บทที่ 117 อยากสร้างครอบครัวไปพร้อมกับฉันบ้างหรือเปล่า?
มู่เยว่ที่กลับมาจากทำไร่ เมื่อได้รับข่าวดีก็พลอยชื่นใจไม่แพ้กัน
บรรยากาศในบ้านเป็นไปอย่างอบอุ่นและครึกครื้น จงอี้ก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจที่จะได้ย้ายไปอยู่ในที่ที่เจริญมากขึ้นเสียที
ตกกลางคืน เกาซูและมู่อวิ่นเฉิงก็เข้านอนเร็วกว่าพ่อและแม่ เพราะพรุ่งนี้จะต้องตื่นแต่เช้า ออกเดินทางกลับโรงงาน ส่วนมู่อวิ่นเฉิงก็ต้องกลับกองทัพ
แสงจันทร์สาดส่องลอดผ้าม่านเข้ามาในห้องนอน บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของเกาซูและมู่อวิ่นเฉิงที่นอนเคียงข้างกันอยู่บนเตียง
จู่ ๆ มู่อวิ่นเฉิงก็เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ “พรุ่งนี้ต้องแยกย้ายกันแล้ว จงอี้คงจะงอแงน่าดู”
“นั่นสิ เขาดูดีใจที่เรากลับมามาก ๆ น่าสงสารจริง ๆ ที่เจอกันไม่ทันไรก็ต้องจากกันไปอีกแล้ว”
อยู่ดี ๆ บรรยากาศในห้องก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง ก่อนจะมีเสียงใส ๆ ของเกาซูเอ่ยขึ้น “มู่อวิ่นเฉิง… วันประกาศผลสอบ คุณจะมาหาฉันไหม?”
ชายหนุ่มตอบทั้งที่ยังหลับตาอยู่ “ไม่รู้สิ”
“ทำไมล่ะ?”
“ฉันมีงานอีกเยอะ ไม่รู้เลยว่าจะทำเสร็จก่อนวันนั้นหรือเปล่า”
“แล้วถ้าฉันไปหาคุณล่ะ?”
“ถ้าอย่างนั้นก็ยื่นคำร้องไปที่กองทัพสิ”
“คุณพูดจริงเหรอ!?”
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่อวิ่นเฉิงไม่ปฏิเสธที่จะให้เธอไปเยี่ยมที่กองทัพ เกาซูจึงรู้สึกตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ
“แต่ถ้าไปคราวนี้ เธอต้องดูแลตัวเองให้ดี อย่าปล่อยให้ตัวเองป่วยเด็ดขาด”
หญิงสาวหน้าหงอยลงไปด้วยความน้อยใจ “คุณรำคาญที่ต้องดูแลฉันเหรอ”
ชายหนุ่มถอนหายใจหนัก ๆ ที่สุดแล้ว เกาซูก็ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเขาเลยสักนิด
“เธอคิดได้แค่นั้นเหรอ?”
“แล้วจะให้ฉันคิดยังไงได้อีกล่ะ ก็ตอนนั้นคุณไม่ได้อยากให้ฉันไปเยี่ยม ก็หมายความว่าคุณไม่อยากเจอฉันไม่ใช่เหรอ?”
มู่อวิ่นเฉิงลุกขึ้นนั่งมองหน้าเกาซู “ฉันดูเป็นนั้นเหรอ?”
หญิงสาวก็ลุกบ้าง “ก็ใช่น่ะสิ!”
ชายหนุ่มหนึ่งครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะถามเกาซูอีกครั้ง “เธออยากไปหาฉันเพราะอะไร?”
“คุณเป็นสามีฉัน ฉันก็ต้องไปหาสิ! ถามอะไรแปลก ๆ”
“ฉันหมายถึง เธอรู้สึกยังไงต่างหาก”
“…”
เมื่อได้ยินคำถามของสามี เกาซูก็เงียบไป
เธอไม่กล้าตอบออกไปตามตรงว่าเธอคิดถึงเขา เพราะไม่รู้เลยว่า อีกฝ่ายคิดเช่นไรกับเธอกันแน่
“เกาซู ตอบฉันมา… ว่าเธอคิดยังไงกันแน่”
“ฉัน…”
เธอจ้องลึกเข้าไปดวงตาคมกริบของชายตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา “ฉันคิดถึงคุณ! ฉันอยากเจอคุณยังไงล่ะ!”
คำตอบของเกาซูทำให้มู่อวิ่นเฉิงใจเต้นโครมครามขึ้นมา
“มู่อวิ่นเฉิง ที่ผ่านมา การกระทำของฉันมันยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ คุณนั่นแหละที่ไม่ชัดเจน ไม่รู้คุณคิดยังไงกับฉันกันแน่ ทำไมต้องเอาแต่เงียบอยู่เรื่อย ฉันเดาใจคุณไม่ออกเลยจริง ๆ! ทำไมทุกครั้งฉันต้องเป็นฝ่ายวิ่งตามคุณตลอดเลยล่ะ เราไม่ใช่สามีภรรยากันหรือไง?”
มู่อวิ่นเฉิงยังคงนิ่งอึ้งกับคำพูดตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย ที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะเขารังเกียจเธอ จึงได้ทำตัวห่างหายและหนีเธออยู่เรื่อย แต่เป็นเพราะเขาหวังดี ไม่อยากให้เกาซูต้องลำบากเพราะตนเองต่างหาก ไม่นึกเลยว่า ทุกการกระทำของเขาจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดได้มากมายขนาดนี้
สายตาของมู่อวิ่นเฉิงกวาดมองใบหน้าของเกาซูที่ตอนนี้น้ำตาคลอเบ้า เขาพยายามจะหาคำพูดที่เหมาะสมที่สุดเพื่ออธิบายความรู้สึกที่แท้จริงของตน แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าคำพูดใด ๆ ก็ไม่อาจถ่ายทอดความรู้สึกที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างครบถ้วน
“ฉันขอโทษ” เสียงแหบพร่าของมู่อวิ่นเฉิงดังขึ้นในที่สุด ราวกับเป็นคำคำเดียวที่เขาสามารถเปล่งออกมาได้ในเวลานี้
เกาซูค่อยเข้าใจความหมายของการขอโทษในครั้งนี้นัก เธอจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยแววตาดูใสซื่อ
“ขอโทษเรื่องอะไร?”
แม้จะผ่านวัย 46 ปี และบวกประสบการณ์ชีวิตชาตินี้อีก 2 ปี รวมแล้วเกือบครึ่งศตวรรษ ทว่าเกาซูกลับถือว่าเป็นหญิงสาวที่ไร้เดียงสาในเรื่องความรัก
ย้อนกลับไปในวันที่เธอต้องแต่งงานกับมู่อวิ่นเฉิง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นล้วนมาจากหน้าที่และความเหมาะสม ไม่ใช่ความรักใคร่ลึกซึ้ง แม้กระทั่งสัมผัสกายที่ควรเกิดขึ้นระหว่างสามีภรรยา เธอก็แทบไม่ได้ลิ้มรสชาติของมัน
หลังจากสูญเสียมู่อวิ่นเฉิงไป เกาซูก็ไม่เคยสนใจชายหน้าไหนอีก เธอเอาแต่ใช้ชีวิตจมอยู่กับการทำธุรกิจราวกับคนคลั่งไคล้วงการค้าขาย จนกระทั่งประสบความสำเร็จอย่างงดงามในที่สุด
ด้วยเหตุนี้ แม้จะย่างเข้าสู่วัย 50 ปี แต่เกาซูก็ยังคงเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ ราวกับดอกไม้ที่แม้จะผลิบานงดงาม แต่กลับไม่เคยมีผีเสื้อตัวใดได้สัมผัสกลิ่นหอมหวานจากเกสรเลยแม้แต่น้อย
มู่อวิ่นเฉิงเห็นแววตาคาดหวังของอีกฝ่ายแล้วก็ละเหี่ยใจ ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องพูดกับเธอให้ชัดเจนจริง ๆ เสียที
“เกาซู ฉันคิดมาตลอดว่าเธอไม่ชอบฉัน ฉันผิดเองที่ทำให้เธอต้องอึดอัด”
“หา? ฉันไม่ชอบคุณ?”
“เธอจำไม่ได้เหรอ วันที่เราเจอกันครั้งแรก แม้แต่หน้าเธอยังไม่มองฉันเลยด้วยซ้ำ”
“เอ่อ… ก็…”
นั่นก็จริงอย่างที่เขาว่า เกาซูนึกย้อนกลับไปตอนที่เธอต้องเจอมู่อวิ่นเฉิงในวันแต่งงาน ในพิธียกน้ำชา นั่นเป็นครั้งแรกที่มู่อวิ่นเฉิงมาเจอเธอ
ตอนนั้นเกาซูทั้งโกรธและรังเกียจเขา มีอย่างที่ไหน เจอกันครั้งแรกในพิธียกน้ำชา หากเขาให้เกียรติเธอจริง ก็คงไม่รอจนถึงวันนี้ วันที่จะเข้าเรือนหอกันอยู่รอมร่อ
อีกอย่าง ลักษณะภายนอกของเขาในตอนนั้นไม่ตรงกับความชอบส่วนตัวของเกาซูเลยสักนิด ทั้งผิวสีเข้มแห้งกร้านจากแดด ตาคมราวกับลูกครึ่งแถบอาหรับ ผิดจากที่เกาซูจินตนาการไว้ว่าเป็นหนุ่มหน้าตี๋ ผิวขาว สูงโปร่งเป็นนายแบบ
อีกทั้ง การกระทำที่นิ่งเฉยราวกับหุ่นเชิดของเขา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ทำให้เธอทนไม่ไหว จนเผลอพูดออกไปในคืนส่งตัวเข้าหอว่า “คุณนี่มันน่ารังเกียจจริง ๆ! ฉันแต่งงานกับตัวอะไรกันแน่!”
เมื่อนึกถึงคำพูดอันดูใจร้ายเหล่านั้น เกาซูก็เข้าใจในทันทีว่า ‘เหตุใดมู่อวิ่นเฉิงจึงได้ทำตัวห่างเหินกับเธออยู่เรื่อย’
หญิงสาวอับอายจนแทบจะเอามือปิดหน้าไว้ เธอเบนสายตามองไปทางอื่น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“ฉันขอโทษ ตอนนั้น… ที่จริงแล้ว… ฉันต่างหากที่เป็นคนผิด…”
มู่อวิ่นเฉิงบังคับคางมนของอีกฝ่ายให้หันมาสบตากับตนเอง
แววตาที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวของชายหนุ่มทำให้เกาซูรู้สึกสั่นไหวในหัวใจอีกครั้ง
“มองหน้าฉัน แล้วพูดสิ”
หญิงสาวหน้าแดงก่ำ “ตอนนั้นก็ส่วนตอนนั้น แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว ฉันคิดถึงคุณตลอดเวลา อยากเจอคุณทุกวัน ฉันไม่อยากให้คุณไปเสี่ยงอันตราย อยากให้คุณใช้ชีวิตแบบปกติ… มู่อวิ่นเฉิง คุณเคยคิดเรื่องอนาคตกับฉันบ้างไหม?”
“…”
“คุณเคยอยากมีลูก อยากสร้างครอบครัวไปพร้อมกับฉันบ้างหรือเปล่า?”
“อยากสิ” คำตอบอันเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความหมาย มันเติมเต็มช่องว่างในจิตใจของเกาซูได้อย่างเปี่ยมล้น
“คุณ… ว่ายังไงนะ?”
“ฉันบอกว่าอยากยังไงล่ะ”
แต่ยังไม่ทันที่เกาซูจะได้ถามต่อ อีกฝ่ายก็ทิ้งตัวลงนอนไปเสียแล้ว
“เดี๋ยวสิ อธิบายก่อนสิ มู่อวิ่นเฉิง”
หญิงสาวยังคงเขย่าตัวสามีอย่างแรงเพื่อให้อีกฝ่ายพูดในสิ่งที่เธออยากได้ยิน แต่แล้ว คำตอบที่ได้รับกลับเป็นความเงียบเสียงอย่างนั้น
แต่เท่านี้ เกาซูก็มีความสุขจนแทบนอนไม่หลับแล้ว แค่เธอได้รู้ว่า อีกฝ่ายไม่ได้รังเกียจเธอ เท่านั้นก็นับว่าดีที่สุด!
MANGA DISCUSSION