บทที่ 147 ถึงเวลาที่เธอจะต้องขายหน้าแล้ว
เกาซูไม่ได้สนใจคำพูดดูแคลนของหลี่จวิ้น เธอเพียงเอ่ยกับหลู่เหยาหลี่ด้วยน้ำเสียงเอาใจว่า “ฉันเองก็ไม่รู้ว่าพี่เหยาหลี่จะไปรับ ไม่อย่างนั้นคงรอที่นั่นค่ะ ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์ไปรับ เกือบจะได้นั่งรถหรูแล้วเชียว!”
บทสนทนาที่ดูเป็นกันเองราวกับคนสนิท ยิ่งทำให้เปลวไฟในใจของหลี่จวิ้นลุกโชน ความร้อนรุ่มแล่นพล่านไปทั่วร่าง แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว ก็คือคำตอบที่ดูแข็งกระด้างนี้ เธอไม่กลัวคุณหนูหลู่ไม่พอใจหรือไง?
“แหม ถ้าเธออยากนั่งรถ ฉันพาออกไปตอนนี้ยังได้เลยนะ หึหึ!” หลู่เหยาหลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้าหยอก
ดูจากการที่หลู่เหยาหลี่ยิ้มแย้มและไม่ถือสาคำพูดของเกาซูแล้ว หลี่จวิ้นก็รู้ได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเกาซูและคนตระกูลนี้จะต้องไม่ใช่แค่คนรู้จักธรรมดา ๆ แน่
ยิ่งคิดหลี่จวิ้นก็ยิ่งร้อนรน เขาใช้ชีวิตอยู่ในชนบทห่างไกลกับเกาซูนานหลายปี ถ้าอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลใหญ่โตเช่นนี้ ทำไมถึงไม่เคยปริปากบอกเขาเลยสักคำ!
ทันใดนั้นหลู่เฟิงที่เดินตามหลังหลู่เหยาหลี่มาเงียบ ๆ ก็เอ่ยขึ้น “ที่แท้ก็เป็นแขกของพี่เหยาหลี่นี่เอง ทำไมถึงไม่แนะนำให้รู้จักหน่อยล่ะครับ”
หลู่เหยาหลี่ทำท่ามีเลศนัย “อย่ารู้เลย ถ้ารู้แล้วเธอจะตกใจเปล่า ๆ!”
หลู่เฟิงได้ยินแล้วก็ตาเป็นประกาย “พี่เหยาหลี่ พูดแบบนี้ผมก็อยากรู้จริง ๆ แล้วสิครับ!”
“เกาซูเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับเธอนะ เธอไม่รู้เหรอ?”
“หา?” หลู่เฟิงถึงกับตะลึงงัน เมื่อตั้งสติได้ จึงหันไปถามเกาซูด้วยตนเอง “พี่สาวคนสวยครับ ขอถามหน่อยได้ไหมว่าพี่เรียนคณะอะไร?”
“จิตวิทยาน่ะจ้ะ” เกาซูตอบอย่างตรงไปตรงมา เธอไม่ได้รู้สึกรังเกียจที่หลู่เฟิงเรียกเธอว่าพี่สาว เพราะหลู่เฟิงดูอายุน้อยมาก หากจะให้พูด เธอมีอายุจะ 50 ปีแล้ว ควรจะเรียกคุณป้าเสียด้วยซ้ำ!
หลู่เฟิงได้ยินคำตอบแล้วก็ขมวดคิ้วง่วน ก่อนจะมองไปที่หลี่จวิ้น “งั้นเธอก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นกับนายสิ?”
เกาซูยิ้มบาง ๆ แล้วตอบแทนชายหนุ่ม “ฉันไม่ค่อยสนิทกับคุณหลี่เท่าไหร่หรอกจ้ะ พวกเราเรียนชั้นเดียวกัน แต่ก็อยู่กันคนละกลุ่มน่ะ”
หลี่จวิ้นพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกไม่พอใจ รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วเอ่ยกับเกาซูด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “คุณเกาซู บังเอิญจังนะครับที่ได้เจอกันที่นี่ ต่อไปเราคงมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความรู้กันแล้วล่ะครับ”
เกาซูได้แต่ยิ้มมุมปาก ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ ตอบกลับ
ทันใดนั้น เสียงพูดคุยจากด้านนอกก็ดังขึ้น หลู่เฟิงหันไปมองแล้วร้องขึ้นว่า “คุณลุง คุณป้า กลับมาแล้วเหรอครับ!” จากนั้นจึงรีบเดินนำไปเปิดประตูต้อนรับอย่างประจบประแจง
จากนั้น ร่างของชายหญิงสูงวัยคู่หนึ่งปรากฏขึ้น
ฝ่ายหญิงรูปร่างเล็กเพรียว ผมสั้นประบ่า ท่าทางสง่างาม บ่งบอกถึงความรู้ความสามารถ
ส่วนฝ่ายชายรูปร่างสูงใหญ่ แม้จะเดินไม่ค่อยสะดวกนัก แต่แววตากลับคมกริบ คิ้วเข้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม ชวนให้นึกถึง หลู่เหยาหลี่ ที่ดูเหมือนจะถอดแบบบุคลิกมาจากผู้เป็นพ่อไม่มีผิดเพี้ยน
หลู่เหยาหลี่จูงมือเกาซูเข้าไปแนะนำกับพ่อและแม่ “คุณพ่อ คุณแม่ นี่เกาซูค่ะ ที่หนูเคยเล่าให้ฟัง ตอนนี้เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับหนูด้วย เธอเก่งมาก ๆ เลยอยากจะแนะนำให้รู้จักค่ะ” จากนั้นก็หันไปพูดกับเกาซู “เกาซูจ๊ะ นี่คุณพ่อกับคุณแม่ของฉันเอง ท่านอยากให้เธอมาที่บ้านนานแล้ว แต่ฉันบอกว่าเธอกับน้องสาวเพิ่งมาถึง คงยังไม่สะดวก เลยนัดไว้เป็นวันนี้ล่ะ”
ชายแก่มองเกาซูอย่างพิจารณา ก่อนเอ่ยชม “หน่วยก้านดูดี โหงวเฮ้งใช้ได้ หน้าตาอิ่มเอิบ อนาคตไกลแน่ ๆ”
“ขอโทษนะจ๊ะเกาซู ที่ปล่อยให้รอตั้งนาน ที่จริงวันนี้มีแขกมาที่บ้านด้วย แต่พวกเราดันออกไปข้างนอกกันหมด ต้องขอโทษจริง ๆ หวังว่าเธอจะไม่ถือสานะจ๊ะ” คุณหลู่กล่าวอย่างสุภาพ สมกับเป็นคนมีชาติตระกูล
“คุณป้าครับ อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ พวกเราเป็นคนกันเอง จะมาเกรงใจอะไรกันล่ะ” หลู่เฟิงรีบพูดแทรก
ได้ยินดังนั้น เกาซูจึงรู้ว่าควรจะเรียกคนทั้งสองว่าอย่างไร
คุณนายหลู่มีอารมณ์ขันอยู่เหมือนกัน เธอแซวหลู่เฟิงว่า “พวกเราขอโทษเกาซูที่ต้องรอต่างหาก เธอมาบ้านเราครั้งแรกแท้ ๆ ไม่เหมือนแกสักหน่อย ตอนเด็ก ๆ มานอนแช่อยู่บ้านเราทั้งวี่ทั้งวัน ซ้ำคอยตามติดพี่เหยาหลี่ไปเล่นด้วยตลอด”
“ฮ่า ๆ ๆ ก็พี่เหยาหลี่เป็นพี่สาวผมนี่! ที่ผมตามติดก็เพราะคอยเป็นหูเป็นตาให้ต่างหาก พี่สาวผมสวยขนาดนี้ ก็ต้องจับตาดูสิครับ” หลู่เฟิงหัวเราะเบา ๆ ทำตัวน่ามันเขี้ยว
“หยุดพูดเล่นได้แล้วเสี่ยวเฟิง! นั่งลงกันก่อนเถอะ” หลู่เหยาหลี่พูด
เกาซูหยิบของขวัญออกมาอย่างเบามือ หลู่หวางจวงก็พูดขึ้นทันที “ไม่ต้องเอาของขวัญมาหรอก ฉันเกรงใจน่ะ”
“เกาซูตั้งใจเอามาให้คุณพ่อ ก็รับไว้สิคะ เธอมาบ้านเราครั้งแรก จะให้มามือเปล่าจริง ๆ เหรอ เกาซูไม่ใช่คนแบบนั้นนะ” หลู่เหยาหลี่กันไปพูดกับเกาซูพร้อมรอยยิ้ม “คราวหน้ามาไม่ต้องเอามาแล้วนะ เรายินดีต้อนรับเธอเสมอจ้ะ”
ผู้เป็นแม่เห็นลูกสาวพูดจาเป็นต่อยหอย จึงพูดขึ้นอย่างนึกหมั่นไส้ “แหม พอมีเพื่อนมาบ้านเข้าหน่อยละก็พูดมากเชียวนะ!”
“บอกว่าหนูพูดมากเหรอ งั้นหนูจะพูดให้มากกว่านี้อีก!” หลู่เหยาหลี่แสดงท่าทีสนุกสนานต่อหน้าพ่อแม่
ภาพความสัมพันธ์อันอบอุ่นของครอบครัวหลู่ที่แสดงออกต่อเกาซูนั้น ช่างสวนทางกับความรู้สึกของหลี่จวิ้นในเวลานี้โดยสิ้นเชิง เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงเงา ถูกทอดทิ้งอยู่ข้างนอก ไร้ตัวตน จนไม่อาจสอดแทรกเข้าไปในบทสนทนาใด ๆ ได้เลย
ยิ่งเห็นว่าตระกูลหลู่ให้ความสำคัญกับเกาซูมากเพียงใด ใจเขาก็ยิ่งร้อนรุ่ม ความสงสัยก่อตัวขึ้นราวกับฝุ่นควันดำมืดกัดกินสมอง เกาซูกับตระกูลหลู่ผูกพันธ์กันอย่างไร? เห็นได้ชัดว่าเธอก็เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก แล้วทำไมพวกเขาถึงให้เกียรติเธอราวกับญาติผู้ใหญ่อย่างนั้น?
หลี่จวิ้นครุ่นคิดหาคำตอบตลอดเวลา แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งมืดแปดด้าน จึงพยายามปลอบใจตัวเองลึก ๆ ว่า ขอเพียงของขวัญที่เกาซูนำมานั้น ไม่ได้วิเศษเลิศเลออะไรก็พอ เธอจะได้อับอายขายหน้า เสียหน้าต่อหน้าตระกูลหลู่ เมื่อถึงตอนนั้น คงไม่มีใครสนใจไยดีกับเด็กบ้านนอกอย่างเธออีก!
หลี่จวิ้นเห็นหลู่เหยาหลี่แกะกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้านั้น แล้วค่อย ๆ หยิบแจกันออกมาจากข้างใน เขาก็พยายามมองไปที่ลายเซ็นใต้แจกันเป็นอันดับแรก พอเห็นว่าไม่ใช่ของประติมากรชื่อดังหรือของสะสมโบราณ ก็รู้สึกโล่งอก พลางหัวเราะเยาะในใจว่า ‘เกาซู ถึงเวลาที่เธอจะต้องขายหน้าแล้ว’
ทันใดนั้น หลู่เหยาหลี่ก็เปล่งเสียงอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น “โอ้โห! สวยมากเลยเกาซู! พ่อคะ ดูสิคะ มันทำให้หนูนึกถึงเรื่องเมื่อสิบปีก่อน ที่คุณลุงกั๋วซื้อแจกันมาฝากพ่อแล้วตัวเองดันทำแตก แต่เขากลับร้องไห้ยกใหญ่ รูปร่างมันคล้าย ๆ กับแจกันใบนี้เลย ถึงลวดลายจะไม่เหมือนและใบนี้ก็สวยกว่า แต่มันก็แทนความทรงจำดี ๆ ที่มีกับลุงกั๋วได้เลยค่ะ”
หลู่หวางจวงพยักหน้าอย่างพอใจ “ใช่ พ่อก็ชอบ ฝีมือไม่เลวเลย ขอบคุณหนูเกาซูสำหรับของขวัญชิ้นนี้นะ”
“ไม่ถึงกับเป็นของขวัญหรอกค่ะ ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องศิลปะเท่าไหร่ แค่รู้สึกประทับใจตอนที่เห็นมัน เหมือนมีพลังบางอย่างที่ส่งมาถึงฉัน ก็เลยเอามาด้วย ดีใจค่ะที่คุณลุงชอบ” เกาซูกล่าวอย่างสุภาพ ไม่มีท่าทีโอ้อวดหรือดูถูกตัวเองแม้แต่น้อย
MANGA DISCUSSION