บทที่ 122 ผมอยู่คนเดียวได้
“ใครบอกเธอกันว่าฉันจะไปเมืองหลวง?” เกาซูรู้สึกฉงน เธอจำได้ว่าตัวเองไม่ได้เล่าเรื่องการสมัครเรียนและการสอบเข้ามหาวิทยาลัยกับเด็กน้อยคนนี้เลยสักครั้ง
“ผมรู้… ผมรู้แล้ว!” จงอี้พลิกตัวหันหลังให้ เสียงสั่นเครือเล็กน้อย “แม่กับน้าผิงอันไปสอบอะไรสักอย่างมา แถมแม่ยังสอบได้ที่ 3 อีก น้าผิงอันได้ที่ 1 พวกแม่จะต้องไปเมืองหลวงแน่ ๆ!”
เกาซูถึงกับพูดไม่ออก
เธอไม่สามารถเอ่ยปากได้เต็มเสียงว่าจะไม่ไปเมืองหลวง แม้การสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวงจะยากเย็นแสนเข็ญ แต่ถ้าหาก… ถ้าหากเธอสอบติดขึ้นมาล่ะ?
“แม่ไปเถอะ!” จงอี้พูดตัดพ้อ “ผมอยู่คนเดียวได้”
จากนั้นก็เงียบเสียงไป ไม่สนใจเกาซูอีกเลย
ไม่ว่าเกาซูจะพูดอะไร จงอี้ก็ยังคงนิ่งเงียบ ไม่ยอมปริปาก
เกาซูจึงจำใจต้องแกล้งพูดขึ้นมาว่า “ถ้าเธอยังไม่พูด ฉันไปแล้วนะ”
เธอแสร้งทำท่าจะลุกขึ้นยืน แต่เพียงแค่หันหลังก้าวขาไปได้เพียงก้าวเดียว ก็ได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของจงอี้ดังขึ้นจากข้างหลัง
เกาซูรู้สึกเจ็บแปลบในใจ จึงรีบหันกลับไปช้อนร่างของเด็กน้อยขึ้นมาแนบอก
จงอี้ซบใบหน้าลงกับอกของเธอ ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย “มันคือเรื่องจริงใช่ไหม… ฮึก… ที่เขาบอกว่า… คนที่ไปเมืองหลวงแล้ว… จะไม่กลับมาอีกเลย… ใช่ไหมครับ?”
เสียงสะอื้นไห้ของเด็กน้อยทำให้เกาซูรู้สึกปวดใจอย่างถึงที่สุด
“เป็นไปไม่ได้หรอก ใครบอกเธอกันว่าจะฉันไม่กลับมา? ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ?” เกาซูไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กน้อยถึงมีความคิดเช่นนั้น
“ผมรู้เอง ไม่ต้องมีใครบอก ผมรู้ว่าคนที่ไปเมืองหลวงแล้ว จะไม่กลับมาอีก!” เสียงร้องไห้ของจงอี้ดังขึ้นกว่าเดิม
“ไม่จริงหรอก! ไม่ใช่เลยสักนิด” เกาซูยังคงพยายามปลอบประโลม “ฉันสัญญา ฉันจะไม่ทำแบบนั้นแน่นอน! บ้านของฉันอยู่ที่นี่ ทั้งเธอ ปู่ และย่า เป็นครอบครัวของฉัน ทำไมฉันจะไม่กลับบ้านล่ะ?”
“แต่… แต่แม่ของผมไปเมืองหลวงแล้วก็หายไปเลยนะ!” จงอี้ร้องไห้โฮออกมายิ่งกว่าเดิม “แม่ไม่ต้องการผมแล้ว!”
“…”
ในที่สุดเกาซูก็รู้ที่มาของความคิดเหล่านี้
ที่แท้ปมก็อยู่ตรงนี้นี่เอง…
เกาซูไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงแค่โอบกอดจงอี้ไว้แนบอก ปล่อยให้เด็กน้อยซุกใบหน้าลงกับอกของเธอ ระบายความเสียใจออกมาจนเพียงพอ
เธออดสงสัยไม่ได้ว่า เด็กชายผู้ดูร่าเริงแต่แฝงไปด้วยความอ่อนไหวคนนี้ หลังจากที่ต้องเผชิญกับการจากไปของแม่และการสูญเสียพ่อ เขาเคยได้ร้องไห้ระบายความรู้สึกอย่างเต็มที่บ้างหรือไม่
หากไม่เคย วันนี้เธอก็จะให้เขาร้องไห้ออกมาให้หมด ปล่อยความเจ็บปวดนี้หลุดลอยไปกับน้ำตาเสียให้เหือดแห้ง
จงอี้ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ครู่ใหญ่ จนเกาผิงอันที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียง จึงค่อย ๆ ย่องเข้ามาดู เกาซูส่ายหน้าให้เธอเป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไร จึงเดินออกไปเงียบ ๆ
ในชาติก่อน เกาซูไม่เคยมีโอกาสได้พบเจอแม่ของจงอี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว และเธอเองก็มองเขาด้วยความรังเกียจ ไม่เคยใส่ใจเขาแม้แต่น้อย
แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่เธอจำได้ดี คือวันที่จงอี้มาที่ร้านอาหารของเธอ พร้อมกับเป็ดปักกิ่งตัวใหญ่
เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว เขาคงเคยเดินทางไปเมืองหลวง แต่ไม่รู้ว่าไปพบเจอใคร และเหตุใดจึงตัดสินใจกลับมายังอำเภอเล็ก ๆ แห่งนี้ เพื่อสุงสิงกับกลุ่มคนไร้สาระอีก…
ยิ่งเติบโตขึ้น เขากลับยิ่งมีนิสัยดุดันราวกับมาเฟียตัวน้อย ใครจะคาดคิดว่าภายใต้บุคลิกแข็งกร้าวนั้น แท้จริงแล้วเขากลับชื่นชอบของหวาน ลึก ๆ ในใจ เขายังคงมีมุมเล็ก ๆ ที่เก็บไว้ให้แม่เสมอ…
เกาซูรู้สึกเจ็บปวดหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
เธอรู้สึกผิดต่อเด็กน้อยคนนี้เหลือเกิน ที่ในวาระสุดท้ายของชาติก่อน เขายังคงเรียกเธอว่า “แม่”
อาจเพราะจงอี้ไม่เคยร้องไห้ขนาดนี้มาก่อน ร้องไปร้องมาก็เหนื่อย แล้วผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของเธอในที่สุด
เกาซูค่อย ๆ วางเขาลงนอน เมื่อแน่ใจว่าเขาหลับสนิทดีแล้ว จึงเดินออกไป
เหตุการณ์วันนี้ทำให้เธอรู้สึกเป็นกังวลกับอาการของจงอี้อย่างมาก จึงตัดสินใจเลื่อนการกลับโรงงานออกไป เพื่อเฝ้าดูอาการของเด็กน้อยอีกสักสองสามวัน
ปรากฏว่าจงอี้หลับสนิทตลอดทั้งวัน
แม้กระทั่งเวลาอาหารเย็น เด็กน้อยก็ยังไม่ลุกมากิน
เมื่อเกาซูอาบน้ำเสร็จ เธอก็รู้สึกถึงความผิดปกติ จึงรีบเดินเข้าไปดูในห้องของเด็กน้อย ก่อนจะพบร่างเล็ก ๆ ผอมบางของจงอี้ขดตัวอยู่บนเตียง และยังคงหลับใหลไม่ได้สติ
“จงอี้?” เกาซูเรียกชื่ออีกฝ่ายเบา ๆ พลางก้มลงดู พบว่าใบหน้าของเด็กน้อยแดงก่ำผิดปกติ
แม้เกาซูจะยังไม่เคยมีลูก แต่ในชาติก่อน เธอเคยดูแลหลานชายด้วยความรักและความเอาใจใส่ สิ่งที่ผู้เป็นแม่พึงรู้ เธอก็รู้ดีแทบทุกอย่าง เพียงแค่เห็นใบหน้าของจงอี้ เธอก็รู้ทันทีว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นเสียแล้ว เมื่อเอื้อมมือไปสัมผัส ก็พบว่าหน้าผาก แก้ม และลำคอของเด็กน้อยร้อนจัดจนแทบจะเรียกได้ว่าเตาผิงเคลื่อนที่
จากที่ลองวิเคราะห์ ไข้คงจะสูงเกิน 39 องศาแน่ ๆ!
เธอรีบอุ้มจงอี้วิ่งออกไปทันที
“เกิดอะไรขึ้น?” มู่เฟินที่ถือจานอาหารออกมาจากครัว ถามด้วยความตกใจ
“แม่คะ จงอี้ตัวร้อนมากเลยค่ะ หนูต้องพาเขาไปสถานีอนามัยเดี๋ยวนี้!” เกาซูตอบด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ใจเย็น ๆ ก่อน! แล้วลูกจะอุ้มเขาไหวเหรอ? รอก่อนเถอะ ให้พ่อกลับมาก่อน!” แม่สามีเอ่ยปราม
เกาซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พ่อสามีเดินทางเข้าเมืองไปซื้อเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่เช้า ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไร ที่สำคัญกว่านั้น เธอรู้สึกว่า หากจงอี้ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นเธออยู่ข้าง ๆ เด็กน้อยคงจะรู้สึกดีขึ้นมาก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่!” เธอตัดสินใจแน่วแน่ “หนูอุ้มเขาไปเองได้ค่ะ”
เกาผิงอันออกไปข้างนอกตั้งแต่บ่าย บอกว่าจะไปเจอเพื่อนเก่า
เกาซูบอกแม่สามีว่าไม่ต้องเป็นห่วง เธอจัดการเองได้ จากนั้นก็ช้อนร่างของจงอี้ขึ้นอุ้ม มุ่งหน้าไปยังสถานีอนามัยทันที
สถานีอนามัยตั้งอยู่ในหมู่บ้าน แต่ในยุคนี้การเดินทางยังไม่สะดวก ต้องเดินเท้าไปเท่านั้น
เกาซูอุ้มจงอี้ไว้แนบอก เธอเดินทางลำบากแบบนี้ จากหมู่บ้านไปยังตำบลคงใช้เวลาถึงสองชั่วโมง
เมื่อมาถึงสถานีอนามัย ร่างกายของเกาซูเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เธอค่อยๆ วางจงอี้ลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา รู้สึกปวดเมื่อยไปทั่วทั้งร่าง เอวแทบจะยืดตรงไม่ไหว
“คุณหมอคะ ช่วยดูเด็กคนนี้หน่อยค่ะ เขามีไข้สูงมาก!” เธอพูดด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบ
คุณหมอก็รีบเข้ามาตรวจอาการ วัดไข้ให้จงอี้ ปรากฏว่าไข้ขึ้นสูงถึง 39.5 องศา
คุณหมอจัดการฉีดยาลดไข้ให้จงอี้ทันที พร้อมกับกำชับให้เกาซูเฝ้าดูอาการของเด็กน้อยที่สถานีอนามัยไปก่อน อย่าเพิ่งรีบกลับ หากไข้ไม่ลดหรือมีอาการไข้ขึ้น ๆ ลง ๆ ควรพาไปโรงพยาบาลประจำอำเภอจะดีกว่า
เกาซูพยักหน้ารับทราบ
เธอเข้าใจดีว่าสถานีอนามัยในชนบทแห่งนี้มีข้อจำกัดหลายอย่าง โรคที่ทำให้เด็กมีไข้ไม่ได้มีแค่ไข้หวัดธรรมดา แต่อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหลายชนิด หากปล่อยให้ลุกลามอาจเป็นอันตรายได้
เกาซูจึงพาจงอี้พักอยู่ที่สถานีอนามัย เฝ้าสังเกตอาการของเด็กน้อยอย่างใกล้ชิด
MANGA DISCUSSION