บทที่ 171 แผนลุงทุนอสังหา
หลังจากที่ทุกคนได้แสดงความยินดีให้กับเกาซูและมู่อวิ่นเฉิงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็พร้อมใจกันออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังบ้านของตระกูลหลู่ ซึ่งในวันนี้ได้จัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองขึ้นอย่างอบอุ่นและเต็มไปด้วยบรรยากาศของครอบครัว
เมื่อเดินเข้าไปในบ้าน โต๊ะอาหารที่ถูกจัดวางไว้อย่างสวยงาม เต็มไปด้วยอาหารน่ารับประทานหลากหลายชนิดตั้งเรียงรายบนผ้าปูโต๊ะปักลายดอกสีขาวสะอาดตา
มีแจกันดอกไม้สดให้กลิ่นหอมละมุนแต่งแต้มไปทั่วทั้งห้องโถง ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความตั้งใจในการจัดงานของเจ้าภาพ ซึ่งทำให้เกาซูและมู่อวิ่นเฉิงรู้สึกเกรงใจและประทับใจอย่างยิ่งกับการจัดเตรียมในครั้งนี้
เมื่อทุกคนเริ่มนั่งประจำที่ หลู่หวางจวง ซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่สุดของตระกูล ได้ลุกขึ้นยืนอย่างสง่างามอยู่ที่หัวโต๊ะ เขาส่งยิ้มอ่อนโยนให้ทุกคน ก่อนจะชูแก้วเหล้าขึ้นพร้อมกับเอ่ยคำพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“วันนี้เป็นวันที่พิเศษมาก เป็นวันที่เราทุกคนได้มารวมตัวกันเฉลิมฉลองให้กับเกาซูและมู่อวิ่นเฉิง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “ทั้งสองคนเป็นเหมือนลูกหลานของฉัน ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ต่อจากนี้ไปพวกเธอจะตั้งอกตั้งใจและขยายกิจการให้ก้าวหน้าและรุ่งเรืองที่สุดเท่าที่จะทำได้”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “ส่วนตัวฉันเองก็เป็นไม้แก่ใกล้ฝั่งแล้ว ก็เพียงหวังว่า เมื่อพวกเธอประสบความสำเร็จและมีความสุขกันไปแล้ว ก็อยากจะขอให้ช่วยโอบอุ้มลูกชายของฉันให้ก้าวเดินไปในเส้นทางที่มั่นคงนี้ด้วย… และขอขอบคุณมิตรภาพดี ๆ ที่มีให้กันมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
เมื่อกล่าวจบ หลู่หวางจวงก็หันไปหยิบกล่องกำมะหยี่ที่วางอยู่ข้างกายขึ้นมาสองกล่อง เขาค่อย ๆ เปิดกล่องออกอย่างระมัดระวัง เผยให้เห็นนาฬิกาข้อมือสองเรือนที่ถูกออกแบบอย่างหรูหราแต่เรียบง่าย สื่อถึงความหมายอันลึกซึ้งในทุกวินาทีที่ก้าวผ่านไป
“นี่เป็นของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ฉันอยากมอบให้” หลู่หวางจวงกล่าวพร้อมส่งยิ้มบาง ๆ “ขอให้นาฬิกาเรือนนี้เป็นเครื่องเตือนใจเธอทั้งสองว่า ทุกวินาทีที่ผ่านไป คือโอกาสที่เราจะสามารถสร้างความสำเร็จใหม่ ๆ ขึ้นมาได้เสมอ”
เกาซูและมู่อวิ่นเฉิงยกมือรับนาฬิกาด้วยความเคารพ ก่อนจะกล่าวขอบคุณด้วยเสียงสั่นเครือ “ขอบคุณนะคะคุณลุง ฉันจะใช้มันเป็นเครื่องเตือนใจในการทำงานและเป็นแรงผลักดันให้พยายามมากขึ้นค่ะ นี่เป็นของขวัญที่มีค่ามากจริง ๆ”
มู่อวิ่นเฉิงยิ้มและเสริม “ผมจะไม่ทำให้ความหวังดีและความปรารถนาดีของท่านต้องสูญเปล่าครับ”
มู่เฟินที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ มองลูกชายและลูกสะใภ้ด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความปลื้มปีติ เธอกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ “แม่ดีใจจริง ๆ ที่ได้เห็นลูกเติบโตมาจนถึงวันนี้ และได้ประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง” จากนั้นเธอหันไปส่งยิ้มให้เกาซู “ขอบใจนะเสี่ยวซู ที่คอยอยู่เคียงข้างและดูแลเสี่ยวเฉิงมาตลอด แม่เชื่อว่าเสี่ยวเฉิงคงมีวันนี้ไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากลูก”
มู่เยว่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ใช่แล้ว แต่ก็ต้องขอบคุณท่านด้วยจริง ๆ ที่ช่วยดูแลสองคนนี้ในตอนที่ห่างสายตาเรา”
จากนั้นก็หันมาพูดกับมู่อวิ่นเฉิงและเกาซู “พ่อเห็นลูกมีความสุข มีครอบครัวที่ดี มีผู้หลักผู้ใหญ่เอ็นดู แล้วก็ประสบความสำเร็จแบบนี้ พ่อก็สบายใจแล้ว”
หลู่ตงเริ่นยิ้มก่อนจะกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงจริงใจ “คุณอาอย่าคิดมากเลยครับ ที่ผู้พันมู่และเกาซูมีคนรักมากมายก็เพราะพวกเขาเป็นคนดี ผมกับครอบครัวต่างหากที่รู้สึกโชคดีที่ได้รู้จักกับคนแบบนี้”
งานเลี้ยงดำเนินไปท่ามกลางเสียงหัวเราะและความสุข ทุกคนต่างแบ่งปันความทรงจำดี ๆ มู่เยี่ยนฟางเล่าเรื่องตลก ๆ สมัยที่อวิ่นเฉิงยังเด็ก มู่เฟินเล่าถึงความภาคภูมิใจที่เห็นลูกชายกับสะใภ้เติบโตมาจนถึงวันนี้
หลังจากงานเลี้ยงที่บ้านตระกูลหลู่จบลง เกาซูและครอบครัวก็กลับมาบ้านเช่าหลังที่พวกเขาอาศัยตั้งแต่สี่ปีก่อน
ทุกคนต่างเหนื่อยล้าจากงานเลี้ยงที่อบอุ่นและยาวนาน แต่เต็มไปด้วยความทรงจำที่มีค่ามากมาย โดยเฉพาะเกาซูที่ยังคงรู้สึกอิ่มเอมใจในทุกคำยินดีและการสนับสนุนจากคนรอบข้าง
เธอมองรอบ ๆ บ้านเช่าที่แม้จะเรียบง่ายแต่ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น ตอนนี้ก็เริ่มวางแผนเตรียมพร้อมสำหรับแผนการใหญ่ เธอตั้งใจจะทะยอยขายของใช้ที่ไม่จำเป็นออกไปบ้าง ส่วนของชิ้นที่สำคัญก็เก็บไว้เป็นระเบียบ เพราะอีกไม่กี่สัปดาห์เด็ก ๆ ก็จะปิดเทอมแล้ว เธอจึงอยากใช้ช่วงเวลานั้นหาบ้านสักหลังเผื่อเอาไว้ในตอนย้ายถิ่นฐานในอนาคต
วันต่อมา มู่เยี่ยนฟาง ตู้เหลียง รวมทั้งมู่เยว่และมู่เฟิน จำเป็นต้องเร่งเดินทางกลับไปทำงานที่โรงงานอีกครั้ง เพราะไม่สามารถทิ้งไว้ได้นาน
ส่วนมู่อวิ่นเฉิงก็เดินทางกลับไปที่กองทัพเพื่อสะสางงานครั้งสุดท้าย ก่อนจะยื่นลาออกอย่างเป็นทางการ เขาบอกเกาซูว่าอาจต้องใช้หนึ่งถึงสองเดือนในการจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย จึงจะสามารถกลับมาหาเธอได้ ระหว่างนี้ก็ให้เธอดูแลเด็ก ๆ ให้ดี แล้วเขาจะมารับในไม่ช้า
ในวันแรกหลังจากทุกคนกลับไป เกาซูก็ใช้เวลาว่างที่เพิ่งมี ในการทำอาหารกลางวันให้เด็ก ๆ จนกลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยฟุ้งไปทั่วบ้าน เด็ก ๆ ได้เห็นเกาซูเข้าครัวทำอาหารอย่างเต็มที่แบบนี้ ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ พวกเขาต่างวิ่งมาดูและช่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ พร้อมเสียงหัวเราะสดใส
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว จงอี้และเสี่ยวเปาก็นั่งเรียงรายกันอยู่รอบโต๊ะอาหาร จ้องมองเค้กช็อกโกแลตเนื้อนุ่มที่เกาซูตั้งใจทำ เด็กทั้งสองต่างยิ้มกว้างเมื่อได้ลองชิมคำแรก พวกเขาชมกันไม่ขาดปาก
“อร่อยที่สุดเลยครับแม่!”
“อร่อยมากเลยค่ะน้าซู!”
“ถึงจะอร่อยก็อย่ากินเยอะกันนักล่ะ กินเสร็จก็ไปแปรงฟันกันด้วยนะ”
“แม่ครับ” จงอี้เอ่ยขึ้นเสียงใส “ผมอยากเอาเค้กที่แม่ทำไปกินที่โรงเรียนด้วย”
เสี่ยวเปาก็พยักหน้าตามอย่างรวดเร็ว “ใช่ค่ะ เค้กของน้าซูอร่อยที่สุดเลย!”
เกาซูหัวเราะเบา ๆ รู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นความสดใสของเด็ก ๆ หลังจากที่ไม่ได้เจอมานาน “ได้สิจ้ะ ถ้าตั้งใจเรียนก็จะได้ห่อไปกินบ่อย ๆ เลย ดีไหม?”
เด็ก ๆ รีบพยักหน้ารับอย่างดีใจ เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยของครอบครัวเล็ก ๆ ดังขึ้น เป็นช่วงเวลาที่เรียบง่ายแต่ก็มีความสุข
หลายวันต่อมา หลังจากส่งเด็ก ๆ ไปโรงเรียนแล้ว เกาซูก็ชวนซ่งยู่หนิงมาช่วยจัดการข้าวของในบ้าน เธอตั้งใจจะขายเฟอร์นิเจอร์และของใช้ที่ไม่จำเป็นให้กับเมี่ยวเฟยหลิน เพื่อนสาวที่กำลังมองหาเฟอร์นิเจอร์มือสองสภาพดีในราคาย่อมเยา
“คุณซูแน่ใจนะว่าจะขายทั้งหมดนี้?” ซ่งยู่หนิงถามพลางช่วยยกกล่องใส่ของไปวางไว้ตรงมุมห้อง
“แน่ใจสิคะ” เกาซูตอบพลางเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมาตามขมับ “ถึงยังไม่รู้ว่าจะย้ายไปไหน แต่ก็อยากเตรียมตัวไว้ก่อน อีกอย่าง…” เธอหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “ฉันก็อยากเริ่มต้นใหม่ ในที่ใหม่ ด้วยของใหม่ ๆ บ้าง”
ซ่งยู่หนิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ เธอรู้ดีว่าที่ผ่านมาเกาซูต้องสู้อดทนกับความยากลำบากมามากแค่ไหนกว่าจะมีวันนี้ได้ คงไม่แปลกนักหากเธอจะอยากให้รางวัลตัวเองด้วยอะไรดี ๆ สักอย่าง
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ทั้งสองก็นั่งพักดื่มชาในห้องที่ตอนนี้แทบจะโล่งเตียน มีเพียงเฟอร์นิเจอร์จำเป็นไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่ยังคงอยู่
ขณะเดียวกัน เมี่ยวเฟยหลินก็เข้ามาพอดี
“เกาซูจ๊ะ เธอว่างไหม พอดีฉันเพิ่งอบขนมเสร็จ อยากให้เธอลองชิมให้หน่อยว่ารสชาติเป็นยังไงบ้าง”
“เอาสิ” เกาซูยิ้มรับ “เธอก็ดีแล้ว ฉันจัดของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เธอให้คนมาขนไปได้เลยจ้ะ”
“อื้ม ขอบใจนะ พรุ่งนี้ฉันจะให้คนงานมาช่วยขน”
“จริงสิ” เกาซูโพล่งขึ้นมาราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ “ฉันกำลังคิดจะหาบ้านสักหลังในเมืองหลวงน่ะ คิดว่าถ้าซื้อไว้ก่อน พอถึงเวลาย้ายจริง ๆ ก็จะได้ไม่ต้องรีบร้อนอะไร”
MANGA DISCUSSION