บทที่ 165 เกาเริ่น?
เกาซูสะอื้นไห้ในอ้อมกอดของสามี ภาพความทรงจำในชาติก่อนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ทำให้เธอแยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือความจริง อะไรคือความฝัน
มู่อวิ่นเฉิงลูบหลังเธอเบา ๆ พร้อมกับคอยปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ใจเย็น ๆ ก่อน เล่าให้ฉันฟังดี ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่…”
เกาซูสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามควบคุมสติที่กำลังสับสนในอ้อมกอดของมู่อวิ่นเฉิง ความร้อนรุ่มในใจค่อย ๆ เย็นลง เธอเพ่งมองไปยังห่อผ้าในอ้อมแขนของเกาเหวิน เสียงร้องอ้อแอ้ของทารกน้อยดังแว่วมาให้ได้ยิน
และแล้ว เธอก็สังเกตเห็นบางอย่าง… ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นไม่คุ้นเคยเลยสักนิด ไม่มีแววตาดุร้ายเหมือนเกาฉีในความทรงจำ มีเพียงดวงตากลมโตใสซื่อที่มองมาด้วยความงุนงง
“พี่…” เกาเหวินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นจริงจัง “จริง ๆ แล้ว… ผมไม่ได้มาป่วนหรอก แค่… แค่จะมาขอเงินซื้อนมให้ลูก” เขาก้มหน้าลง “แม่มันทิ้งไป… ทิ้งเด็กคนนี้ไว้ให้ผม… ตอนนี้ผมต้องเลี้ยงเด็กคนนี้ลำพัง…”
เกาซูตกตะลึง “เกา… เริ่น?” เธอทวนคำพูดอย่างไม่อยากเชื่อหู
“ใช่แล้ว… เกาเริ่น… ลูกสาวผม” เกาเหวินตอบ
ความจริงพุ่งเข้าใส่เกาซูราวกับคลื่นลูกใหญ่ ทุกอย่างผิดแผกไปจากที่คิด แทนที่จะเป็นเด็กชายที่ชื่อเกาฉี กลับกลายเป็นเด็กหญิงชื่อเกาเริ่นแทน นั่นหมายความว่า… ชะตากรรมได้เปลี่ยนไปแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น… สายตาของเธอก็จ้องมองไปที่เกาเหวิน ผู้เป็นพ่อของเด็ก คนที่จะอบรมสั่งสอนเด็กคนนี้ให้เติบโต… เธอรู้ดีว่าน้องชายของเธอเป็นคนเช่นไร ไม่มีทางที่จะเลี้ยงดูเด็กให้เติบโตเป็นคนดีได้แน่
“เหวิน…” เกาซูเอ่ยขึ้นหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ฉันมีข้อเสนอจะให้แก… ฉันจะให้เงิน 10,000 หยวน สำหรับตั้งหลัก แต่แกต้องยกเด็กคนนี้ให้ฉันเลี้ยง”
เกาเหวินเบิกตากว้าง “พี่พูดจริงเหรอ? 10,000 หยวนเลยนะ?”
“อืม” เกาซูพยักหน้า “เราจะทำสัญญากันอย่างถูกต้อง” เธอหันไปทางมู่เยี่ยนฟางที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “พี่เยี่ยนคะ ช่วยไปตามผู้ใหญ่บ้านกับเลขาธิการพรรคมาเป็นพยานหน่อยได้ไหมคะ?”
มู่เยี่ยนฟางพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบออกไป
มู่อวิ่นเฉิงที่ยืนฟังอยู่ตลอดจับมือภรรยาไว้ “เธอแน่ใจแล้วเหรอ?”
“อืม… คุณก็เห็นสภาพของเจ้าเหวินแล้ว จะปล่อยให้เด็กถูกคนไม่เอาไหนแบบนี้เลี้ยงเหรอ? น่าสงสารแย่เลย” เกาซูตอบ
มู่อวิ่นเฉิงไม่ได้มีปัญหากับการเลี้ยงเด็กหญิงคนเดียว กลับกัน เขาดีใจเสียอีกที่เกาซูให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตคนคนหนึ่งได้ถึงขนาดนี้
ไม่นานนัก ผู้ใหญ่บ้านและเลขาธิการพรรคก็มาถึง สัญญาถูกร่างขึ้นอย่างรวดเร็ว ระบุชัดเจนว่าเกาเหวินยินยอมยกบุตรสาว ซึ่งก็คือ เกาเริ่น ให้เป็นบุตรบุญธรรมของเกาซูและมู่อวิ่นเฉิง โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน 10,000 หยวน
เมื่อเซ็นสัญญาเสร็จ เกาเหวินรีบคว้าเงินแล้วจากไปโดยไม่เหลียวหลัง ทิ้งทารกน้อยไว้ในอ้อมแขนของเกาซูราวกับตัดขาดได้ง่าย ๆ อย่างไรอย่างนั้น
เกาซูอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา มองดวงตาใสซื่อที่จ้องมองเธอ “เกาเริ่น…” เธอกระซิบเบา ๆ “ต่อไปนี้ฉันคือแม่ของเธอ… แม่จะไม่ให้ลูกต้องเติบโตมาเป็นคนเลวเหมือนพ่อของลูก เพราะฉะนั้น มาอยู่ด้วยกันเถอะ”
มือคู่น้อยจับนิ้วชี้ของเกาซูไว้แน่น เจ้าของดวงตากลมโตยิ้มจนแก้มย้วย ๆ เป็นก้อนกลมน่าหยิก
มู่อวิ่นเฉิงโอบไหล่ภรรยา มองลูกสาวตัวน้อยด้วยความเอ็นดู “หน้าตาเหมือนเธอมากเลยนะ อย่างกับว่าโชคชะตากำหนดให้เป็นแบบนี้”
เกาซูพยักหน้า ซบไหล่สามี “ฉันก็หวังให้เป็นอย่างที่คุณพูด ฉันหวังว่าเด็กคนนี้จะเป็นเด็กดีอย่างที่ลูกทหารควรเป็น และอยากให้เธอซื่อสัตย์เหมือนที่ฉันทำมาตลอด”
เมื่อจัดการเรื่องเอกสารเสร็จแล้ว เกาซูก็ตัดสินใจไปคุยกับมู่เฟินที่บ้าน เธอต้องการให้แม่สามีเข้าใจเหตุผลในการรับเด็กมาเลี้ยงด้วยตัวเอง
“แม่คะ” เกาซูเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม “เรื่องที่หนูรับเกาเริ่นมาเลี้ยง ลูกอยากอธิบายให้แม่เข้าใจ…”
“หนูไม่ตั้งใจจะทำอะไรข้ามหัวพ่อกับแม่… แต่ตอนนั้นสถานการณ์มันพาไป…”
มู่เฟินนั่งฟังอย่างตั้งใจ ขณะที่เกาซูเล่าถึงสภาพของเกาเหวินและความกังวลที่มีต่ออนาคตของเด็ก
“หนูไม่ไว้ใจให้เกาเหวินเลี้ยงเด็กค่ะ” เกาซูพูดตรง ๆ “เด็กคนนี้ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย แต่ถ้าปล่อยให้อยู่กับพ่อแบบนั้น… หนูกลัวว่าเธอจะเติบโตมาในทางที่ไม่ดี”
มู่เฟินนั่งนิ่ง สีหน้าดูครุ่นคิดอย่างหนัก “แต่เด็กคนนี้ก็ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเรา…”
“หนูรู้ค่ะ” เกาซูพยักหน้า “แต่อย่างน้อยเธอก็มีสายเลือดของหนูอยู่ ถ้าเราปล่อยให้เธออยู่กับเกาเหวิน… หนูก็กลัวว่าในสักวันเธอจะต้องเป็นแบบเดียวกันกับคนบ้านนั้น ถ้าไม่ถูกขายให้คนมีเงิน ก็คงต้องถูกใช้อย่างกับทาส เด็กคนหนึ่งไม่ควรถูกเลี้ยงดูโดยคนที่เห็นแก่เงินและไม่รับผิดชอบแบบนั้นเลย…”
มู่เฟินถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะเอ่ยด้วยความเข้าอกเข้าใจ “ลูกพูดถูก… แม่เห็นด้วย… คนเราจะเติบโตมาเป็นแบบไหน คนเลี้ยงก็มีส่วนที่จะชี้นำ… ก็ได้… แม่ยอมให้ลูกเลี้ยงเด็กคนนี้… แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่ง… เด็กคนนี้ต้องเปลี่ยนนามสกุลเป็น ‘มู่’ ให้สมกับที่เป็นหลานของแม่ ได้หรือเปล่า?”
เกาซูยิ้มกว้าง พลางพยักหน้ารับรัว ๆ “ขอบคุณแม่มากนะคะที่เข้าใจหนู”
การจัดการเอกสารยืนยันตัวตนของเกาเริ่นเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยตำแหน่งของมู่อวิ่นเฉิงในกองทัพ ทำให้ทุกอย่างสะดวกรวดเร็ว
“แม่คะ” เกาซูเอ่ยก่อนจะขึ้นรถไฟกลับเมืองหลวง “หนูฝากเสี่ยวเริ่นไว้กับแม่ก่อนนะคะ เอาไว้หนูเรียนจบแล้วจะมาดูแลแกด้วยตัวเองค่ะ”
“วางใจเถอะ ตอนนี้เสี่ยวเริ่นก็เป็นหลานของแม่แล้วเหมือนกัน ทำใจให้สบาย แล้วกลับไปเรียนให้ดีล่ะ”
เมื่อร่ำลากันแล้ว เกาซู มู่อวิ่นเฉิง และเด็ก ๆ ทั้งสองก็เดินทางกลับเมืองหลวง
เมื่อกลับถึงบ้านได้ไม่นาน มู่อวิ่นเฉิงก็ได้รับคำสั่งด่วนให้ไปปฏิบัติภารกิจพิเศษที่กองทัพทันที ทำให้เกาซูต้องอยู่ดูแลบ้านกับเด็ก ๆ อย่างเสี่ยวเปาและจงอี้ รวมถึงซ่งหยู่หนิง พี่เลี้ยงของพวกเขา
คืนวันหยุดสุดสัปดาห์นั้น ทุกอย่างดูเงียบสงบ เด็ก ๆ เข้านอนตามเวลาปกติ เกาซูจึงใช้เวลานั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนอน เธอชอบช่วงเวลาสงบเช่นนี้ที่ทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่ง และเธอสามารถดื่มด่ำกับเรื่องราวในหนังสือได้อย่างเต็มที่
แต่จู่ ๆ ความเงียบสงบนั้นก็ถูกทำลายลง เมื่อมีเสียงกุกกักแผ่วเบาดังขึ้นมาจากชั้นล่าง เสียงเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอย่างลับ ๆ ไม่เพียงแค่นั้น เกาซูยังได้ยินเสียงกระซิบกันแผ่ว ๆ ลอดขึ้นมา มันเบาพอที่เธอจะไม่ได้ยินชัดเจน แต่ก็พอที่จะทำให้เธอรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
หัวใจของเกาซูเริ่มเต้นแรงขึ้น ความหวาดระแวงเริ่มก่อตัว เธอพยายามตั้งสติ ค่อย ๆ วางหนังสือลง แล้วลุกจากที่นั่งอย่างระมัดระวัง เธอไม่อยากปลุกซ่งหยู่หนิงหรือเด็ก ๆ โดยไม่จำเป็น จึงตัดสินใจย่องลงบันไดไปชั้นล่างอย่างเบามือเบาเท้า เพื่อตรวจสอบด้วยตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อมาถึงห้องนั่งเล่นชั้นล่าง สิ่งที่เห็นทำให้เกาซูต้องชะงักไปชั่วขณะ ก็คือภาพชายฉกรรจ์สามคนในชุดดำสนิทยืนอยู่หน้าตู้เก็บของและกำลังรื้อค้นอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาปิดบังใบหน้าด้วยผ้าคลุมสีดำเช่นกัน และดูเหมือนพยายามงัดลิ้นชักที่ถูกล็อคไว้
“พี่หม่า… รีบหน่อยเถอะ เดี๋ยวก็มีคนลงมาหรอก!” ชายคนหนึ่งที่ดูผอมบางกว่าเพื่อนอีกสองคนเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน
อีกคนซึ่งเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่กำลังงัดลิ้นชักด้วยเครื่องมือหันมาดุอย่างไม่สบอารมณ์ “หุบปากซะเสี่ยวเจียง! ถ้าแกพูดอีกคำ ฉันจะงัดฟันแกออกมาแทน!”
เสียงคำรามต่ำของชายคนนั้นยิ่งทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นไปอีก เกาซูยืนตัวแข็ง หัวใจเต้นระรัวด้วยความตื่นตระหนก แต่ในเวลาเดียวกัน สติของเธอยังทำงานได้ดี เธอรู้ทันทีว่าชายทั้งสามคนนี้คือขโมย และพวกเขากำลังมองหาของบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในบ้านเธอ
แม้ว่าจะตกใจกลัวมากเพียงใด แต่เกาซูก็รู้ว่าตนเองไม่สามารถหนีไปได้ในตอนนี้ โดยเฉพาะเมื่อเสี่ยวเปาและจงอี้นอนอยู่บนชั้นสอง เธอต้องปกป้องเด็ก ๆ จากอันตราย เพราะไม่รู้เลยว่าเจ้าสามคนนี้จะขึ้นไปรื้อต่อชั้นบนหรือไม่
MANGA DISCUSSION