บทที่ 164 ชายหน้าด้าน
แม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามพูดดี และปรับปรุงตัวเองอย่างไร แต่สำหรับเกาซูแล้ว เธอมองเห็นเพียงคำว่า ‘ผลประโยชน์’ แปะอยู่บนหน้าหลี่จวิ้นตลอดเวลา
“เมื่อไหร่นายจะเลิกตามตื๊อฉันสักที จำที่ฉันพูดไม่ได้แล้วเหรอ?” เกาซูเอ่ยอย่างเหลืออด “ฉันไม่อยากให้คนอื่นมาเข้าใจผิดนะ”
“เกาซู ฉันทำแบบนี้ก็เพราะอยากไถ่โทษที่เคยพูดจาไม่ดีเท่านั้นเอง เราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันไม่ได้เชียวเหรอ?”
“ไม่! ฉันไม่เคยอยากเป็นเพื่อนกับนาย เลิกตอแยฉันแล้วไปเกาะผู้หญิงรวย ๆ ซะ”
แม้จะถูกต่อว่าอย่างไรหลี่จวิ้นก็ไม่ย่อท้อ เขายังคงพยายามเข้าหาเธอครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นเวลากว่าสามเดือน
จนกระทั่งถึงวันงานเลี้ยงสถาปนาสาขาจิตวิทยา เกาซูได้รับเกียรติให้เป็นตัวแทนขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ ในฐานะนักศึกษาที่สามารถเรียนควบคู่ไปกับการทำธุรกิจได้อย่างประสบความสำเร็จ
คืนนั้น เธอสวมชุดกระโปรงสีดำเรียบหรู เดินขึ้นเวทีอย่างสง่างาม ทุกคนต่างจ้องมองด้วยความชื่นชม
“สวัสดีอาจารย์และเพื่อน ๆ ทุกคนค่ะ” เธอเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้…”
ขณะที่เธอกำลังกล่าวถึงประสบการณ์การเรียนและการทำธุรกิจ ทุกคนต่างก็ตั้งใจฟังด้วยความสนใจ บางคนถึงกับจดบันทึกเอาไว้ประหนึ่งว่าคำพูดของเธอเป็นเหมือนกับพรจากพระเจ้า
“…และสุดท้ายนี้ ฉันอยากจะฝากถึงทุกคนว่า อย่ากลัวที่จะก้าวออกจากกรอบเดิม ๆ ของตัวเอง เพราะโอกาสมักจะอยู่นอกกรอบที่เราคุ้นเคยเสมอ ขอบคุณค่ะ”
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วหอประชุม แต่ทันใดนั้น หลี่จวิ้นก็เดินถือช่อกุหลาบสีแดงขึ้นมาบนเวที
“เกาซู…” เขาเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ผมชื่นชมคุณมาตลอด ทั้งความเก่ง ความมุ่งมั่น และความสวยของคุณ…” เขาเว้นวรรคไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ทำให้เกาซูต้องอับอาย “ผมลังเลมานาแล้วว่าจะพูดเรื่องดีไหม… แต่ในเมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคนแล้ว… ผมก็อยากให้ทุกคนเป็นพยาน… เกาซูครับ… ผมชอบคุณ…”
เสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วหอประชุม แต่สายตาของเกาซูกลับเหลือบไปเห็นมู่อวิ่นเฉิงยืนอยู่มุมหนึ่ง สีหน้าของเขาเรียบนเฉย แต่เธอรู้ดีว่าในใจอีกฝ่ายคงกำลังไม่สบอารมณ์อยู่
ด้วยสัญชาตญาณ เธอปัดช่อดอกไม้ออกทันที “ฉันมีสามีแล้ว!” เธอประกาศเสียงดังลั่น ก่อนจะวิ่งลงจากเวทีไปหามู่อวิ่นเฉิง
หลี่จวิ้นยืนตะลึง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย ก่อนจะขึ้นมาบนเวที เขามั่นใจเหลือเกินว่าตนเองได้ทำคะแนนมามากพอที่จะทำให้เกาซูใจอ่อน แต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะทิ้งอดีตที่มีร่วมกับเขาไปจนหมดสิ้น และมั่นคงในรักกับมู่อวิ่นเฉิงขนาดนี้
เกาซูเดินมาควงสามีไปแนะนำทำความสนิทสนมกับเพื่อน ๆ ในกลุ่มของตนเอง แต่ละคนต่างก็ชื่นชมในความเหมาะสมของทั้งคู่ และยังแสดงความยินดีกันไม่ขาดปาก
งานเลี้ยงดำเนินต่อไปอย่างสนุกสนาน ทุกคนดื่มกันจนเมามาย รวมถึงเกาซูที่ถูกรุมอวยพรจนเริ่มไม่ได้สติ
“เกาซู พอได้แล้ว” มู่อวิ่นเฉิงปรามเสียงเรียบ
“ไม่เป็นไรหรอกน่า วันนี้มีคุณอยู่นี่นา” เธอพูดเสียงอ้อแอ้
ในที่สุด มู่อวิ่นเฉิงก็ต้องให้เธอขี่หลัง พาเดินกลับบ้าน
“คุณโกรธไหม? ที่หลี่จวิ้นทำแบบนั้น” เกาซูเอ่ยถามระหว่างทาง
“โกรธสิ” มู่อวิ่นเฉิงตอบ “แต่โกรธตัวเองมากกว่า ที่ได้แต่ยืนดูเฉย ๆ”
“ฮึ ๆ คุณพูดอะไรแบบนี้เป็นด้วยเหรอ? อย่าบอกนะว่าเมา?”
“ฉันไม่ได้ดื่มสักหน่อย จะเมาได้ยังไง”
เกาซูยิ้มแก้มแทบแตก เธอไม่เคยเห็นมุมแบบนี้ของมู่อวิ่นเฉิงมาก่อน ปกติแล้วเขามักจะไม่ค่อยพูดความรู้สึกตัวเอง พอได้ยินแบบนี้แล้วก็รู้สึกดี
“ฉันจะไปคุยกับเขาเอง” จู่ ๆ มู่อวิ่นเฉิงก็เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ “ฉันปล่อยให้เขายุ่มยามกับเธอมากเกินไปแล้ว”
เกาซูซบหน้าลงกับแผ่นหลังของสามี รู้สึกอบอุ่นใจที่มีเขาอยู่เคียงข้าง “ขอบคุณนะ…”
ชายหนุ่มแบกหญิงสาวเดินเอื่อยเฉื่อยไปตามทาง เขาไม่รีบร้อน ราวกับต้องการตักตวงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเธอให้นานที่สุด
เวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับความฝัน เผลอเพียงไม่ทันไรก็ถึงวันครบรอบหนึ่งปีของการก่อตั้งโรงงาน
ผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจมาก เพียงปีแรก หักลบต้นทุนทั้งหมดแล้วก็ยังได้กำไรถึง 350,000 หยวน เกาซูจึงได้จัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง และตอบแทนความยากลำบากของทุกคนในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานี้
นอกเหนือจากโบนัสตามไตรมาสแล้ว ยังได้ในวันนี้อีกคนละ 500 หยวน ทำให้คนงานทุกคนต่างก็ส่งเสียงสรรเสริญกับซูกันยกใหญ่
เกาซูยืนอยู่บนเวที มองดูใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความสุขของคนงานทุกคน เธอรู้สึกปลาบปลื้มใจที่สามารถสร้างรอยยิ้มให้กับพวกเขาได้
“วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปีของโรงงานเรา” เธอเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา พวกเราต่างร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมามาก จากโรงงานเล็ก ๆ ที่เพิ่งเริ่มต้น จนตอนนี้เราเริ่มเป็นที่รู้จักและมีรายได้เพิ่มขึ้นทุกรอบการผลิต”
เธอหยุดชั่วครู่ มองไปยังคนงานหญิงที่กำลังตั้งครรภ์คนหนึ่ง ก่อนจะประกาศต่อ “และวันนี้ ฉันมีข่าวดีจะประกาศให้ทุกคนได้ทราบ… สำหรับคนงานหญิงที่ตั้งครรภ์ระหว่างการทำงาน ฉันจะอนุญาตให้ลาคลอดได้ถึง 5 เดือน โดยที่ยังได้รับเงินเดือนเต็มจำนวน!”
เสียงฮือฮาดังขึ้นทันที ตามด้วยเสียงปรบมือดังกึกก้อง คนงานหญิงหลายคนถึงกับน้ำตาคลอ เพราะพวกเธอทั้งหลายต่างรู้ดีว่าชีวิตที่ต้องอุ้มท้องนั้นต้องแบกรับความกดดันมากเพียงใด
“เถ้าแก่ซูใจดีที่สุด!” เสียงชายคนหนึ่งตะโกนขึ้น แม้พวกเขาจะไม่ได้รับผลประโยชน์จากสิ่งนั้นโดยตรง แต่ก็ดีใจที่ในอนาคตหากภรรยาของตนเองซึ่งทำงานที่นี่ด้วยตั้งครรภ์ขึ้นมาก็จะไม่ต้องฝืนตัวเองมาทำงานหลังคลอด หรืออาจต้องลาออกไปเลี้ยงลูก
“พวกเราโชคดีจริง ๆ ที่ได้ทำงานที่นี่” อีกเสียงเสริม
“ขอให้โรงงานเราเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป พวกเราจะเติบโตไปด้วยกัน!” ลุงเจี้ยนลุกขึ้นชูแก้ว
ขณะที่บรรยากาศกำลังครึกครื้น จู่ ๆ มู่เยี่ยนฟางก็เดินมากระซิบข้างหูเกาซู “เสี่ยวซู น้องชายเธอมาหาน่ะ ฉันกลัวว่าเขาจะมาป่วน เลยให้รอที่ห้องรับรองน่ะ”
สีหน้าของเกาซูเปลี่ยนไปทันที เธอขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะรีบเดินตรงไปยังห้องรับรอง
เมื่อเปิดประตูเข้าไป ภาพที่เห็นก็ทำให้เธอชะงักงัน… เพราะเกาเหวินกำลังอุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมแขน พลางส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาที่เธอ
“พี่สาวที่รัก นานแล้วนะที่เราไม่ได้เจอกัน โรงงานใหญ่โตเลยนี่ ดูท่าว่าจะไปได้สวย เพราะมีปัญญาแจกโบนัสพนักงานตั้งเป็นร้อยชีวิต” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงยียวน
ทันใดนั้น ภาพความทรงจำในชาติก่อนก็ถาโถมเข้ามาในหัวเธอ… ภาพที่เกาฉี หลานชายเนรคุณพยายามฆ่าเธอ… คำพูดเหยียดหยามของครอบครัว… ความเจ็บปวดทั้งหมดที่เธอต้องทนมาในชาติก่อน… ทุกอย่างล้วนถูกปลุกจนเกิดเป็นคลื่นลูกใหญ่ในหัวใจ
“อย่านะ…” เกาซูพึมพำ มือคู่สวยสั่นระริก “เอาเด็กออกไป…”
“ทำไมล่ะ?” เกาเหวินยิ้มกว้างขึ้น “นี่เป็นลูกของฉัน หลานของพี่เชียวนะ ดูสิน่ารักไหม ?”
“ฉันบอกให้เอามันออกไป!” เกาซูตะโกนลั่น พลางพุ่งเข้าใส่เกาเหวิน ดวงตาของเธอแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น มือเอื้อมไปคว้าตัวทารกน้อย หวังจะบีบคอให้ตายเสียเดี๋ยวนั้น
ทว่าในจังหวะนั้นเอง มู่อวิ่นเฉิงก็พุ่งเข้ามาคว้าตัวเธอไว้ได้ทัน “เกาซู! สงบสติอารมณ์หน่อย!”
“ปล่อยฉัน! มู่อวิ่นเฉิง!” เกาซูดิ้นรนสุดแรง น้ำตาไหลพราก “ไอ้เด็กสารเลวเกาฉี! พวกคนชั่วตระกูลเกา! พวกมันพยายามจะฆ่าฉัน!”
แม้จะไม่เข้าใจที่เธอพูด แต่มู่อวิ่นเฉิงก็กอดเธอไว้แน่น “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมเธอถึงได้…”
“ฮ่า ๆ” เกาเหวินหัวเราะเสียงดัง “พี่ พี่เป็นบ้าไปแล้วเหรอ? ใครจะฆ่าพี่? แล้วเกาฉีคือใคร?”
MANGA DISCUSSION