บทที่ 14 พ่อแม่แกตายไปแล้ว
เกาซูเอามือเท้าคาง เอ่ยถามเจ้าหนูจงอี้ด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น “อร่อยไหม?”
“อร่อยครับ แต่ฝีมือคุณอร่อยกว่า…” เด็กน้อยเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม แต่คนฟังกลับยิ้มกริ่มด้วยความพอใจ
“จริงเหรอ”
“จริงครับ”
“ถ้าอย่างนั้น เย็นนี้อยากกินอะไรล่ะ”
“อยากกิน… ไก่ผัดถั่วครับ…”
เด็กน้อยไม่กล้าตอบเสียงดังฟังชัด เพราะเขารู้ตัวดีว่า ตนเองไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของพ่อและผู้หญิงคนนี้ ที่ผ่านมา เกาซูก็ไม่เคยแสดงความรักใคร่เอ็นดูเขาเลยแม้แต่น้อย
“ได้สิ เย็นนี้ฉันจะเข้าครัวเอง อยากกินอะไรอีกบอกมาได้เลย”
และแล้วมื้อเย็นวันนี้มาจากฝีมือของเกาซู เธอยืนเท้าสะเอวมองโต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยของกินหลากเมนูอย่างพอใจ
วันนี้ นอกจากเอาใจเจ้าหนูแล้ว เธอยังนึกครึ้มใจอยากดูแลแม่สามีด้วยอีกคน เธอรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสงสัยในตัวเธอ แน่นอนว่า คำพูดของเจ้าหวงเทาในวันนั้นกระตุกใจแม่สามีเธอให้หวั่นเกรงถึงชีวิตคู่อันมั่นคงของลูกชาย ดังนั้น เพื่อจะได้พิสูจน์ว่ามู่อวิ่นเฉิงปกป้องคนไม่ผิด เธอจึงอยากแสดงความเป็นภรรยาที่สมบูรณ์พร้อมให้มู่เฟินได้เห็น
อย่างแรก เธอไม่ใช่ผู้หญิงไม่เอาไหน ทำอะไรไม่เป็นอย่างที่ชาวบ้านกล่าวหา
อย่างที่สอง อย่างน้อย ในอนาคต เธอก็คือประธานบริษัทผู้เปิดกิจการอาหารชั้นนำของมณฑล เป็นถึงผู้หญิงต้นแบบที่คนในเมืองเจิ้นฉิงให้การยกย่องว่ามีพร้อมทั้งความสามารถ สายตาอันเฉียบคม และมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นตามแบบฉบับที่ชายทั้งประเทศใฝ่ฝัน
ทั้งหมดนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้แม่สามีรู้แล้วว่า มู่อวิ่นเฉิงจะไม่อายใครที่มีเธอเป็นภรรยา
“เสี่ยวซู ลูกทำอะไรเยอะแยะขนาดนี้ ตอนนี้บ้านเราเหลือกันสี่คนแล้ว จะกินหมดได้ยังไง”
หญิงสาวคาดไว้ไม่มีผิด เธอนึกอยู่แล้วว่าแม่สามีจะต้องเอ่ยคำนี้ จึงยิ้มบาง ๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ
“ลองกินก่อนเถอะค่ะแม่ หนูไม่ได้ทำเล่น ๆ หรอกนะคะ พอดีหนูมีความคิดบางอย่างในหัว แม่ลองกินแล้ววิจารณ์หน่อย หนูจะได้รู้ว่าอาหารของหนูพอใช้หรือยัง”
หญิงวัยกลางคนมองหญิงสาวรุ่นลูกด้วยสายตางุนงง ก่อนจะนั่งลงอย่างเงียบ ๆ แล้วคีบอาหารมาชิมทีละอย่าง
ขณะเดียวกัน พ่อสามีที่ตามมาทีหลัง เมื่อได้กลิ่นหอมก็อดอมยิ้มพอใจไม่ได้ นาน ๆ ทีลูกสะใภ้จะเข้าครัว จึงรู้สึกปลื้มปริ่มเป็นธรรมดา
เกาซูหันไปมองเด็กน้อยที่นั่งตัวเกร็งไม่กล้าตักอาหาร เมื่อเห็นดังนั้น เธอจึงตักกับข้าวใส่ชามให้จงอี้ทีละอย่างจนเต็มไปหมด แล้วพูดว่า “จงอี้ กินเยอะ ๆ นะ กินเสร็จแล้ว ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
“ครับ” เด็กน้อยพยักหน้ารับ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากินอาหารฝีมือแม่เลี้ยง
หญิงสาวโปรยยิ้มอ่อน ๆ อย่างโล่งใจที่เห็นเด็กน้อยดูพอใจกับอาหารของเธอไม่น้อย จึงนั่งลงจะกินบ้าง แต่เมื่อเห็นแม่และพ่อของสามีเอาแต่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าหงึก ๆ แทนคำพูดว่า ‘อร่อย’ แล้ว เธอก็รู้สึกว่าตนเองกำลังมาถูกทาง
ในชาติที่แล้ว กว่าเธอจะได้เริ่มทำธุรกิจก็คือหลังจากที่มู่อวิ่นเฉิงตายและได้เงินชดเชยจากที่สามีเป็นทหารรับใช้ชาติจนตัวตาย แน่นอนว่า ในชาตินี้ เธอไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น เธออยากให้มู่อวิ่นเฉิงมีชีวิตที่สุขสบาย และเชิดหน้าได้อย่างสง่าผ่าเผยในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้น การเริ่มต้นทุกอย่างให้ไวขึ้นย่อมดีที่สุด!
“เป็นยังไงบ้างคะ”
“เสี่ยวซู ลูกมีฝีมือมากจริง ๆ อร่อยทุกอย่างเลย ถ้าได้ทำขายก็คงจะดี”
“นั่นสิ เธอเก่งขนาดนี้เชียวเหรอ พวกชาวบ้านที่บอกว่าเธอทำอะไรไม่เป็นควรได้มาเห็นกับตาตัวเอง” พ่อสามีก็เสริมขึ้นมาบ้าง
ขนาดพ่อสามีที่พูดน้อยยังต้องเอ่ยชมขึ้นมาบ้าง เกาซูจึงรู้สึกพอใจกับคำตอบเหล่านี้ เธอเปิดกิจการจนรุ่งเรืองขึ้นมาได้ เพราะอาหารของเธอถูกปากคนยุคใหม่ แต่ก็แอบไม่มั่นใจว่า เมื่อย้อนกลับมาตอนอายุ 23 แล้ว รสมือของเธอจะถูกใจคนเหล่านี้หรือไม่ แต่เมื่อได้รับการยืนยันจากพ่อและแม่สามี เกาซูจึงรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมา
ในตอนแรก มู่เฟินมองอาหารที่เต็มโต๊ะก็กลัวว่าจะเป็นการกินทิ้งกินขว้าง แต่เมื่อถึงคราวต้องเก็บจาน ทุกอย่างก็เกลี้ยงเกลาราวกับนำไปเททิ้งมาอย่างไรอย่างนั้น
“เสี่ยวซู ลูกไปอาบน้ำเถอะนะ ที่เหลือแม่จัดการเอง ขอบใจสำหรับอาหารอร่อย ๆ จ้ะ”
ดูท่าทางของแม่สามีพออกพอใจมากมายขนาดนี้ เกาซูก็โล่งอกที่ตนเองสามารถสร้างมุมมองดี ๆ ให้อีกฝ่ายได้เห็นบ้างแล้ว แม้ในชาติก่อนเธอจะเป็นคนเย็นชา ไม่ค่อยใส่ใจความรู้สึกของคนรอบข้างมากนัก แต่เมื่ออายุมากขึ้น ประสบการณ์ชีวิตกลับสอนเธอว่า ‘เข้มแข็ง’ กับ ‘หัวแข็ง’ มันมีเส้นบาง ๆ กั้นเอาไว้อยู่
มีใครบ้างที่ชอบคนหัวแข็งไม่ฟังใคร ช่วงแรกที่เริ่มเปิดกิจการเธอก็เกือบเอาตัวไม่รอดเพราะนิสัยดื้อรั้นของตนเอง ดังนั้น เมื่อมีโอกาสได้กลับมาแก้ไข เธอก็อยากจะเป็นที่รัก มากกว่าที่ชัง
หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว เกาซูก็มาหาจงอี้ที่ห้อง เธอถือสมุดและดินสอมาด้วยท่าทางมุ่งมั่นราวกับครูสาวไฟแรง
เธอตั้งใจจะนำความรู้และประสบการณ์ในชาติที่แล้ว มาสอนจงอี้อย่างเต็มที่
วันแรกของการเรียน เกาซูสอนเรื่องพื้นฐาน อย่างการสะกดตัวอักษรและตัวเลข เธอให้จงอี้ฝึกเขียนตาม หลังจากมอบหมายงานเสร็จแล้ว เกาซูก็ปล่อยให้จงอี้ทำการบ้านเงียบ ๆ ไป ส่วนตัวเองก็ไปทำงานบ้านอื่น ๆ แต่เมื่อกลับมาตรวจดู เธอกลับพบว่าเจ้าเด็กแสบกำลังเล่นลูกแก้วอยู่!
เมื่อหยิบสมุดของจงอี้ขึ้นมาดู เธอถึงกับอึ้ง! เขาเขียนตัวอักษรแต่ละตัวแค่บรรทัดเดียว ทั้งที่เธอสั่งให้เขียนเต็มหน้า!
“จงอี้! นี่มันอะไรกัน! ขี้เกียจใช่ไหม!” เกาซูตีมือจงอี้เบา ๆ ด้วยความโมโห
จงอี้ก้มหน้า ไม่พูดไม่จา เดินไปยืนหันหน้าเข้าหากำแพง ราวกับว่าเขารู้แล้วตัวเองทำความผิด และกำลังจะโดนลงโทษ
เกาซูได้แต่ถอนหายใจ นิสัยเสียนี้แก้ไม่หายสักที ทำผิดทีไรต้องไปยืนหันหน้าเข้ากำแพงทุกที สมกับที่เป็นเด็กซึ่งถูกทหารเลี้ยงดูมา
“ยืนสำนึกผิดอยู่ตรงนั้นแหละ แล้วก็กลับมาเขียนให้เสร็จด้วย!”
เรื่องการเรียน เกาซูไม่มีทางยอมใจอ่อน เพื่ออนาคตของเด็กคนนี้ เธอจำเป็นต้องเคี่ยวเข็ญ และเป็นนางยักษ์ในสายตาเขา
เกาซูปล่อยให้จงอี้ยืนสำนึกผิดอยู่คนเดียว แล้วเดินออกไปทำงานต่อ เธอลงไปเก็บพริกและผักในสวน เพื่อเตรียมทำอาหารเย็น
ที่จริงแล้ว เกาซูชอบทำอาหารเพราะเธอเป็นคนชอบกิน ไม่อย่างนั้น คงไม่เปิดร้านอาหารจนธุรกิจเติบโตกลายเป็นบริษัทได้หรอก เพียงแต่ตอนอยู่บ้านตระกูลมู่ เธอตั้งใจทำตัวขี้เกียจเอง เพราะอยากประชดประชันคนที่มากล่าวหาว่าเธอเป็นหญิงสันหลังยาว
ขณะกำลังเดินกลับเข้าบ้าน เกาซูต้องชะงัก แขกไม่ได้รับเชิญนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ก็คือ แม่และน้องชายของเธอนั่นเอง!
เจ้าน้องชายตัวดีกำลังนั่งซดนมอุ่น ๆ ที่เธอเตรียมไว้ให้จงอี้อย่างเอร็ดอร่อย บนโต๊ะเต็มไปด้วยขนมและของกินนานาชนิด เศษขนมร่วงเกลื่อนพื้น ส่วนแม่ของเธอกำลังยืนพูดกับจงอี้ด้วยท่าทางดูถูก
“พ่อแกก็ตายไปแล้ว ทำไมแม่แกไม่มารับแกไปอยู่ด้วยอีก? นี่แกต้องมาขอข้าวขอแกงบ้านนี้กินทุกวัน แม่แกไม่ส่งเสียอะไรบ้างเลยหรือไง? ญาติพี่น้องคนอื่นก็ไม่มีเลยเหรอ? อยู่แบบนี้มันน่าอายนะ”
เกาซูได้ยินคำพูดของแม่ที่พูดกับจงอี้แบบนั้น ความโกรธก็แล่นขึ้นมาในสมองทันที
“แม่! พูดแบบนี้กับเด็กได้ยังไง?” เกาซูเอ่ยเสียงเข้ม ก่อนจะรีบเดินเข้าไปเก็บขนมทั้งหมดบนโต๊ะ
MANGA DISCUSSION