บทที่ 170 สำเร็จการศึกษา
หลังจากที่ข่าวการร่วมงานระหว่างแบรนด์ชิงชิงและหลีจวงหลิวแพร่สะพัดออกไป ชื่อของเกาซูก็กลายเป็นที่จับตามองของผู้คนในเมืองอย่างรวดเร็ว เธอกลายเป็นแบบอย่างของคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็มักจะมีคนเข้ามาทักทายด้วยความชื่นชม
“คุณเกาซูคะ!” เสียงใสของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นขณะที่เธอกำลังเดินผ่านร้านน้ำชา “หนูเห็นข่าวว่าคุณได้ร่วมงานกับพี่จวงหลิวด้วย สุดยอดมากเลยค่ะ!”
เกาซูยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ขอบคุณนะจ๊ะ”
“คุณเกาซู!” อีกเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา เป็นชายวัยกลางคนที่นั่งดื่มชาอยู่ “ผมเห็นลูกสาวผมใส่เสื้อผ้าของคุณ เธอบอกว่าอยากเป็นนักธุรกิจเก่ง ๆ แบบคุณบ้าง พอจะแนะนำผมได้ไหมว่าต้องเลี้ยงลูกยังไงถึงจะโตไปเป็นอย่างคุณ”
เสียงทักทายและคำชื่นชมดังขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดทาง จนเกาซูต้องคอยยิ้มและโค้งตอบกลับด้วยความสุภาพ แม้ในใจจะรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง
สามวันต่อมา ทุกอย่างก็ยังเป็นเช่นเดิม วันนี้เธอก็ตั้งใจไปจ่ายตลาดด้วยตัวเองอีกครั้ง เพราะอยากหาวัตถุดิบสดใหม่มาทำอาหารให้คนในสำนักงาน แต่เพียงก้าวเท้าเข้าไปในตลาด เสียงจ้อกแจ้กจอแจของแม่ค้าก็ดังขึ้นทันที
“อ้าว! คุณเกาซู วันนี้ก็มาจ่ายตลาดเองเลยเหรอคะ?” แม่ค้าขายผักคนหนึ่งร้องทัก
“ใช่ค่ะ พอดีอยากได้ผักสด ๆ มาทำอาหารให้คนที่ทำงานน่ะคะ” เกาซูตอบพลางเลือกผักลงในตะกร้า
“เมื่อไหร่จวงหลิวจะมาที่โรงงานอีกคะ ฉันอยากจะไปดูตัวจริงของเธอสักหน่อย” แม่ค้าอีกคนถามอย่างตื่นเต้น “เก่งจริง ๆ เลยนะคะ อายุยังน้อยแต่ได้ทำงานร่วมกับดารา”
“สมแล้วที่ได้เป็นภรรยาของผู้พัน” อีกเสียงแทรกขึ้น “สวยก็สวย เก่งก็เก่ง…”
ขณะที่เกาซูกำลังจะตอบ จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา
“อ้าว! พี่เกาซูนี่เอง!”
เสียงที่คุ้นเคยนั้นทำให้เกาซูชะงัก เธอหันไปมองตามเสียงและพบกับใบหน้าที่ไม่อยากเจอที่สุด… นั่นก็คือปิงหว่าน
ปิงหว่านทำท่าทางตื่นเต้นเกินจริง พร้อมกับเข้ากอดแขนเกาซูไว้แน่น “แหม พวกพี่ ๆ คะ พวกเราเคยอยู่หมู่บ้านเดียวกันมาก่อนน่ะค่ะ”
แม่ค้าทั้งหลายพากันออกเสียงอื้ออึงด้วยความสนใจ เกาซูได้แต่ฝืนยิ้มบาง ๆ เพราะตอนนี้เธอคือนักธุรกิจสาว การแสดงอากัปกิริยาอันไร้ความสุขุมอาจส่งผลต่อชื่อเสียงของเธอได้
“สวัสดีจ้ะ ปิงหว่าน”
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไปคุยกันหน่อยไหมคะ?” ปิงหว่านชวน น้ำเสียงฟังดูเป็นมิตร แต่แววตากลับตรงกันข้าม
เกาซูเห็นแบบนั้นจึงปฏิเสธ “ขอโทษทีนะ พอดีวันนี้ฉันมีธุระ…”
“แค่แป๊บเดียวเองค่ะ” ปิงหว่านยืนกราน พลางคว้าแขนเกาซูไว้อีกครั้ง
เมื่อเดินมาถึงมุมเงียบ ๆ ของตลาด ปิงหว่านก็เปลี่ยนสีหน้าทันที
“ได้ยินว่าเธอประสบความสำเร็จมากเลยนะ” ปิงหว่านเอ่ยเสียงเย็นชา “คงภูมิใจมากสินะที่ได้ดีเพราะพี่อวิ่นเฉิง”
เกาซูยิ้มบาง ๆ “ฉันได้ดีเพราะมีสามีคอยให้กำลังใจและช่วยเหลือกัน จะบอกว่าเป็นเพราะใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้หรอกนะ เพราะฉันสองคนสร้างโรงงานนี้มาด้วยความสามารถของตัวเอง ฉันก็มีจุดแข็งของฉัน ส่วนเขาก็ใช้หน้าที่การงานในการช่วยเหลือ จู่ ๆ ก็พูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา คงจะอิจฉาฉันมากเลยสินะ… ปิงหว่าน”
ใบหน้าของปิงหว่านเริ่มแดงก่ำ “อิจฉา? เหอะ ถ้าฉันไม่ทิ้งเขาไป เธอก็คงไม่มีวันนี้หรอก!”
“อ้อเหรอ…” เกาซูตอบเสียงเรียบ “งั้นก็ขอบคุณนะจ๊ะที่ทำให้ฉันมีวันนี้”
“เขาน่าจะมีความสุขมากกว่านี้ถ้าได้อยู่กับฉัน!” ปิงหว่านเอ่ยเสียงสั่น “ฉันรู้จักเขามานาน เข้าใจเขาดีกว่าใคร…”
“เข้าใจเขาดี?… แต่กลับทิ้งเขาไปเพื่อหาคนที่รวยกว่า?” เกาซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงประประชัน “พอเห็นว่าเขามีอนาคตสดใส ก็อยากจะกลับมา… เธอคิดว่ามันยุติธรรมกับเขางั้นเหรอ?”
“เธอไม่คู่ควรกับเขา!”
“ฉันคู่ควรทุกอย่าง!” เกาซูขัดขึ้น น้ำเสียงหนักแน่นกว่าเดิม “ในฐานะภรรยาของเขา แม่ของลูก ๆ และคนที่จะอยู่เคียงข้างเขาไปตลอด… ไม่ว่าเขาจะ ‘รวยหรือจน’”
ปิงหว่านยืนนิ่งงัน ดวงตาเริ่มเอ่อคลอด้วยน้ำตา
“อย่าได้คิดจะกลับมาทำลายความสุขของเขา” เกาซูเอ่ยเบา ๆ “เขาผ่านความเจ็บปวดมามากพอแล้ว และนับจากนี้ก็ถึงเวลาที่เขากับฉันจะได้ในสิ่งที่อดทนรอมาตลอด!”
พูดจบ เกาซูก็หมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้ปิงหว่านยืนนิ่งอยู่ที่เดิม น้ำตาไหลอาบสองแก้ม เธอรู้ว่าทุกคำที่เกาซูพูดคือความจริง… ความจริงที่เจ็บปวด แต่ก็ทำให้เธอต้องยอมรับว่า เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะกลับไปทำร้ายจิตใจของมู่อวิ่นเฉิงอีกแล้ว
อันที่จริง ปิงหว่านก็ไม่ได้ตั้งใจอยากจะมาทวงมู่อวิ่นเฉิงคืน แต่ที่ต้องพูดจาเลวร้ายกับเกาซูไปแบบนั้น ก็เพราะเธออยากจะรู้ว่ามู่อวิ่นเฉิงยังไปได้ดีกับเกาซูจริง ๆ หรือไม่
ระหว่างทางกลับบ้าน เกาซูถอนหายใจยาว ๆ เธอไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับปิงหว่านแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้น การพูดคุยวันนี้ก็ทำให้เธอมั่นใจว่า ความรักที่เธอมีให้มู่อวิ่นเฉิงนั้นเป็นของจริงและบริสุทธิ์… เธอจะรักษามันไว้ให้ดีที่สุด เพราะมู่อวิ่นเฉิงไม่สมควรต้องเจ็บปวดเพราะใครอีกต่อไปแล้ว
และแล้วก็มาถึงวันที่ทั้งเกาซูและมู่อวิ่นเฉิงรอคอย นั่นก็คือวันสำเร็จการศึกษา ท้องฟ้าในวันนี้สดใสไร้เมฆ ราวกับต้องการร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จของทั้งคู่
น่าเสียที่เกาผิงอันสำเร็จการศึกษาพร้อม ๆ กัน แต่กลับไม่ได้อยู่ให้ครอบครัวแสดงความยินดี นั่นเพราะเธอถูกส่งไปเรียนต่อที่ต่างประเทศโดยได้รับทุนจากมหาวิทยาลัย ถึงอย่างนั้น นั่นก็นับว่าเป็นอีกก้าวสำคัญของการสร้างความสำเร็จของน้องสาว เกาซูจึงสนับสนุนเธออย่างเต็มที่
“เสี่ยวเฉิง!” เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน มู่เยว่ ผู้เป็นพ่อ เดินตรงมาพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า ดวงตาฉายแววภูมิใจในตัวลูกชายอย่างหาอะไรมาเปรียบไม่ได้
ไม่ไกลจากนั้น มู่เฟิน ที่อุ้มเกาเริ่นก็รีบเดินตามมาติด ๆ น้ำตาคลอเบ้าด้วยความปลื้มปีติ เธอสวมกอดลูกชายแน่น “ในที่สุดก็สำเร็จอย่างที่ตั้งใจแล้วนะ แม่ภูมิใจในตัวลูก ๆ มาก”
“คุณย่า… ไม่ร้อง…”
เกาเริ่นใช้มือน้อย ๆ ประคองแก้มเหี่ยวย่นของผู้เป็นย่า ก่อนจะหันไปเอ่ยกับเกาซู “แม่… สวยจัง!”
“คำพูดอันบริสุทธิ์ของหนูน้อยทำให้คนฟังอดเอ็นดูไม่ได้”
เกาซูอุ้มเกาเริ่นจากอ้อมแขนของมู่เยี่ยนฟาง ก่อนจะหอมแก้มย้วย ๆ ไปหนึ่งฟอด
มู่เยี่ยนฟางและตู้เหลียงที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก็รีบเข้ามาร่วมแสดงความยินดี
“ยินดีด้วยนะทั้งสองคน” มู่เยี่ยนฟางกล่าวพลางตบบ่าน้องชาย “สมกับที่เป็นน้องชายฉัน ส่วนเสี่ยวซูก็เก่งมาก ดูแลทั้งโรงงานทั้งเรื่องเรียน ไหนจะเด็ก ๆ อีก แบบนี้สิคือหญิงแกร่ง!”
“ขอบคุณครับ” มู่อวิ่นเฉิงตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ขอบคุณพี่สองคนมาก ๆ นะคะ ถ้าไม่ได้พี่สองคนคอยดูแลโรงงานให้ ฉันก็คงไม่วางใจได้ขนาดนี้” เกาซูเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน ตั้งแต่เกิดเรื่องของจูหว่านหรง เธอก็เสียศูนย์ไปไม่น้อย ความไว้ใจที่เคยมีให้ผู้คนกลับกลายเป็นความหวาดระแวงอีกครั้ง
จะมีก็แต่มู่เยี่ยนฟาและตู้เหลียงที่ร่วมสุขร่วมทุกข์กับเธอมาตั้งแต่ต้น ดังนั้น เธอจึงไว้เนื้อเชื่อใจทั้งสองคนอย่างไร้เงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น
ตู้เหลียงยื่นช่อดอกไม้ให้เกาซูและมู่อวิ่นเฉิง “ดีใจด้วย ทั้งเรียนทั้งทำงานแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
“พ่อคะ เสี่ยวเปามีก็มีดอกไม้ให้น้าซูด้วย!” เด็กหญิงตัวน้อยสวมชุดที่เกาซูออกแบบ ยื่นดอกบ๊วยที่ให้ผู้เป็นแม่ช่วยหักมาจากต้นซึ่งอยู่หลังบ้านเมื่อเช้า
ส่วนจงอี้ก็ยื่นกระเป๋าที่ตนเองตั้งใจทำในวิชางานประดิษย์ให้กับเกาซูด้วยสีหน้าเขินอาย
“ผมทำให้แม่ครับ”
เกาซูยิ้มอย่างอ่อนโยน ลูบหัวเขาเบา ๆ ก่อนจะดึงเข้ามาสวมกอดไว้แน่น
“ขอบใจนะ ตั้งแต่วันนี้ไป แม่จะมีเวลาทำอาหารให้พวกลูกกินบ่อย ๆ แล้ว”
ช่วงหลังมานี้ เกาซูเริ่มเรียกจงอี้ว่า ‘ลูก’ ได้อย่างเต็มปาก นั่นเพราะเธอไม่อยากให้เจ้าหนูรู้สึกน้อยใจที่เธอรับเกาเริ่นเข้ามาเป็นลูกสาวอีกคน แต่สำคัญที่สุด จงอี้คือเด็กที่น่ารัก ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติก่อนเขาก็คือคนเดียวที่อยู่เคียงข้างเธอกระทั่งวันที่ลำบากที่สุด ดังนั้น ความรู้สึกที่มีให้กันก็ไม่ต่างอะไรกับลูกในไส้เลยแม้แต่น้อย
MANGA DISCUSSION