ ป้าไม่กลัวนอนไม่หลับหรือไง?”
“เฮอะ!” ป้าหวังลี่โกรธจนจะเดินหนี “ฉันเห็นว่าบ้านเธอจนถึงได้อุตส่าห์มาเดินเรื่องให้! อู๋ซิ่ว ดูสิ ลูกสาวคนโตของเธอปากคอเราะรายขนาดนี้ ฉันไม่เอาด้วยแล้ว! จำคำฉันไว้! ต่อไปเรื่องหาผัวให้เกาผิง ฉันก็จะไม่ยุ่งด้วยแล้ว!”
อู๋ซิ่วร้อนใจ รีบเข้าไปดึงแขนป้าหวังลี่ไว้แล้วพูดเสียงอ่อน “อย่าเพิ่งไป อย่าเพิ่งไปเลยป้าหวัง!”
เกาซูแสยะยิ้มอีกครั้ง “วันนี้ฉันขอพูดไว้ตรงนี้เลย ใครหน้าไหนกล้ามาที่บ้านฉัน เพื่อมาหาคู่ไม่เอาไหนให้กับเกาผิง และผลักไสให้น้องสาวฉันต้องตกระกำลำบาก อย่าหาว่าฉันไม่เตือน! ฉันจะเอาไม้กวาดไล่ตีไม่เลี้ยงแน่!”
เกาซูพูดพลางคว้าไม้กวาดขึ้นมาจริง ๆ พร้อมทำท่าจะฟาด
ป้าหวังลี่โกรธจนตัวสั่น ด่าทอไป กระโดดไป วิ่งหนีไป
อู๋ซิ่วหันขวับกลับมา แล้วตบหน้าเกาซูเสียงดัง ‘เพียะ!’
“แกนี่มันเลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ! รู้แบบนี้ตอนเกิด ฉันน่าจะจับกดน้ำให้ตาย ๆ ไปซะ!”
เสียงผู้เป็นแม่ด่าทอเกาซูอย่างเผ็ดร้อน ก่อนจะคว้าไม้หน้าสามที่พิงอยู่ข้างประตูหมายจะฟาดลูกสาวคนนี้ให้ตายไปข้างหนึ่ง
“อย่านะแม่ อย่าตีพี่เลย!” เกาผิงที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงก็รีบวิ่งออกมาคว้าตัวอู๋ซิ่วไว้แน่น
“หลีกไป ฉันสั่งสอนพี่แกให้รู้จักสำนึก!” อู๋ซิ่วผลักลูกสาวคนเล็กออก “วันนี้ถ้าฉันไม่ตีมันให้ตาย ฉันจะเป็นบ้าให้ดู!”
เกาซูเองก็อยากจะสะสางเรื่องนี้ให้จบ ๆ ไปเสียที จึงยังยืนประจันหน้ากับอู๋ซิ่วด้วยสายตาท้าทาย “น้องพี่ หลบไปก่อน”
จังหวะที่ไม้กำลังจะฟาดลงมา เกาซูก็คว้าไว้แน่นแล้วถามกลับไปว่า “แม่ หนูอยากจะถามว่า สรุปแล้วหนูกับเกาผิงเป็นลูกของแม่จริง ๆ หรือเปล่า?”
อู๋ซิ่วโมโหจนตัวสั่น พยายามจะดึงไม้กลับคืนมาแต่ก็ไม่สำเร็จ “ดูจากที่พวกแกเนรคุณฉันแบบนี้แล้ว คิดว่าฉันจะตอบยังไงกันล่ะ”
“นั่นสินะ ก็คงไม่ใช่จริง ๆ นั่นแหละ เพราะถ้าเราเป็นลูกของแม่จริง ๆ แม่ก็คงไม่ขายพวกเราให้ตระกูลอื่นหรอก” เกาซูนึกถึงชาติก่อนที่น้องสาวผอมแห้งจนหนังหุ้มกระดูก อายุยังน้อยก็มีผมหงอกเต็มหัว สุดท้ายก็ต้องตายอย่างโดดเดี่ยวในโรงพยาบาล ยิ่งคิด ใจเธอก็ยิ่งปวดร้าว
แม่เธอถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่เชิดหน้าขึ้นแล้วเถียงกลับว่า “ถ้าโดนซ้อมก็แปลว่าผู้หญิงนั่นแหละผิด ผู้หญิงดี ๆ ที่ไหนเขาจะโดนซ้อม? เกาผิงน่ะทั้งเรียบร้อย ขยันขันแข็ง แต่งออกไปก็มีแต่จะสบาย จะโดนซ้อมได้ยังไง?”
คิดจะโยนความผิดให้เหยื่อสินะ… เกาซูได้แต่คิดในใจ
“สบายเหรอ? แม่บอกว่าการที่ต้องคอยรับใช้คนแก่พิการตั้งแต่เช้ายันเย็น พอตกดึกก็ต้องคอยล้างเท้าให้มันทั้งครอบครัว นี่เรียกว่าสบายเหรอ? ต้องทำนาเหมือนใช้แรงชายสองคนนี่ดีแล้วใช่ไหม? แถมยังต้องโดนซ้อมแบบสามวันดีสี่วันไข้ ถ้าแบบนี้เรียกว่าสบาย งั้นแม่ไปแต่งเองเถอะ!”
เพล้ง!
พูดจบไม่ทันไร เกาซูก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าผาก เหมือนมีอะไรหนัก ๆ กระแทกเข้าอย่างจัง
สิ่งนั้นคือชามเคลือบใบโตที่พ่อเธอซึ่งเพิ่งกลับจากนากระหน่ำปาใส่เธอไม่ยั้ง!
เกาซูรู้สึกได้ว่ามีอะไรอุ่น ๆ ไหลลงมาจากหน้าผาก เธอเอามือปาดดู ก็พบว่ามันคือเลือด…
ชามเคลือบตกกระทบพื้นดังลั่น
เกาผิงตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่วิ่งเข้ามากอดพี่สาวไว้แน่นพลางร้องไห้ “อย่าตีพี่ อย่าตีเธอเลย หนู… หนูยอมแล้ว…”
“ไม่ต้องไปยอม!” เกาซูยืนตัวตรงประกาศกร้าวอย่างไม่นึกหวั่น “ไปกับฉัน!”
เธอจับมือเกาผิงไว้แน่น พร้อมตั้งมั่นว่าจะพาเธอไปจากที่นี่ให้ได้ เพราะเธอไม่มีเวลามาเฝ้าดูน้องสาวได้ทุกวัน ดังนั้น เมื่อเธอเผลอ แม่ของเธอก็จะจับเกาผิงส่งให้กับตระกูลเฮงซวยนั่นอยู่ดี
ที่สำคัญที่สุดคือ หากเธอพาน้องไปด้วย ก็จะมีเวลาให้เกาผิงได้ตั้งใจอ่านหนังสือจริง ๆ เสียที
เพียงแค่คำพูดสั้น ๆ ว่า “ไปกับฉัน” ก็ทำให้ทุกคนในบ้านถึงกับตะลึง
คนแรกที่หัวเราะเยาะเธอคือผู้เป็นแม่ “ไปกับแก? ลูกสาวที่ฉันเลี้ยงมา แกจะพาไปได้ยังไง?”
“ก็ด้วยเงินหกร้อยหยวนไง!” เกาซูพูดอย่างมั่นใจ “พวกคุณก็แค่อยากได้เงินสินสอด หกร้อยหยวนไม่ใช่เหรอ? ถ้าฉันให้เงินตามนั้น ก็ยกเกาผิงมาให้ฉันซะ!”
MANGA DISCUSSION