บทที่ 152 ช่วงเวลาดี ๆ ร่วมกัน?
มู่อวิ่นเฉิงเงียบไป เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เกาซูแสดงออกมาอย่างชัดเจน แต่เขาก็ยังคงยืนอยู่ในจุดที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย
“เกาซู…” เขาพยายามปลอบประโลม “ฉันเข้าใจว่าเธอรู้สึกยังไง ฉันรู้ว่าเธอกลัว แต่การลาออกจากกรมทหารไม่ใช่คำตอบ มันคือชีวิตที่ฉันเลือกแล้ว…”
แม้คำพูดของเขาจะเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่มันกลับไม่สามารถปลอบใจเกาซูได้เลย เธอยังคงร้องไห้และส่ายหน้าปฏิเสธอย่างสิ้นหวัง น้ำตาของเธอหลั่งรินลงอย่างไม่อาจหยุดยั้ง ขณะที่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่สามารถบรรเทาได้
มู่อวิ่นเฉิงดึงเธอเข้ามากอด เขารู้ดีว่าการสนทนาครั้งนี้จะไม่ง่าย การที่เขาพยายามจะอธิบายเหตุผลเรื่องการไม่ยอมลาออกจากกรมทหารตามที่เธอต้องการเป็นเรื่องที่น่าหนักใจไม่น้อย เป้าหมายของทั้งคู่ไม่ตรงกันตั้งแต่แรก ในความคิดของเธอมีเพียงอยากจะได้อยู่ด้วยกันเร็ว ๆ เท่านั้น ส่วนเขา ก็เพียงแค่อยากจะรับใช้ชาติอย่างสุดความสามารถเท่าที่คนคนหนึ่งจะทำได้
“ฮึก… นี่คุณไม่เข้าใจฉันเลยจริง ๆ เหรอ?” เกาซูถามด้วยน้ำเสียงที่ปนความเหนื่อยใจ “ไม่ใช่เพราะฉันอยากอยู่ใกล้คุณหรือไงถึงได้ขออะไรแบบนี้ออกมา”
“เกาซู…” มู่อวิ่นเฉิงเอ่ยเบา ๆ “ใจเย็น ๆ สิ เธอไม่ดีใจเหรอที่ฉันสามารถช่วยปกป้องประเทศเราได้…”
เกาซูเงียบไปชั่วครู่ จ้องมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคิดคำนึง สุดท้ายเธอถอนหายใจยาวเหยียดและลุกขึ้นนั่ง “ฉัน… ก็ดีใจ… แต่สำหรับฉัน… ชีวิตคุณสำคัญกว่าทุกอย่างในโลกนี้… คุณเข้าใจฉันไหม?”
“…”
เวลาผ่านไปสัครู่ใหญ่ ความเงียบในห้องทำให้บรรยากาศตึงเครียด แต่แล้วเกาซูก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลลง พร้อมกับดวงตาที่ฉายแววอ้อนวอน “ถ้างั้น… ฉันมีข้อเสนอใหม่ คุณไม่ต้องลาออกตอนนี้ก็ได้… แต่ในอนาคต… ถ้าคุณเรียนจบแล้ว และฉันสามารถก่อตั้งโรงงานได้สำเร็จจนเป็นรูปเป็นร่าง คุณต้องลาออกมาอยู่กับฉัน… แบบนี้คงไม่มีปัญหาใช่ไหม?”
มู่อวิ่นเฉิงครุ่นคิด ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในใจคือ ‘อีกนาน’ กว่าที่ทั้งเขาและเธอจะเรียนจบและถึงจุดที่โรงงานประสบความสำเร็จ เขายิ้มบาง ๆ และพยักหน้า
“ก็ได้”
ได้ยินดังนั้น หญิงสาวก็รีบปาดน้ำตา แล้วโผเข้ากอดเขาอีกครั้ง “จริงนะ?”
“อืม” มู่อวิ่นเฉิงยืนยันพลางจับมือเธอเบา ๆ “ขอแค่เธอไม่ถอดใจก่อนซะก่อนก็พอ”
เกาซูพยักหน้าอย่างพอใจ ปล่อยให้ตัวเองซุกหน้าในอกเขา แม้วันนี้จะขอร้องเขาไม่สำเร็จ แต่มู่อวิ่นเฉิงเป็นคนที่รักษาสัญญา อะไรที่เขาพูดไว้แล้วย่อมไม่คืนคำ จากนี้เธอเพียงแค่อดใจรอและตั้งใจกับทำในสิ่งที่ควรทำไปก่อน
เช้าวันต่อมา
เกาซูตื่นขึ้นมาในความเงียบสงบ เมื่อยื่นมือคลำไปข้าง ๆ เตียง กลับพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีมู่อวิ่นเฉิงอยู่ข้างกายอย่างที่คาดไว้ เธอค่อย ๆ ลุกขึ้น หันไปมองรอบ ๆ จนสายตาไปสะดุดเข้ากับกระดาษแผ่นเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง
เธอหยิบมันขึ้นมาอ่านข้อความสั้น ๆ ที่ถูกเขียนด้วยลายมืออันเรียบร้อยของมู่อวิ่นเฉิง
‘ฉันต้องกลับเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว แล้วเจอกัน’
เกาซูอ่านจบแล้วก็ยิ้มบาง ๆ เธอเข้าใจว่ามู่อวิ่นเฉิงต้องกลับไปเรียนและคงไม่อยากรบกวนการนอนของเธอจึงได้เขียนจดหมายเล็ก ๆ เอาไว้ เธอวางกระดาษแผ่นนั้นไว้ที่เดิมก่อนจะลุกจากเตียง เตรียมตัวสำหรับวันใหม่
หลังจากใช้เวลาช่วงเช้าไปกับการทำงานส่วนตัว ช่วงสายเกาซูก็เริ่มเตรียมอาหารให้จงอี้
เธอตั้งใจทำอาหารมื้อพิเศษให้เจ้าหนู และมันก็ทำให้จงอี้ยิ้มได้ทุกครั้งเมื่อเห็นจานอาหารที่จัดวางสวยงามอยู่บนโต๊ะ
ทั้งสองคนใช้เวลาเพลิดเพลินไปกับการพูดคุยและทานอาหารด้วยกันตามประสา ภาพที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ว่าใครได้เห็นก็คงคิดว่าเธอเป็นแม่ของเด็กน้อยจริง ๆ เธอทั้งยิ้มและหัวเราะเวลาที่อีกฝ่ายพูดเรื่องไร้สาระให้ฟัง นอกจากนี้ยังคอยตักส่วนที่อร่อยที่สุดในจานให้อยู่เสมอ
หมดวันแล้ว หลังจากเก็บโต๊ะมื้อเย็นและลาจงอี้ เกาซูก็เดินทางกลับมายังหอพักนักศึกษา
ระหว่างทางเธอรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยจากกิจกรรมกับเจ้าหนูมาทั้งวัน แต่เมื่อใกล้ถึงทางเข้าหอพัก เธอก็ชะงักไปเมื่อเห็นหลี่จวิ้นยืนรออยู่ที่ด้านหน้า สีหน้าของเขาดูไม่สบอารมณ์อย่างชัดเจน
หลี่จวิ้นยืนเท้าแขนพิงกำแพง ร่างสูงใหญ่ของเขาทำให้เกาซูรู้สึกถึงแรงกดดันที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ดวงตาของเขาจ้องมาที่เธออย่างตรงไปตรงมา
“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” เสียงของเขาเย็นเยียบและหนักแน่น แต่แฝงไปด้วยความไม่พอใจที่เกาซูรู้สึกได้
เธอหยุดยืนตรงหน้าเขา ถอนหายใจเบา ๆ เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่หลี่จวิ้นจะพูดคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ “มีอะไรเหรอ?” เธอถามเสียงเย็นชา
หลี่จวิ้นยังคงจ้องมองเธอเหมือนต้องการหาคำตอบบางอย่างที่ค้างคาในใจ
“เธอจะไปพบคุณลุงหลู่อีกทีเมื่อไหร่?”
หญิงสาวกระตุกรอยยิ้มเย้ยหยัน
ที่แท้เขามารอเธอตั้งนานเพราะเรื่องนี้นี่เอง น่าสมเพชจริง ๆ!
เธอได้แต่คิดในใจ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงกวนประสาท
“ฉันจะไปตอนไหนไม่จำเป็นต้องคิดล่วงหน้าหรอก เพราะสำหรับฉัน ไม่ว่าจะเมื่อไหร่บ้านนั้นก็พร้อมต้อนรับเสมอ”
หลี่จวิ้นไม่ค่อยพอใจในคำตอบของเธอนัก แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็พยายามข่มใจไม่ให้พูดจาไม่เข้าหูเธอ
“เกาซู ฉันมีเรื่องอยากจะรบกวนสักหน่อย พอดีฉันกำลังมีโครงการใหญ่ที่อยากจะเสนอคุณลุงหลู่ ถ้าเธอพอจะมีน้ำใจ ครั้งหน้าช่วยชวนฉันไปพบท่านหน่อยจะได้หรือเปล่า?”
หญิงสาวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน นอกจากเธอจะไม่ตอบคำถามเขา แต่เธอยังเลือกที่จะเดินหนีอีกต่างหาก ทำให้อีกฝ่ายถึงกับลนลานรีบวิ่งมาขวางทางไว้
“เกาซู ขอร้องเถอะนะ อนาคตของฉันขึ้นอยู่กับเธอแล้ว ถ้าเธอไม่อยากพูดกับฉันก็แค่ส่งจดหมายมาบอกก็ได้… นี่ที่อยู่ฉันเอง…” ชายหนุ่มยัดกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ใส่ไว้ในมือของเกาซู
หญิงสาวยิ้มเยาะ ก่อนจะกุมมืออีกฝ่ายไว้
“อย่ามาขอร้องฉันเลย คนบ้านนอกอย่างฉันคงช่วยอะไรนายไม่ได้หรอก ทำไมไม่ขอให้เพื่อนนายช่วยล่ะ หลู่เฟิงไง… เอ๊ะ… หรือว่าเขาไม่คบนายแล้ว?”
หลี่จวิ้นได้แต่กำหมัดแน่น ฝืนยิ้ม และขอร้องเธอด้วยน้ำเสียงที่ไม่ว่าฟังอย่างไรก็ไม่มีความจริงใจเลยแม้แต่น้อย
“เกาซู ฉันขอโทษที่เคยพูดจาแบบนั้นไป แต่ฉันหวังดีกับเธอนะ ถ้าฉันไม่พูดแบบนั้น เธอจะใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังขึ้นเหรอ? เชื่อฉันเถอะ ฉันมีแต่ความหวังดีให้เธอ” เขาเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายกุมมือเธอแทน “เธอลืมไปแล้วเหรอ… ว่าเราเคยมีช่วงเวลาดี ๆ ร่วมกันมากแค่ไหน”
พูดถึงเรื่องอดีต เกาซูก็ยิ่งแค้นใจ เพราะนอกจากจะทุ่มเทเวลาเพื่อเขาแล้ว เธอยังทุ่มเทหัวใจให้เขาจนไม่เหลือเผื่อใคร มาถึงวันที่หูตาสว่างแล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดคำไหน เธอก็ไม่เชื่อเลยสักนิด หนำซ้ำยังขำตัวเองที่เคยหลงเชื่อได้ลงคอ
หญิงสาวหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะพูดเหน็บแนมอย่างไร้เยื่อใย “มีช่วงเวลาดี ๆ ร่วมกัน? เหอะ! หลี่จวิ้น ช่วงเวลาดี ๆ ร่วมกันที่ไหนเหรอ? นายต่างหากที่มีช่วงเวลาดี ๆ อยู่คนเดียว เพราะที่ผ่านมา ฉันต้องเป็นฝ่ายวิ่งไล่ตามและถูกหลอกใช้มาตลอด!”
MANGA DISCUSSION