บทที่ 174 วิธีการทางทหาร
“เถ้าแก่เฉิงคะ” หลี่เหมยหลิน หัวหน้าฝ่ายคลังสินค้าเคาะประตูห้องทำงานเบา ๆ สีหน้าเคร่งเครียด “มีเรื่องสำคัญที่ต้องแจ้งค่ะ”
“ครับ” มู่อวิ่นเฉิงวางปากกาลง “มีอะไรเหรอ?”
“คือ…” หลี่เหมยหลินลังเลเล็กน้อย “ฉันสังเกตเห็นว่าสต็อกสินค้าไม่ตรงกับยอดที่บันทึกมาสักพักแล้ว แรก ๆ คิดว่าอาจจะนับผิด แต่พอตรวจสอบย้อนหลัง พบว่ามีเสื้อผ้าหายไปวันละหนึ่งถึงสองตัวค่ะ”
มู่อวิ่นเฉิงขมวดคิ้ว “มีหลักฐานอะไรไหม?”
“เมื่อวาน ฉงหัวบอกว่าเห็นจ้าวอี๋ฉิงนำเสื้อผ้าของโรงงานเราไปขายที่ตลาดอำเภอข้างเคียง ราคาถูกกว่าที่เราขายถึงครึ่งหนึ่งเลยนะคะ”
มู่อวิ่นเฉิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกดกริ่งเรียกเลขาที่เกาซูจ้างมาโดยเฉพาะ “ช่วยเรียกจ้าวอี๋ฉิงมาพบผมที่ห้องประชุมเล็กด้วย”
เมื่อถึงห้องประชุม มู่อวิ่นเฉิงก็จัดการล็อคประตู เขานั่งตรงหัวโต๊ะ ท่าทางสงบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม
จ้าวอี๋ฉิงเดินเข้ามาด้วยท่าทางประหม่า เขาพอจะรู้แล้วว่า นับจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง
“นั่งลงสิ” มู่อวิ่นเฉิงพูดเสียงเรียบ “คุณรู้ไหมว่าในกองทัพ เวลาทหารคนไหนลักขโมยของเพื่อนร่วมกอง จะถูกลงโทษยังไง?”
จ้าวอี๋ฉิงหน้าซีด เหงื่อเริ่มผุดซึมตามขมับ
“พวกเขาจะถูกมัดไว้กับเสาธง ให้เพื่อนทหารทั้งกองเดินผ่านและถ่มน้ำลายใส่” มู่อวิ่นเฉิงเว้นจังหวะ “เพราะในกองทัพ ความไว้เนื้อเชื่อใจคือสิ่งสำคัญที่สุด คนที่ทรยศความไว้ใจ ไม่สมควรได้รับเกียรติให้อยู่ร่วมกับผู้อื่น”
จ้าวอี๋ฉิงเริ่มตัวสั่น เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับมู่อวิ่นเฉิง
“ผมให้เวลาคุณสามนาที” มู่อวิ่นเฉิงวางนาฬิกาลงบนโต๊ะ “สารภาพมาว่าขโมยเสื้อผ้าไปขายกี่ตัว ขายที่ไหน และได้เงินมาเท่าไหร่”
“ผะ… ผม…” จ้าวอี๋ฉิงกำมือแน่น ไม่กล้าบอกความจริง เพราะกลัวเหลือเกินว่าจะถูกจับส่งตำรวจ
“สองนาทีครึ่ง”
“ผมขอโทษครับ!” จ้าวอี๋ฉิงโพล่งออกมา น้ำตาไหลพราก “ผมขโมยไปทั้งหมดประมาณห้าสิบตัว เอาไปขายที่ตลาดเก่าในอำเภอข้าง ๆ ได้เงินมาสามร้อยกว่าครับ ตะ… แต่ผมมีเหตุผล! ภรรยาผมป่วย ผมก็เลย…”
“พอ” มู่อวิ่นเฉิงยกมือขึ้นปราม “ผมไม่สนใจเหตุผล แต่จะให้ทางเลือกคุณสองทาง” เขาหยิบกระดาษสองแผ่นวางลงตรงหน้าจ้าวอี๋ฉิง “หนึ่ง เซ็นใบลาออกและคืนเงินทั้งหมดมา หรือสอง ให้ผมแจ้งตำรวจจับคุณข้อหาลักทรัพย์”
จ้าวอี๋ฉิงรีบคว้าปากกามาเซ็นใบลาออกทันที
“คุณมีเวลาสามวันในการนำเงินมาคืน” มู่อวิ่นเฉิงลุกขึ้นยืน “และอย่าให้ผมได้ยินว่าคุณไปแพร่งพรายเรื่องนี้ที่ไหน ไม่อย่างงั้น…” เขาทิ้งช่วงไว้ “ผมคงต้องใช้วิธีแบบในกองทัพจริง ๆ”
จ้าวอี๋ฉิงรีบพยักหน้าถี่ ๆ ก่อนจะเดินออกไปด้วยขาที่แทบจะทรุด
มู่อวิ่นเฉิงถอนหายใจยาวเหยียด ถึงเขาจะไม่ชอบใช้วิธีแบบนี้ แต่บางครั้งก็จำเป็นต้องแสดงความเด็ดขาดเพื่อรักษาระเบียบวินัยในองค์กร
เย็นวันนั้น เขาโทรไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้เกาซูฟัง
“คุณทำถูกแล้วล่ะ” เกาซูตอบ “แต่เรื่องทหารถูกมัดกับเสาธงนั่น… คุณแต่งขึ้นมาเองใช่ไหม?”
มู่อวิ่นเฉิงหัวเราะเบา ๆ “อืม แต่ก็ได้ผลไม่ใช่เหรอ?”
“ฮึฮึ คุณก็ร้ายเหมือนกันนะอวิ่นเฉิง” เธอหัวเราะอย่างพอใจ ก่อนจะเอ่ยร่ำลาเมื่อถูกเรียกจากทางด้านหลัง “ฉันต้องไปแล้วล่ะ แล้วเจอกันนะ”
ที่สตูดิโอถ่ายภาพใจกลางเมืองหลวง หลีจวงหลิวกำลังถ่ายแบบชุดสุดท้ายของคอลเลคชันฤดูใบไม้ร่วง เธอสวมเดรสผ้าไหมสีครีมอ่อนที่มีดอกไม้ปักละเอียดตามชายกระโปรง
“สวยมากเลยค่ะ” เกาซูชมขณะดูภาพในจอแสดงผล “คุณจวงหลิวใส่อะไรก็ดูดีไปหมดเลย”
“คุณต่างหากล่ะคะที่เก่ง” หลีจวงหลิวยิ้มให้ “ฉันไม่เคยใส่ชุดไหนแล้วรู้สึกสบายขนาดนี้มาก่อนเลย”
หลังจากถ่ายภาพเสร็จแล้ว ทั้งสองก็มานั่งพักดื่มชาด้วยกัน
“จริงสิคะ” เกาซูนึกขึ้นได้ “สัปดาห์หน้าคุณจวงหลิวว่างถ่ายคอลเลคชันต่อให้หน่อยได้ไหมคะ? ฉันได้ยินว่าคุณกำลังจะไปถ่ายหนังที่ต่างประเทศ”
หลีจวงหลิวเอ่ยด้วยแววตาสงสัย “อ้อ ใช่แล้วล่ะค่ะ คุณรู้เรื่องเร็วจังเลยนะคะ น่าทึ่งจริง ๆ ฉันต้องไปถ่ายทำนานเป็นปีเลย แต่ถ้าคุณอยากถ่ายตอนนี้ ฉันก็ยินดีนะคะ”
“ขอบคุณมากค่ะ” เกาซูยิ้มกว้าง
หลีจวงหลิวดูเสื้อผ้าที่ใช้ถ่ายวันนี้ด้วยความพึงพอใจ “คุณเกาซูคะ คือว่า… ฉันขอชุดพวกนี้ไปใส่ได้ไหม? ไหน ๆ ก็ใส่ถ่ายแบบไปแล้ว”
“ได้เลยสิคะ” เกาซูตอบทันที “ฉันยกให้คุณหมดเลย ถือว่าเป็นของขวัญก็แล้วกันค่ะ”
“เอ่อ… คือ… ฉันไม่ได้อยากจะถามอะไรแบบนี้หรอกนะคะ แต่ว่า…” หลีจวงหลิวชะงักไป “ส่วนแบ่งรายได้ไตรมาสนี้เป็นยังไงบ้างคะ?”
“คุณจวงหลิวต้องถูกใจแน่นอนค่ะ” เกาซูยิ้มกว้าง “ตั้งแต่มีคุณมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ ยอดขายและยอดสั่งจองก็เพิ่มขึ้นมาก โรงงานเราแทบจะผลิตไม่ทันเลยนะคะ”
“จริงเหรอ?” ดาราสาวเบิกตากว้าง
“ค่ะ ฉันคงต้องรีบจ้างพนักงานเพิ่มอีกสักยี่สิบคนแล้วล่ะ” เกาซูเล่าต่อ “แล้วก็กำลังวางแผนจะขยายพื้นที่โรงงานด้วย ตอนนี้พื้นที่เดิมเริ่มคับแคบไปแล้ว”
“ฉันดีใจด้วยนะคะ” หลีจวงหลิวจับมือเกาซู “รู้ไหม ที่ฉันชอบร่วมงานกับคุณ เพราะเห็นว่าคุณทำงานด้วยใจจริง ๆ ใส่ใจทุกรายละเอียด ไม่เคยมองข้ามความรู้สึกของคนอื่นเลย”
“ขอบคุณที่ไว้ใจฉันนะคะ ฉันก็ดีใจมากที่ได้ร่วมงานกับคุณ” เกาซูมองดูดาราสาวด้วยรอยยิ้ม นึกถึงวันแรกที่พบกัน จากคนแปลกหน้ากลายมาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี และตอนนี้ธุรกิจก็กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการพึ่งพาอาศัยกัน
หากเธอรักษาความสัมพันธ์อันดีเช่นนี้ต่อไป หลีจวงหลิวจะเป็นใบเบิกทางที่ดีได้แน่
สัปดาห์ต่อมา เกาซูกลับมาที่สตูดิโอถ่ายภาพอีกครั้ง คราวนี้เธอนำชุดคอลเลคชันใหม่มาให้หลีจวงหลิวถ่าย
“คุณจวงหลิวคะ” เกาซูเรียกพลางเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าในห้องมีคนแปลกหน้าอีกคนนั่งอยู่ด้วย
“อ้าว คุณเกาซู” หลีจวงหลิวยิ้มทักทาย “พอดีเลยค่ะ ฉันอยากแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนฉันสักหน่อย นี่คือหลานเยว่จือ นักออกแบบชุดเหมือนกันเลยค่ะ”
หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่หันมามองเกาซูด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่จริงใจนัก “อ้อ เจ้าของแบรนด์ชิงชิงที่กำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ตอนนี้นี่เอง”
เกาซูยิ้มตอบอย่างสุภาพ “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณหลานเยว่จือ”
เธอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาเพื่อทำความรู้จักเธอจริง ๆ ถึงอย่างนั้น ก็ไม่อยากแสดงกิริยาที่ดูไร้วุฒิภาวะออกไป อย่างที่อีกฝ่ายทำอยู่
“ฉันได้ยินมาว่าคุณเพิ่งเริ่มทำแบรนด์ได้ไม่นาน” หลานเยว่จือพูดพลางหยิบชุดของเกาซูขึ้นมาพิจารณา “แต่ก็ใจกล้าดีนะที่ออกแบบชุดได้ไม่เหมือนใครแบบนี้ แล้วยังกล้าราคาสูงเท่ากับแบรนด์ดัง ๆ อีก”
“ฉันตั้งราคาตามคุณภาพของงานค่ะ” เกาซูตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หลานเยว่จือยิ้มเยาะ “อ้อ เหรอคะ งานของคุณคงจะดีมากเลยสินะ”
“ใช่แล้วล่ะ งานของคุณเกาซูคุณภาพดีมาก แถมแบบยังล้ำไม่ซ้ำใคร ฉันเห็นครั้งแรกก็ชอบเลย ถึงขั้นเดินทางไปขอเป็นหุ้นส่วนกับเธอด้วยตัวเอง เธอใจดีมากเลยนะ ถึงจะไม่ต้องการหุ้นส่วน แต่ก็บอกสามารถทำงานกับฉันได้ เธอควรเอาอย่างคุณเกาซูเขานะ ลูกจ้างจะได้รักเธอมาก ๆ วันก่อนก็เพิ่งลาออกไปสองคน ไม่รู้สึกว่ามันแปลกบ้างเหรอ” หลีจวงหลิวแทรกขึ้น เพราะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันตึงเครียดจากเพื่อนตนเอง
“ฉันไม่จำเป็นต้องเอาอย่างใครหรอกนะ เพราะสิ่งที่ฉันทำอยู่ก็ดีมากอยู่แล้ว… อีกอย่าง เธอรู้ได้ยังไงว่าชุดของคุณเกาซูเขาดีจริง? เธอไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้นี่ ได้ยินมาว่าผลิตเยอะด้วย ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องความเรียบร้อยของฝีเย็บก็ได้”
MANGA DISCUSSION