บทที่ 128 แพทย์แผนจีนกำมะลอ
เกาซูค่อย ๆ ทบทวนรายการสิ่งที่ต้องเตรียมก่อนเปิดเทอมอย่างละเอียด
เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว ช่วงเวลานี้ของชาติก่อน เธอใช้เงินเดือนทั้งหมดที่มู่อวิ่นเฉิงให้ ไปเที่ยวเตร็ดเตร่กับกลุ่มสาว ๆ ที่เธอคิดว่าทันสมัยในเมืองหลวง แล้วกลับมาเริ่มหาลู่ทางค้าขายที่จังหวัดบ้านเกิด
ผ่านไปราวสองปีหลังจากมู่อวิ่นเฉิงตาย เธอก็ได้รู้จักกับหญิงคนหนึ่งจากโรงงานอาหารน้ำตาล ชื่อว่าอันเสวียนจวี ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้จัดการโรงงาน เธอทั้งสวยและฐานะดี
ในตอนนั้นเธอนึกเสียดาย อยากได้อันเสวียนจวีมาเป็นน้องสะใภ้ แต่เจ้าเกาเหวินดันไปแอบหว่านเมล็ดพันธุ์ไว้ที่อื่นเสียก่อน จึงทำให้ความฝันเธอต้องดับสลายลง
แต่หลังจากเจ้าเกาฉี หลานชายเธออายุครบ 7 ขวบ แม่ของเขาก็เสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุ ทำให้เกาเหวินผู้เป็นสามีไม่เอาไหนต้องรีบหาแม่มาเลี้ยงดูลูกชายตัวเอง
เกาซูเห็นว่าอันเสวียนจวีดูสนใจน้องชายเธอ จึงแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน
หลังจากนั้น เกาเหวินก็มีรักใหม่กับอันเสวียนจวี ทั้งคู่เข้ากันได้ดี แต่ใครจะคิดว่าผู้หญิงที่เกาซูเลือกให้น้องชายจะมีนิสัยเจ้ายศเจ้าอย่าง ซ่อนกรงเล็บไว้ในอุ้งเท้าแสนน่ารัก ร่วมมือกันวางแผนหักหลังฮุบสมบัติของเธอในวาระสุดท้ายของชีวิต
นี่เป็นสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดอีกอย่างหนึ่งที่เกาซูจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก!
อันเสวียนจวีจะต้องไม่เจอกับเจ้าเกาเหวินและแต่งงานกันอย่างเด็ดขาด!
เพราะแบบนี้ เธอจึงแวะเวียนไปที่โรงงานน้ำตาลหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยเจออันเสวียนจวีเลย
เกาซูถามยามที่ประตู แม้แต่ผู้จัดการโรงงานน้ำตาลก็ไม่ได้แซ่อัน
บางทีอาจจะยังไม่ได้ย้ายมาก็เป็นได้…
เธอก็ไม่รู้ว่าพ่อของอันเสวียนจวีมาเป็นผู้จัดการโรงงานแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไร
แต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้ เห็นว่าใกล้จะเปิดเทอมแล้ว เลยว่าจะไปดูอีกครั้งเสียก่อน
ไม่คิดว่าครั้งนี้จะได้พบกันจริง ๆ
เกาซูไม่ได้เจออันเสวียนจวี แต่เจอผู้จัดการอัน เขากำลังกินบะหมี่อยู่ที่ร้านเล็ก ๆ นอกโรงงานน้ำตาล
เธอจูงมือเกาผิงอันรีบเข้าไปในร้าน แล้วสั่งบะหมี่สองชาม
เกาผิงอันทำหน้างุนงง “พี่ พวกเราเพิ่งกินข้าวมาเองนะ”
เกาซูส่งเสียง ‘ชู่’ เบา ๆ ระหว่างรอรับบะหมี่ สายตาเธอก็ทอดมองสำรวจผู้จัดการอันไปด้วย
ครั้นเมื่อเห็นผู้จัดการอันทานเสร็จ และกำลังจะเดินออกไป เกาซูจึงไม่รอช้า รีบเอ่ยเรียกเขา “คุณลุงคะ”
ผู้จัดการอันมองไปรอบ ๆ เห็นว่านอกจากตนแล้วก็ไม่มีใครที่ดูจะเป็น ‘ลุง’ ได้อีก จึงยิ้มพลางชี้มาที่ตัวเอง แล้วเอ่ยแกมหยอก “น้องสาวเรียกผมเหรอครับ?”
รอยยิ้มและท่าทางใจดีของผู้จัดการอันทำให้เกาซูรู้สึกประทับใจ แม้ว่าอันเสวียนจวีจะร้ายกาจมากเพียงใด แต่พ่อของเธอก็คือคนที่มีนิสัยซื่อตรง ไม่คิดคดโกงใคร แต่ในชาติที่แล้ว ชายคนนี้จะต้องสิ้นอายุขัยในอีกราว 7 ปีข้างหน้า ซึ่งก็ดีแล้วที่จะเขาไม่ได้เห็นว่าลูกสาวของตัวเองไปทำเรื่องเลวทรามอะไรไว้บ้าง
แต่ชาตินี้เธอจะไม่ยอมให้ลูกสาวเขาเข้ามาพัวพันกับชีวิตเธออีกแล้ว ดังนั้น เขาควรมีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้!
เธอเก็บกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดไว้ในใจ จากนั้นรอยยิ้มบาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหา “ใช่ค่ะ คุณลุง ฉันขอโทษที่มารบกวนนะคะ”
ผู้จัดการอันไม่ได้ติดใจอะไร กลับยิ้มทักทายอย่างเป็นมิตร “มีอะไรหรือเปล่า?”
เกาซูแสร้งทำเป็นสำรวจเขาอย่างพินิจ “คุณลุงคะ ฉันสังเกตสีหน้าของคุณแล้ว รู้สึกว่าสุขภาพของคุณดูไม่ค่อยแข็งแรงเลยค่ะ ฉันคิดว่าคุณควรไปพบแพทย์บ้างก็ดีนะคะ”
ผู้จัดการอันหัวเราะออกมา “สุขภาพผมแข็งแรงดี ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
อันที่จริง เขาดูมีสุขภาพดีมาก ซ้ำยังได้ยินมาว่าชอบเล่นฟุตบอลกับคนหนุ่ม ๆ ในโรงงานเป็นประจำ ดูไม่ออกเลยว่ากำลังป่วย
แต่เกาซูรู้ดีว่าเขาจะต้องป่วยอย่างแน่นอน!
“คุณลุงคะ เชื่อฉันเถอะค่ะ ที่บ้านฉันสืบทอดวิชาแพทย์แผนจีนมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว… จริง ๆ นะคะ… ถ้าไม่เชื่อ ลองยื่นมือมาให้ฉันจับชีพจรดูสิคะ” เกาซูพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน
ผู้จัดการอันยังคงยิ้มอ่อนโยน “หนู… มีปัญหาอะไรก็บอกลุงมาตรง ๆ ได้นะ”
เกาซูถึงกับกระวนกระวาย เขาคิดว่าเธอเป็นหมอเถื่อนมาหลอกเอาเงินหรือเปล่านะ?
แต่ผู้จัดการอันก็มีน้ำใจงดงามจริง ๆ แม้จะคิดว่าเธอเป็นเพียงหมอเถื่อน แต่ก็ยังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เอ่ยถามไถ่ถึงปัญหาของเธอด้วยความห่วงใย อยากที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือให้เธอผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้!
“ฉันไม่มีปัญหาอะไรจริง ๆ ค่ะ!” เกาซูรู้สึกว่าตัวเองคงดูเหมือนพวกสิบแปดมงกุฎ จึงพยายามอธิบาย “ขอแค่ให้ฉันได้จับชีพจรของคุณก็พอค่ะ! ฉันไม่คิดเงินเลยแม้แต่เฟินเดียวเลย! แค่จับชีพจรเท่านั้น คุณลุงก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่คะ!”
ผู้จัดการอันดูเหมือนจะจนปัญญา จึงได้แต่ยิ้มบาง ๆ แล้วนั่งลง ยื่นข้อมือให้เธอพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงละเหี่ยใจ “เอาเถอะ จับดูก็ได้”
เกาซูได้แต่หัวเราะในใจ
หึหึ เธอไม่ได้เรียนจบด้านนี้มาจริง ๆ จะไปรู้เรื่องการจับชีพจรได้ยังไงกัน!
หญิงสาวแสร้งทำเป็นจับชีพจรของเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณลุงคะ คุณมีอาการท้องเสียบ่อย ๆ ใช่ไหมคะ?”
ผู้จัดการอันถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง
เธอพูดถูก!
“คุณลุงคะ ฉันวินิจฉัยไม่ผิดหรอกค่ะ ลำไส้ของคุณมีปัญหา คุณต้องรีบไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด ถ้าโรงพยาบาลที่อำเภอตรวจไม่พบ ก็ไปที่โรงพยาบาลในเมืองหรือในมณฑลเลยค่ะ เชื่อฉันเถอะนะ หากพบปัญหา คุณต้องรีบผ่าตัดนะคะ โรคนี้ถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจลุกลามกลายเป็นมะเร็งได้ แต่ถ้าไม่พบปัญหาอะไร ก็ถือว่าเป็นการตรวจสุขภาพไป เพื่อความสบายใจของคุณลุงเองค่ะ”
ชาติที่แล้ว ผู้จัดการอันต้องจบชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย
หากเขามีสุขภาพแข็งแรงดี อันเสวียนจวีก็คงไม่ได้แต่งงานกับน้องชายของเธอ
คำพูดของเกาซูสร้างความหวั่นไหวให้กับผู้จัดการอันเป็นอย่างมาก
“สิ่งที่เธอพูด… เป็นเรื่องจริงเหรอ?” เสียงของหญิงคนหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะ
เกาซูหันกลับไปมอง ก็เห็นว่าคนที่เดินเข้ามาคืออันเยว่จือ แม่ของอันเสวียนจวี
เกาซูจึงรีบอธิบายถึงความร้ายแรงของโรคนี้ให้อันเยว่จือฟังอีกครั้ง
อันเยว่จือมองเกาซูสลับกับผู้จัดการอันครู่หนึ่ง โดยไม่เอ่ยปากถามอะไรให้มากความ แล้วเธอก็ตัดสินใจในทันที “สิ่งที่เธอคนนี้พูดก็มีเหตุผล ไปตรวจดูเถอะค่ะคุณ ถือซะว่าจ่ายเงินเพื่อซื้อความสบายใจ! ถ้าตรวจเจออะไรจะได้รีบรักษา ถ้าไม่เจอก็เหมือนตรวจสุขภาพในรอบหลายปี”
เกาซูถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในที่สุดทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี แม้ว่าผู้จัดการอันจะยังคงมีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่บ้าง แต่ด้วยคำพูดของอันเยว่จือที่ช่วยเร่งเร้า เธอก็เชื่อว่าเรื่องนี้คงจะสายเกินไป
เกาผิงอันถึงกับตะลึงงันกับการแสดงละครฉากใหญ่ของพี่สาว หลังจากที่ผู้จัดการอันและภรรยาเดินจากไป เธอจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “พี่คะ พวกเขาเป็นใครเหรอ? แล้วบ้านเราไปสืบทอดแพทย์แผนจีนตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่อง?”
เกาซูไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับยิ้มกว้างและตบไหล่น้องสาวเบา ๆ “ฮ่า ๆ ๆ นี่เป็นความลับระดับสุดยอดยังไงล่ะ!”
“…”
เกาผิงอันถึงกับตกตะลึง เมื่อตั้งสติได้ เธอก็เอ่ยถามด้วยแววตาเป็นประกาย “ถ้าอย่างนั้น พี่ช่วยดูให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
เกาซูทำจะเขกหัวน้องสาวสุดใสซื่อของตนเอง “แกนี่มันจริง ๆ เลย! ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ขนาดนี้ จะอยากตรวจไปทำไมกัน!”
ชาตินี้เกาผิงอันจะไม่แต่งงานกับชายพิการที่ชอบใช้ความรุนแรง ไม่ต้องถูกทุบตี ไม่ต้องจมอยู่กับความทุกข์ แน่นอนว่าโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ก็จะหายไปด้วย!
MANGA DISCUSSION