บทที่ 1 หากมีโอกาสได้แก้ไข
ในโรงพยาบาลเอกชนใจกลางเมืองหลวงแห่งหนึ่ง หญิงวัยกลางคนหน้าตาสะสวย นอนหน้าซีดตัวสั่นอยู่ในสภาพผมเผ้ากระเซอะกระเซิงบนเตียงผู้ป่วยภายในห้องพักระดับวีไอพี
เกาซู ผู้มีอายุ 46 ปี ไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะหายใจด้วยตนเอง ใบหน้าที่เคยสวยสะพรั่ง บัดนี้ทรุดโทรมเสียจนจำแทบไม่ได้
ระหว่างที่หายใจเข้าออกอย่างยากลำบากนั้น เธอก็ได้แต่นึกเสียดายเวลาที่ผ่านมาของตัวเองเหลือเกิน นั่นเพราะตลอดช่วงชีวิตหลายปีมานี้ เธอตัดสินใจผิดพลาดไปหลายอย่าง เกินกว่าจะทำใจจากไปอย่างสงบได้
“ป้า… ยุติการรักษาซะเถอะ ผมทนต่อไปไม่ไหวแล้ว!”
เกาฉี ชายหนุ่มวัย 22 ปี ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘หลานรัก’ ของเธอเอ่ยด้วยสีหน้าหมดความอดทน
เกาซูค่อย ๆ เลื่อนสายตาที่เหม่อลอยมายังต้นเสียงอย่างยากลำบาก
“ผมเหนื่อยแล้วที่ต้องเอาเงินของตัวเองมาจ่ายค่ารักษาให้ป้า มันแพงมากนะรู้ไหม ไหน ๆ ป้าก็ต้องตายอยู่แล้ว จะดันทุรังผลาญเงินทองครอบครัวไปอีกทำไม”
ได้ยินน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ของหลานชายสุดรักเข้าแล้ว น้ำตาของเกาซูก็ไหลพราก
เธอทั้งเสียใจ และเสียความรู้สึก ที่ผ่านมาเธอเลี้ยงดูเจ้าเด็กคนนี้ราวกับลูกในไส้ของตัวเอง นี่หรือ คือสิ่งที่เธอได้รับจากการความทุ่มเททั้งหมดของตนเอง
แต่ที่ทำให้เจ็บแค้นในดวงใจยิ่งกว่านั้น เห็นจะเป็นการที่อีกฝ่ายพูดว่า ‘เธอผลาญเงินทองของครอบครัวไปกับการรักษา’
จะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร ในเมื่อเงินที่ใช้กินอยู่ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของครอบครัวล้วนแล้วแต่เป็นของของเธอทั้งสิ้น แล้วเธอผิดตรงไหนหากจะเอาเงินที่ตัวเองลำบากกายหามาเพื่อรักษาตัวในตอนที่ล้มป่วย
เกาฉีเป็นลูกชายของเกาเหวิน น้องชายแท้ ๆ ของเธอ ตั้งแต่เกิดมา จนกระทั่งตอนนี้ ไม่มีวันไหนที่เธอจะได้ใช้ชีวิตโดยไม่ถูกเปรียบเทียบ
เจ้าเกาเหวินตัวดี มักจะสร้างภาพให้พ่อแม่เห็นว่าตัวเองเก่งกาจเหนือใคร ไม่ว่าเรื่องอะไรแม่ของเธอมักจะชี้นิ้วสั่งให้ดูน้องชายเป็นตัวอย่าง
ทว่า… ลูกชายพี่พ่อแม่ฝากฝังความหวังเอาไว้ กลับไม่อาจนำความเจริญมาสู่ตระกูลได้อย่างที่คิด เมื่อเกาซูสามารถก่อร่างสร้างตัวด้วยตนเองจนกระทั่งมีทรัพย์สินเงินทองให้คนทั้งบ้านได้เกาะเธอกิน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปราวกับฟ้ากับเหว
ในตอนที่เธอยังมีกำลังหาเลี้ยงทุกคนได้ ไม่ว่าจะเอ่ยปากพูดอะไรก็ดูดีไปเสียหมด แต่เมื่อถึงวันที่เธอล้มป่วย ไม่เหลือเรี่ยวแรงจะผลิตเงินทองให้กับครอบครัวนี้ได้แล้ว ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันกดดันเธอให้ยุติการรักษา เพราะคิดกันไปว่า โรคมะเร็งที่เธอเป็นอยู่นี้ ไม่มีวันรักษาหายอย่างแน่นอน ในเมื่อต้องรอความตาย เธอก็ไม่ควรที่จะทำให้เงินที่เหลืออยู่ต้องเสียเปล่า
ความบัดซบที่ครอบครัวมอบให้เธอมันช่างเป็นจุดด่างพร้อยในชีวิตที่ไม่อาจลบเลือนไปจากความทรงจำได้
“แต่เงินนั่น… มันเป็นของฉัน…”
หญิงวัยกลางคนงัดแรงที่มีอยู่เพียงน้อยนิดในการตอบเจ้าหลานชายสารเลว
“เฮอะ! เงินของป้าอะไรกัน จะตายอยู่แล้วยังจะปลงไม่ตกอีก ระวังนะ ถ้าเอาแต่หวงสมบัติแบบนี้วิญญาณจะไม่ได้ไปผุดไปเกิด”
พูดจบ ชายหนุ่มก็ควักเอกสารบางอย่างออกจากกระเป๋าพร้อมทั้งนำปากกามายัดไว้ในมือผู้เป็นป้าโดยไม่คิดถนอม
“เซ็นซะ”
เกาซูยังคงพยายามต่อต้านอย่างสุดชีวิต เธอจะไม่ยอมยกสิ่งที่ตัวเองสร้างมาทั้งชีวิตให้คนเลว ๆ ได้เสพสุขกันตามใจหรอก!
ทว่า เมื่อการออกคำสั่งเพียงอย่างเดียวไม่ได้ผล เกาฉีก็หันไปหยิบหมึกพิมพ์ลายนิ้วมือมาแทน ก่อนจะเริ่มบังคับนิ้วหัวแม่มือของเธอในการกดลงไปบนแท่นหมึก แล้วนำมาทาบไว้บนช่องเซ็นมอบทรัยพ์สมบัติ
ในที่สุด เจ้าคนสารเลวก็ทำมันได้สำเร็จ!
เกาซูได้แต่มองด้วยสายตาแค้นเคือง ตาขาวของเธอแดงก่ำเต็มไปด้วยเส้นเลือด บ่งบอกถึงอารมณ์โกรธที่ไม่อาจกักเก็บเอาไว้ได้อีกต่อไป
เธอได้แต่สาปแช่งคนเหล่านี้อยู่ในใจ ไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติไหนก็ขออย่าได้พบกันอีก!
“หึหึ! ขอบคุณนะครับป้า” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้มร้าย ก่อนจะค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงมากระซิบข้างหูเธอ
“ในเมื่อป้ามอบสิ่งดี ๆ ให้พวกเราแล้ว… ผมก็จะมอบอิสระให้ป้าบ้างแล้วกัน”
สิ้นเสียงพูด ชายหนุ่มก็เอื้อมมือไปหยิบหมอนอีกใบ ก่อนจะนำมันมาทาบทับลงใบหน้าอันซีดเผือดของผู้เป็นป้า
เกาซูดิ้นสุดแรงในการขัดขืน ทว่า… มันไม่ได้ต่างอะไรกับแรงมดสู้แรงช้างเลยแม้แต่น้อย เพราะร่างกายของเธออ่อนแอจนเรียกได้ว่าใกล้ตาย ต่อให้ไม่ถูกทำร้าย เธอก็นอนร้องครวญครางเพราะความเจ็บอยู่ทุกขณะ
ความอึดอัดแล่นลึกเข้าโจมตี หมอนใบหนาค่อย ๆ กดทับลงมามากขึ้น จนกระทั่งเกาซูไม่สามารถดิ้นรนได้อีก
เธอกำลังจะสิ้นลม… กำลังจะตายด้วยน้ำมือของคนที่เธอไว้ใจที่สุดในชีวิต…
ในห้วงความแค้นที่อบอวลอยู่ในความทรงจำ จู่ ๆ ภาพใบหน้าหล่อเหลาของชายคนหนึ่งก็ฉายวาบขึ้นในโสตประสาท
‘อวิ่นเฉิง… มู่อวิ่นเฉิง…’
เธอได้แต่เรียกชื่อนี้อยู่ในใจ
สิ่งดี ๆ ในชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของเกาซู สามีที่แสนดี และให้เกียรติเธออยู่เสมอ แต่เขากลับลาโลกนี้ไปก่อนตั้งนานหลายปี
สิ่งดี ๆ ที่เกาซูไม่เคยมองเห็นคุณค่า…
เมื่อนึกย้อนกลับไปแล้ว เธอก็อยากจะแก้ไขเรื่องนี้มากที่สุด
เธออยากกลับไปขอโทษมู่อวิ่นเฉิง อยากบอกเขาว่าเธอผิดไปแล้ว ที่มองข้ามความดีที่เขามีให้ตลอดมา
แต่มันก็สายไปแล้ว…
ทุกอย่าง… มันจบสิ้นแล้ว…
…
“เฮือก!”
หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เหงื่อกาฬไหลซึมไปทั่วแผ่นหลัง ลมหายใจหอบถี่ ร่างทั้งร่างสั่นเทาไปด้วยความหวาดกลัว
ภาพสุดท้ายในความทรงจำคือตอนที่เธอกำลังถูกหลานชายผู้เป็นที่รักพยายาม ‘ฆ่า’
แต่เมื่อดวงตาคู่สวยมองไปรอบ ๆ กาย กลับพบว่า ตอนนี้ เธอไม่ได้นอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลแล้ว! แต่ที่นี่… คือห้องหอของเธอกับมู่อวิ่นเฉิงสมัยที่ยังชีวิตร่วมกันต่างหาก!
หญิงวัย 23 ปี ลุกพรวดขึ้นมาเพื่อจะดูว่าตนเองกำลังเห็นภาพหลอนอยู่หรือไม่
แต่เมื่อเดินผ่านกระจก และพบว่าสภาพของตนเองในตอนนี้แลดูสวยสะพรั่งดั่งสมัยเป็นสาวแรกแย้มก็เป็นต้องผงะ!
ใบหน้าเต่งตึงกระชับไร้ซึ่งริ้วรอย ผมเรียงเส้นสวยไร้ซึ่งผมหงอก ไม่ว่าจะมองอย่างไรมันก็เหลือเชื่อชะมัด
“นะ… นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย…”
เธอพำพึมกับตนเองเบา ๆ ขณะที่ยังจ้องกระจกด้วยแววตาสั่นระริก
แต่เมื่อได้ยินเสียงฝักบัวจากห้องน้ำดังออกมาก็ค่อย ๆ เดินไปชะเง้อคอดู
มือเรียวบิดลูกบิดอย่างเชื่องช้า ก่อนที่มันจะเปิดเผยผู้ที่อยู่ภายในทีละน้อย
แผ่นหลังกำยำอัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ เมื่อสายน้ำจากฝักบัวไหลผ่านมันช่างเย้ายวนเกินจะอธิบาย
หญิงสาวกลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก พร้อมกับตั้งคำถามในใจว่า ‘ใครกันที่เป็นเจ้ารูปร่างอันเย้ายวนนี้’
หลังจากตั้งคำถามได้ไม่นาน เจ้าของเรือนร่างล่ำสันนั้นก็ค่อย ๆ หันกายมาอวดสรีระส่วนสำคัญให้เห็นอย่างเต็มตา!
“มู่อวิ่นเฉิง!”
หญิงสาวเผลอตะโกนลั่น ทำให้ชายหนุ่มที่อยู่ในห้องน้ำเป็นต้องตกใจตามไปด้วย
เมื่อตั้งสติได้ เกาซูก็รีบยกมือขึ้นปิดปากวิ่งปราดกลับมานั่งยังท้ายเตียง
จากนั้นไม่กี่อึดใจ เจ้าของร่างที่เธอเพิ่งชมความล่ำสันก็เดินตามออกมาโดยที่พันผ้าขนหนูไว้รอบเอวอย่างลวก ๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่า ยังเจ็บอยู่เหรอ?”
น้ำเสียงฟังดูอบอุ่นดังขึ้นมาจากทางประตูห้องน้ำ
ในตอนแรก เกาซูยังไม่ค่อยเข้าใจในคำถามของชายหนุ่มเท่าไรนัก แต่พอคิดตามที่อีกฝ่ายท้วง จู่ ๆ เธอก็รู้สึกเจ็บร้าวที่หน้าท้องขึ้นมาเสียอย่างนั้น
คุยกับนักอ่าน : เปิดมานางเอกก็ตุยเลย 555 น่าเอ็นดูน้องนะคะ จะเป็นยังไงต่อต้องลุ้นกันแล้วววว !!!
MANGA DISCUSSION