บทที่ 120 คุณรู้จักฉันด้วยเหรอ?
เกาผิงอันอยากอยู่กับเธอ จึงรวบรวมความกล้าเลือกมหาวิทยาลัยเดียวกันในที่สุด แต่คนละสาขาวิชา
ถึงอย่างนั้น แม้คะแนนของพวกเธอจะสามารถเลือกมหาวิทยาลัยได้ แต่การเลือกมหาวิทยาลัยในเมืองก็ต้องไปชิงดีชิงเด่นกับคนอีกมากมายต่อ เพราะสุดท้ายแล้ว ทางมหาวิทยาลัยก็จะเลือกคนที่เหมาะสมที่สุดให้พอดีจำนวนที่นั่งในแต่ละปี
เกาซูถูกน้องสาวถามแบบนี้ จริง ๆ แล้วเธอไม่กล้ายืนยันอะไร ได้แต่ตบหลังมือน้องเบา ๆ “ไม่ว่าจะเป็นยังไง รอประกาศผลจากทางมหาวิทยาลัยก็พอ อย่างมากก็ลองใหม่ในปีหน้า ถึงตอนนั้นเราก็มีประสบการณ์มาแล้ว”
“อืม!” เกาผิงอันไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เพียงแค่พยักหน้าอย่างมีความสุข
มู่เยี่ยนฟางก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “พวกเธอสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยไหนกันเหรอ?”
เกาซูกระมิดกระเมี้ยนไม่กล้าตอบ เพราะเธอค่อนข้างเขินอาย ไม่กล้าพูดว่าสมัครเรียนมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศไปแล้ว
เธอจึงเลือกที่จะปิดบังต่อไป เอาไว้ผลออกมาก่อน จึงค่อยเฉลยอีกที “พี่เยี่ยน ฉันอยากเก็บไว้เป็นความลับก่อน เอาไว้ผลออกว่าผ่านแล้ว ฉันจะบอกพี่แน่นอน”
มู่เยี่ยนฟางไม่ได้คิดอะไรมาก กลับกัน เธอสนับสนุนน้องสะใภ้อย่างสุดหัวใจ “ทำถูกแล้ว! เรื่องที่ยังไม่แน่นอนอย่าเพิ่งพูดออกไปจะดีกว่า เดี๋ยวจะมีมารผจญมาขัดขวางเอาได้!”
ตู้เหลียงหัวเราะ “เธอนี่มีความเชื่อแปลก ๆ เยอะเลยนะ! มารผจญอะไรกัน ฮ่า ๆ ๆ! นี่มันสมัยไหนกันแล้ว!”
“ไม่ต้องมายุ่ง! แกนั่นแหละมารผจญตัวแรก!” ถึงแม้มู่เยี่ยนฟางจะคืนดีกับตู้เหลียงแล้ว แต่ก็ยังอดที่จะแขวะเขาไม่ได้เป็นครั้งคราว ตู้เหลียงก็ได้แต่ยิ้มรับอย่างอดทน ไม่โต้ตอบอะไร
เกาซูและคนอื่น ๆ คิดว่าเรื่องสองแม่ลูกซื้อข้อสอบจบไปแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่า ไม่กี่วันต่อมา ตำรวจจะมาหาพวกเธอถึงโรงงาน
เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่ามีคดีที่ต้องการให้พวกเธอช่วยในการสืบสวน
แล้วพวกเธอจะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคดีกันล่ะ?
แม้จะสงสัย แต่เกาซูและเกาผิงอันก็ตัดสินใจเดินทางไปกับเจ้าหน้าที่แต่โดยดี
เมื่อไปถึงสถานีตำรวจประจำอำเภอบ้านเกิด เกาซูถึงได้ทราบว่าเป็นการสอบสวนเกี่ยวกับคดีที่สองแม่ลูกซื้อข้อสอบล่วงหน้า
เนื่องจากก่อนหน้านี้สองพี่น้องถูกสงสัยว่าซื้อข้อสอบ จึงทำให้ได้ลำดับที่ดี ด้วยเหตุนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเรียกตัวพี่น้องทั้งสองมาให้ปากคำ
เกาซูไม่มีอะไรต้องปิดบัง เธอจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดตามความจริงอย่างละเอียด
หลังจากบันทึกคำให้การเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจก็อนุญาตให้พวกเธอกลับ พร้อมทั้งยืนยันว่าไม่มีเจตนาอื่นใด เพียงแค่ต้องการบันทึกคำให้การและรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้เท่านั้น
เกาซูพยักหน้ารับทราบด้วยความเข้าใจ
ขณะที่กำลังเตรียมตัวออกไปกับเกาผิงอัน ก็มีตำรวจอีกคนเดินเข้ามา เมื่อเห็นเธอ เขาก็อุทานออกมาทันที “คุณคือภรรยาของผู้พันมู่ใช่ไหมครับ?”
เกาซูรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ใช่ค่ะ คุณรู้จักฉันด้วยเหรอ?”
ตำรวจหนุ่มอมยิ้ม “จะไม่รู้จักได้ยังไงครับ ตอนคุณแต่งงานผมยังไปดื่มฉลองเลยนะ!”
“…”
เกาซูนิ่งอึ้งไป เธอจำใครไม่ได้เลยในวันนั้น เพราะมัวแต่โกรธและหงุดหงิดมู่อวิ่นเฉิงอยู่
มันก็ไม่แปลกนักหรอก ก็ตอนแต่งงานเธอไม่เต็มใจนี่! จะไปสนใจรู้จักญาติและเพื่อนของฝ่ายชายได้อย่างไร?
ตำรวจเชิญเธอเข้าไปนั่งในสำนักงาน แล้วรินน้ำชาให้เธอและเกาผิงอัน “ผมกับผู้พันมู่เป็นเพื่อนร่วมรบกันมาครับ! ผมจิ้งเหวินครับ”
ที่แท้เขาก็คือจิ้งเหวิน เป็นผู้กำกับสถานีตำรวจของอำเภอนี้
“ส่วนคดีนี้น่ะ ผู้พันมู่เป็นคนฝากฝังให้ผมมาช่วยดูเองครับ” จิ้งเหวินพูดพลางยิ้มให้เธออย่างมีเลศนัย
ที่แท้ก็มีคนของมู่อวิ่นเฉิงคอยจับตาดูเธออยู่ในช่วงที่เขาไม่อยู่ คนคนนั้นก็คงเป็นคนของจิ้งเหวินอีกทีซึ่งมีหน้าที่คอยส่งเรื่องราวต่าง ๆ ให้มู่อวิ่นเฉิงรับทราบ
สองแม่ลูกคู่นี้โชคร้ายที่บังเอิญมาหาเรื่องเธอ จึงทำให้มู่อวิ่นเฉิงติดใจเรื่องการสอบที่ไม่โปร่งใสไปด้วย
อันที่จริง จิ้งเหวินสังเกตเห็นมานานแล้วว่ามีคนแอบอ้างขายข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อหลอกเอาเงิน มีคนหลงเชื่อไม่น้อย แต่เจ้าคนเหล่านี้เจ้าเล่ห์มาก จึงทำให้การสืบหาตัวเป็นไปอย่างยากลำบาก
จนกระทั่งสองแม่ลูกเปิดปากสารภาพด้วยตัวเอง เขาจึงได้เบาะแสเพิ่มเติม จนนำไปสู่การสืบสาวราวเรื่องต่อจนพบต้นตอของคนชั่วเหล่านี้
เมื่อเสร็จกิจธุระแล้ว เกาซูก็พาน้องสาวกลับมาที่โรงงานในทันที
ผลการสอบออกมาแล้ว ทำให้จิตใจของเกาซูสงบลงไม่น้อย
ไม่ว่าจะได้รับการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวงหรือไม่ เธอก็พอใจกับคะแนนนี้อยู่ดี
ตอนนี้ก็แค่รอไปก่อน
ทางโรงงานเสื้อผ้าได้ผลิตชุดตัวอย่างออกมาแล้ว ซึ่งเกาซูรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก ส่วนเรื่องการเซ็นสัญญากับลูกค้าต่อไปนั้นไม่ใช่งานในส่วนของเธอ เธอจึงมีเวลาว่างอยู่สองสามวัน
เกาซูจึงตัดสินใจพาเกาผิงอันกลับไปที่หมู่บ้านสามี โดยมีมู่เยี่ยนฟางและตู้เหลียงเดินทางกลับไปพร้อมกัน
ปัจจุบัน มู่เยี่ยนฟางและตู้เหลียงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่โรงงาน ส่วนเสี่ยวเปาก็มักจะอยู่ที่บ้านตระกูลมู่เป็นเพื่อนจงอี้ แต่อีกหน่อยตระกูลมู่จะต้องย้ายไปอยู่ในตัวอำเภอแล้ว เกาซูจึงอยากไปจัดการอะไรเสียหน่อย
เมื่อเกาซูกลับมาถึงบ้านสามี เธอก็พบเด็กทั้งสองคนนั่งอยู่หน้าประตู มือเล็ก ๆ กำดอกไม้ป่าคนละดอก กำลังนับเลขกันอย่างสนุกสนานโดยการเด็ดกลีบดอกไม้ทีละกลีบ
ช่างน่ารักอะไรอย่างนี้!
นอกจากเจ้าเกาฉีหลานชายเธอแล้ว เกาซูก็ไม่เคยรู้สึกเอ็นดูเด็กเท่านี้มาก่อน ความใสซื่อที่ถูกบ่มเพาะมานั้น ช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ป่านนี้ ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กสารเลวนั่นจะเตรียมตัวเกิดหรือยัง? เจ้าเกาเหวินเงียบหายไปแบบนี้ เธอกลัวเหลือเกินว่าจะไปทำใครท้องเข้า!
ระหว่างที่กำลังคิดเรื่องหลานชายสุดชั่วอยู่นั้น จู่ ๆ จงอี้ก็วิ่งดีใจมาหาเธอ จนทำดอกไม้ในมือหล่น
“แม่มาแล้ว!” เด็กชายเอ่ยด้วยรอยยิ้มแจ่มใส
“จงอี้ เสี่ยวเปา” เกาซูเดินเข้าไปใกล้ ๆ มองเด็กทั้งสองคนด้วยสายตาอ่อนโยน
“แม่จ๋า พอจ๋า!” เสี่ยวเปาร้องเรียกอย่างร่าเริง แล้ววิ่งเข้าไปกอดพ่อแม่ของตัวเองบ้าง
ระหว่างที่กำลังดีใจอยู่นั้น อยู่ดี ๆ จงอี้ก็หน้าเจื่อนลง
“จงอี้ มีอะไรหรือเปล่า?”
ยังไม่ทันที่เด็กน้อยจะได้ตอบ พ่อแม่สามีของเกาซูก็กลับจากข้างนอกพอดี
“ทุกคนกลับมาแล้วเหรอ” มู่เฟินถามด้วยความตื่นเต้น
เกาซูยังไม่ได้ถามอย่างละเอียดจากจงอี้ เด็กคนนี้มักจะมีเรื่องในใจมากมาย และอ่อนไหวกว่าเด็กคนอื่น ๆ หากจะพูดคุยกันก็ควรเป็นตอนที่อยู่กันตามลำพังจะดีกว่า
มู่เฟินบอกให้มู่เยี่ยนฟางกินอาหารเย็นที่บ้านก่อนแล้วค่อยกลับไปบ้านสามี
หลังอาหาร เกาซูพูดคุยรายละเอียดเรื่องย้ายบ้านกับแม่และพ่อสามีสักพัก แล้วจึงแยกย้ายกัน
หญิงสาวถือของเล่นที่ซื้อมาจากอำเภอไปหาจงอี้ที่ห้อง
เธอเคาะประตูที่หน้าห้องของเด็กน้อย แต่ข้างในไม่มีใครตอบรับ จึงคิดว่าจงอี้หลับไปแล้ว
เธอปล่อยให้เด็กน้อยได้นอนต่อไป ก่อนจะกลับมาพักผ่อนกับน้องสาว
เช้าวันใหม่ เกาซูตื่นขึ้นมาเตรียมลงมือทำขนมให้จงอี้
เด็กน้อยชื่นชอบของหวานเป็นชีวิตจิตใจ เหมือนกับชาติที่แล้วไม่มีผิด
งั้นครั้งนี้เธอทำขนมไข่ห่าน ข้างในมีไส้เผือกบดให้เขากิน
ฐานะทางบ้านในตอนนี้ดีขึ้นมาก น้ำมันพืชไม่ใช่ของหายากอีกต่อไปแล้ว แน่นอนว่าของทอดเป็นที่โปรดปรานของเด็ก ๆ ใครบ้างจะไม่ดีใจที่ได้กินมัน
ระหว่างที่เธอกำลังทอดขนมไข่ห่านอยู่นั้น ก็เห็นว่าในบ้านยังมีเนื้อหมูเหลืออยู่ จึงทำหมูทอดเพิ่มอีกหนึ่งจาน
ในตอนแรกจงอี้ยังคงแอบอยู่ในห้อง ไม่ยอมออกมา แต่เมื่อได้กลิ่นหอมของอาหาร สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว โผล่ศีรษะเล็ก ๆ ออกมา คล้ายกับหนูน้อยแสนซน
เกาซูยิ้มละไม เอ่ยเรียกเขา “จงอี้ มากินข้าวเร็วเข้า!”
MANGA DISCUSSION