บทที่ 132 พูดจาน่ารักแบบนี้เป็นด้วยเหรอ
ทั้งเกาผิงอันและจงอี้ต่างอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง แม้จงอี้จะไม่รู้เรื่องมากนัก แต่เขาก็ตื่นเต้นที่แม่เลี้ยงของตนเองกำลังจะมีบ้านในเมืองหลวง
ส่วนเกาผิงอันตกใจกับเม็ดเงินที่ต้องใช้ในการซื้อคราวนี้มากกว่า เธอรู้ว่าบ้านในเมืองหลวงราคาสูงกว่าที่อื่น 2 ถึง 3 เท่า นั่นหมายความว่าพี่สาวเธอต้องมีเงินจำนวนมากเพื่อนำไปจ่ายค่าบ้าน
“พี่… พี่มีเงินมากขนาดนั้นเลยเหรอ! พี่เก่งจังเลย!” แววตาของเกาผิงอันเต็มไปด้วยความชื่นชม
อันที่จริง เกาซูไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนโยบายการเช่าและซื้อบ้านในยุคนี้เท่าไรนัก สมัยนี้ยังไม่มีอาชีพนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แต่เธอรู้ว่ามีสำนักงานจัดการที่อยู่อาศัย เธอจึงตั้งใจจะไปสอบถามข้อมูลที่สำนักงานจัดการที่อยู่อาศัยและคณะกรรมการชุมชน ว่ามีบ้านหลังไหนประกาศขายหรือให้เช่าบ้าง ถ้าเป็นไปได้ เธออยากจะซื้อบ้านวันนี้เลย
ชายหนุ่มเดินนำออกมายังลานจอดรถข้างโรงแรม ทั้งเกาซู เกาผิงอัน และจงอี้ต่างงุนงงว่าเขาพามาที่นี่ทำไม เพราะพวกเขาต้องเดินทางด้วยรถสาธารณะ
“คุณพาพวกเรามาที่นี่ทำไม?” เกาซูเอ่ยถามเป็นคนแรก
มู่อวิ่นเฉิงไม่ตอบอะไร เขาเดินนำมายังรถจี๊ปซึ่งจอดโดดเด่นอยู่คันเดียว
เพียงแค่ได้เห็น เกาซูก็รู้ได้ทันทีว่า นี่ต้องเป็นรถที่มู่อวิ่นขับมาแน่!
หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “นะ… นี่เป็นรถของคุณงั้นเหรอ?”
“อืม เป็นรถที่กองทัพให้มาน่ะ”
จงอี้อ้าปากกว้าง มองรถคันโตตรงหน้าตาปริบ ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยแววตาเป็นประกาย
“รถของพ่อเหรอครับ!? เป็นทหารก็จะได้รถมาขับแบบนี้ใช่ไหม!? ผมก็อยากเป็นบ้าง!”
มู่อวิ่นเฉิงย่อตัวลง แล้วเอ่ยกับเจ้าหนูด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ถ้าอยากมีรถขับ ไม่จำเป็นต้องเป็นทหาร ถ้าอยากเป็นจริง ๆ พ่อก็จะสนับสนุน”
เจ้าหนูพยักหน้ารับหงึก ๆ อย่างเข้าใจ จากนั้น ทั้งสี่คนก็ขึ้นรถ ออกเดินทางในทันที
ระหว่างทาง เกาซูสังเกตเห็นว่าสามีหักพวงมาลัยอย่างมั่นใจ จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “คุณรู้แล้วเหรอว่าเราจะไปไหนกัน?”
“ฉันมีที่ที่หนึ่งที่อยากจะพาเธอไป”
“ที่ไหนเหรอ?”
“เดี๋ยวไปถึงก็รู้เอง”
คำพูดนั้นทำให้เกาซูอดไม่ได้ที่จะหยิกแขนเขาเบา ๆ ด้วยความหมั่นไส้
มู่อวิ่นเฉิงพาเธอมาถึงถนนเส้นหนึ่ง ซึ่งเรียงรายไปด้วยบ้านเดี่ยวสองชั้น
“ถึงแล้ว” เมื่อลงจากรถเขาก็จูงมือเธอมาหยุดอยู่หน้าประตูสีเขียวสด ก่อนจะหยิบพวงกุญแจออกมาไขประตู
“นี่มัน…” เกาซูยืนนิ่ง เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
บ้านหลังนี้ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี ทั้งสะอาดสะอ้าน ดูอย่างไรก็เป็นบ้านของคนมีฐานะ
ตัวบ้านเป็นแบบยกพื้นสูง ผนังภายนอกฉาบปูนเรียบสีขาวนวล ตัดกับไม้สักสีน้ำผึ้งที่ใช้ตกแต่งตามขอบประตู
บานประตู หน้าต่าง เป็นงานไม้สักแกะสลักลวดลายที่งดงาม ภายในปูพื้นด้วยกระเบื้องลายหินอ่อนสีครีม ให้ความรู้สึกเย็นสบาย แม้รูปแบบบ้านอาจดูเรียบง่าย ไม่หวือหวา แต่กลับอบอุ่น น่าอยู่
เกาซูวางมือลงบนแขนของมู่อวิ่นเฉิง “ดูท่าว่าจะแพงเอาการเลย… คุณไปรู้จักบ้านหลังนี้ได้ยังไง?”
“นี่เป็นบ้านของเพื่อนทหารฉันน่ะ เขาบอกว่าอยากขายแล้วไปใช้ชีวิตในชนบท ฉันเลยพาเธอมาดูก่อน เผื่อว่าเธอจะชอบ”
เกาซูไม่แปลกใจเลย เพราะในยุคที่ยังไม่มีนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ การจะหาบ้านดี ๆ แบบนี้ได้ คงต้องอาศัยคนในพื้นที่ให้การช่วยเหลือ โชคดีที่มู่อวิ่นเฉิงเป็นทหาร จึงทำให้อะไร ๆ ดูง่ายดายไปเสียหมด
เกาซูรีบเรียกเกาผิงอันและจงอี้ให้เข้าไปในบ้านทันที
บ้านสองชั้นหลังนี้ออกแบบพื้นที่ใช้สอยอย่างลงตัว มีห้องหับรวมสี่ห้อง แบ่งเป็นชั้นล่างหนึ่งห้อง ชั้นบนสามห้อง พร้อมห้องครัวและห้องโถงกว้างขวาง ที่พิเศษสุดคือมีห้องน้ำทั้งชั้นบนและชั้นล่าง ซึ่งนับว่าหายากยิ่งในยุคนี้!
“อวิ่นเฉิง!” เกาซูวิ่งขึ้นวิ่งลงสำรวจบ้านด้วยความตื่นเต้น พอสำรวจจนทั่วแล้วก็รีบวิ่งกลับมาหามู่อวิ่นเฉิง พร้อมรอยยิ้มเปี่ยมสุข
มู่อวิ่นเฉิงยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่ง “เป็นไงบ้าง? ถูกใจไหม?”
“ถูกใจมาก!” เกาซูพยักหน้าระรัว “ชอบที่สุดเลย! คุณติดต่อซื้อขายกับเขาตอนนี้เลยได้ไหม?”
“เรื่องซื้อขายค่อยว่ากันอีกทีก็ได้ ฉันจ่ายค่าเช่าสามเดือนแรกไปแล้ว เพราะไม่คิดว่าเธออยากจะซื้อมัน เอาไว้ฉันจะติดต่อเขาเพื่อถามราคาอีกที ค่าเช่าไม่ได้แพงอะไร ถ้าคิดจะซื้อเขาคงลดให้ได้นิดหน่อย” มู่อวิ่นเฉิงอธิบาย
“อื้ม! เอาตามที่คุณว่าเลย! มู่อวิ่นเฉิง ขอบคุณมาก ๆ นะ!” เกาซูตื่นเต้นจนอยากจะออกไปซื้อของตกแต่งบ้านหลังนี้เสียเดี๋ยวนี้เลย
เมื่อมู่อวิ่นเฉิงได้ยินคำขอบคุณของเธอ ก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ ว่า “พูดจาน่ารักแบบนี้ก็เป็นด้วยเหรอ”
เกาซูยิ้มกว้าง “ก็แค่ขอบคุณตามมารยาท! ไม่เห็นจะน่ารักตรงไหน!”
เขาเตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ?
เธอกะว่าจะใช้เวลาหลายวันเพื่อหาบ้านในละแวกนี้แท้ ๆ! แต่เขากลับอ่านใจเธอออก จนเตรียมอะไรไว้ล่วงหน้า!
มู่อวิ่นเฉิงพาทุกคนออกไปเดินสำรวจรอบ ๆ เพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมบริเวณนี้
“ตรงนี้ห่างจากบ้านเราไปไม่ไกล แค่ไม่กี่สิบเมตรเอง มีทั้งโรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนประถม เรื่องเรียนของเสี่ยวอี้ ฉันจัดการให้เรียบร้อยแล้ว เดือนหน้าก็เข้าเรียนได้เลย จากที่เธอบอกฉันในจดหมาย เขาก็มีพื้นฐานมากพอที่จะเรียนประถม 1 ได้แล้ว” มู่อวิ่นเฉิงพูดพลางชี้ไปอีกทาง
“ส่วนทางนี้ ปั่นจักรยานประมาณสิบห้านาทีก็ถึงมหาวิทยาลัยของเราแล้ว อีกสองวันเราไปซื้อจักรยานกันสักสองคัน เธอกับน้องสาวก็ปั่นไปเรียนด้วยกันได้”
เกาซูเดินเคียงข้างมู่อวิ่นเฉิงอย่างเงียบเชียบ ฟังเขาบรรยายถึงการจัดเตรียมต่าง ๆ ที่ทำไว้ให้ หัวใจของเธออบอุ่นอย่างน่าประหลาด ราวกับมีแสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องเข้ามา
เธอไม่เคยรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจอย่างนี้มาก่อน ไม่เคยมีใครดูแลเอาใจใส่ จัดการทุกอย่างให้เธอได้อย่างราบรื่นโดยที่เธอไม่ต้องลงแรงเองเลยสักครั้ง
ในชาติก่อน นับตั้งแต่มู่อวิ่นเฉิงจากไป เธอต้องเผชิญกับเส้นทางชีวิตอันแสนยากลำบาก ฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามนับครั้งไม่ถ้วนด้วยตัวคนเดียว แม้สุดท้ายจะสามารถสร้างธุรกิจได้สำเร็จ
แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น ใครจะล่วงรู้ถึงความเหนื่อยล้า ความอ้างว้างเดียวดาย ที่กัดกินหัวใจเธออยู่ตลอดเวลา แม้อิสรภาพทางการเงินและเครือข่ายร้านอาหารมากมายจะอยู่ในมือ แต่ความกังวลและความระแวงก็ไม่เคยจางหายไปจากใจเธอเลยแม้แต่วันเดียว
ส่วนทางด้านครอบครัว พวกเขามักจะโยนปัญหาต่าง ๆ ให้เธอเป็นคนแก้ไข ไม่เคยใส่ใจความรู้สึก ไม่เคยหยิบยื่นความช่วยเหลือแบ่งเบาภาระเช่นกัน
ทุกสิ่งทุกอย่าง เธอต้องรับผิดชอบเพียงลำพัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ระดับธุรกิจ หรือเรื่องเล็กน้อยภายในบ้าน แม้กระทั่งการหาซื้อขวดนมหรือผลไม้ ล้วนตกเป็นหน้าที่ของเธอทั้งสิ้น
แม้ภายนอกจะดูเป็นผู้หญิงที่พึ่งพาตัวเองและเข้มแข็ง แต่ลึก ๆ แล้ว ใครบ้างที่ไม่ต้องการความรัก และความเอาใจใส่
ความรู้สึกมากมายหลั่งไหลเข้ามาในใจเธอ ราวกับมรสุมที่โหมกระหน่ำ ยากจะควบคุม
ท่ามกลางแสงแดดอุ่น ๆ เกาซูก้มหน้าลงมองพื้น ดวงตาพร่าเลือนไปด้วยม่านน้ำตา ราวกับมีบางสิ่งกำลังจะเอ่อล้นออกมาจากหัวใจ
เกาผิงอันและจงอี้ ต่างก็ดีใจจนเนื้อเต้น กระโดดโลดเต้น วิ่งนำหน้าไปไกล
แต่เกาซูยังคงก้มหน้าเดินต่อไป พลันรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มนวลที่มือใครบางคนกำลังกุมมือเธอไว้
“เป็นอะไรไป?” เสียงทุ้มอบอุ่นของมู่อวิ่นเฉิงดังขึ้นข้าง ๆ
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก!” เกาซูรีบกะพริบตาไล่หยดน้ำที่เกาะอยู่บนดวงตา จากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง “แค่แดดมันจ้าไปหน่อยน่ะ”
มู่อวิ่นเฉิงมองเธอเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร
MANGA DISCUSSION