บทที่ 92 ล้วนเป็นผัวแก่เมียเฒ่ากันแล้ว
ครอบครัวอื่นยังไม่ทันเก็บเกี่ยวกันเสร็จ ในขณะที่ครอบครัวสกุลจูมีที่นาน้อยแต่คนมาก จึงเก็บเกี่ยวได้เสร็จก่อนเวลา
และยังมีฟางโต่วมาช่วยให้สะดวกขึ้น งานของปีนี้จึงยิ่งเสร็จเร็วกว่าปีก่อน ๆ
หลังกินข้าวเย็นเสร็จ จูเหล่าโถวก็ลองเข้าไปเจรจากับเย่อวี๋หราน เขาอยากพาลูกชายไปช่วยงานครอบครัวน้องสามกับน้องสี่ ทางนั้นไม่ได้มีที่นามากเท่าของพวกเขา แต่เมื่อเอาที่นาของสองบ้านมารวมกัน ผนวกกับที่นาของพ่อเฒ่าจูและแม่เฒ่าจู ก็ย่อมมีที่นามากกว่าของพวกเขาเป็นธรรมดา
อีกทั้งแต่ละบ้านต่างก็มีลูกชายแค่คนเดียว ไม่เหมือนครอบครัวพวกเขาที่ใช้มือเดียวยังนับได้ไม่หมด ยามนี้คงยังไม่เสร็จงานกันเป็นแน่
ถ้าเป็นปีก่อน ๆ จูเหล่าโถวอาจไม่กล้าถาม แต่ปีนี้เย่อวี๋หรานเริ่มให้คนรุ่นเยาว์ของครอบครัวไปมาหาสู่กับทางนั้นแล้ว เขาจึงมีความคิดเช่นนี้ขึ้นมา
เย่อวี๋หรานชำเลืองมองเขา “อย่าให้กระทบงานในที่นาของบ้านตัวเองก็พอ นอกนั้นแล้วแต่เจ้า”
จูเหล่าโถวเห็นนางอนุญาตก็ดีใจ “หรานเหนียง ขอบใจเจ้า เจ้าช่างดีจริง ๆ!”
พูดแล้วก็จะจับมือนาง
เย่อวี๋หรานรีบหลบเลี่ยง “อย่ามาทำรุ่มร่ามนะ ล้วนเป็นผัวแก่เมียเฒ่ากันแล้ว เด็ก ๆ มาเห็นเข้ายังน่าดูอยู่หรือ?”
จูเหล่าโถวมีสีหน้าปั้นยาก “ตอนนี้ต่างก็แยกห้องนอนกันแล้ว ข้าก็อยากแล้วนี่นา…”
เย่อวี๋หรานได้ยินคำพูดนั้นก็พลันขนลุกขนพอง รีบพูดไปว่า “เจ้าอยากไปช่วยงานท่านพ่อท่านแม่ไม่ใช่หรือ? ตอนนี้พวกเขาคงยังไม่เข้านอน รีบไปบอกไว้ล่วงหน้าสักหน่อยเถอะ พรุ่งนี้เช้าเจ้าคงไม่ได้คิดจะยกพลกันไปทั้งอย่างนี้หรอกใช่ไหม? รีบไปเร็วเข้า”
“งั้นข้าไปก่อนนะ” จูเหล่าโถวถูกเบนความสนใจไปทางอื่นแล้ว
ครั้นเห็นเขาจากไป เย่อวี๋หรานค่อยถอนหายใจออกมา
นางคิดไม่ถึงเลยว่าไม่เพียงร่างกายนี้จะบังเกิดความคิดเช่นนั้นขึ้นมา แต่จูเหล่าโถวทำนาทั้งวันก็ยังมีกะจิตกะใจมาคิดถึงเรื่องอย่างว่า?
คงไม่ใช่เพราะเห็นว่างานเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว จึงอยากจะ ‘ให้รางวัล’ ตัวเองสักหน่อยกระมัง?
เย่อวี๋หรานไม่ต้องการให้เขามาแตะต้องตนเองสักนิด ทั้งนึกยินดียิ่งนักที่ตอนนี้จูปาเม่ยนอนห้องเดียวกับตนเอง มิเช่นนั้นจะรับมือเรื่องนี้ได้อย่างไร?
เมื่อจูเหล่าโถวกล่าวถึงเรื่องนี้กับบรรดาลูกชาย จูซานกับจูซื่อก็พูดขึ้นทันทีว่าพวกเขาไม่ไป เพราะพวกเขามีเรื่องอื่นต้องไปทำ
แม้ช่วงเก็บเกี่ยวจะยุ่งมาก แต่พวกเขาก็ยังครุ่นคิดเรื่อง ‘วางยานก’ อยู่ตลอด ทั้งยังบอกให้ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าเก็บดอกตู้เจวียนสีเหลืองมาให้ไม่น้อย
กระทั่งเมล็ดข้าวที่แช่ไว้เรียบร้อยยังเตรียมไว้พร้อมพรัก เหลือเพียงแค่ลงมือแล้ว ยังจะมีเวลาไปช่วยงานทางนั้นกับบิดาของพวกเขาอีกหรือ?
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าใหญ่ เจ้ารอง กับเจ้าห้าก็ไปกับข้า เรื่องนี้ก็ให้เป็นไปตามนี้” จูเหล่าโถวชิงตัดสินใจก่อนที่จูอู่จะพูดอะไรขึ้นมา
จูอู่เบิกตากว้าง “ท่านพ่อ ข้า…”
“มีอันใด พ่ออย่างข้าสั่งงานเจ้าไม่ได้แล้ว?” จูเหล่าโถวพลันตบโต๊ะอย่างแรง แล้วมองเขาตาขวาง
จูอู่มีสีหน้าไม่พอใจ “เปล่าขอรับ”
เพียงแต่เมื่อคิดว่าพี่สามกับพี่สี่ไม่พาเขาไปด้วย เขาก็ไม่สบอารมณ์อย่างมาก
หลังจบเรื่องจึงไปหาพี่ชายทั้งสอง
จูซานตบไหล่เขาเบา ๆ “เจ้าห้า เจ้าอย่าโทษข้ากับพี่สี่ของเจ้าเลย เรื่องนี้พวกข้าก็จนปัญญา พวกข้าคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าปีนี้ท่านแม่จะยอมเห็นด้วยเรื่องที่ท่านพ่อจะพาพวกเราไปช่วยงานทางนั้น แต่เรื่องที่ข้ากับเจ้าสี่จะไปวางยานกในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวได้ตัดสินใจกันแล้ว ได้แต่ลำบากเจ้า พี่ใหญ่ กับพี่รองแล้ว”
จูอู่ไม่รู้สึกว่าได้รับการปลอบโยนเลยสักนิด
“ไม่เป็นไร ตอนเจ้าทำงานก็หัวไวหน่อยก็พอแล้ว” จูซื่อกล่าวอย่างคลุมเครือ
“งั้นทำไมท่านไม่ไปเองเสียล่ะ?” จูอู่ถลึงตาใส่เขา
“ข้าตกลงกับพี่สามไว้แล้วนี่นา” จูซื่อลูบจมูกอย่างรู้สึกไม่ดี
“งั้นข้าเปลี่ยนกับท่านก็ได้เหมือนกัน”
“ไม่ได้ ข้ากับพี่สามนัดกันไว้แล้ว” จูซื่อย่อมไม่สมัครใจอยู่แล้ว ใครจะอยากไปเก็บเกี่ยวใต้แสงแดดร้อนจัดแบบนั้นกัน?
นั่นไม่ใช่ที่นาของตัวเอง ไม่ทำก็ใช่ว่าจะไม่มีกิน หรือจำเป็นต้องทำโดยไม่มีทางเลือกอื่นเสียหน่อย?
จูอู่โมโหมาก
ด้วยเหตุนี้ พี่น้องสกุลจูจึงแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งตามจูเหล่าโถวไปช่วยทำนา อีกกลุ่มพาต้าเป่า เอ้อร์เป่า และจูชีไปจับนก
เมื่อมีฟางโต่ว การนวดข้าวก็สะดวกขึ้นมาก สตรีสกุลจูก็มีเวลาว่างมากขึ้น
เป็นต้นว่าวันนี้เจ้ารับผิดชอบเอาเมล็ดข้าวไปตาก ข้าไปเดินเล่นสักหน่อย พรุ่งนี้ข้าตากเมล็ดข้าว เจ้าก็ออกไปทอดน่อง ผลัดเวียนกันไป
เย่อวี๋หรานไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการจัดเวรของเหล่าลูกสะใภ้ นางเพียงตรวจสอบว่าเมล็ดข้าวถูกนำออกไปตากและเก็บเข้าเรือนตรงเวลาเท่านั้น
ยามว่างก็ไปเดินเล่นริมลำธารใกล้ ๆ หมู่บ้าน แวะเวียนไปตรงโน้นบ้าง ตรงนี้บ้าง
ถ้าไม่ใช่เพราะขากลับยังเก็บผลไม้ป่าหรือจับปูกลับมาด้วย พวกลูกสะใภ้ที่เรือนคงต้องคิดว่านางออกไปเตร็ดเตร่แล้วแน่นอน
เย่อวี๋หรานบอกให้ทุกคนเตรียมใจเอาไว้ รอจนสิ้นสุดฤดูกาลเก็บเกี่ยวก็จะเริ่มสอนหนังสือทันที
“ถึงตอนนั้นอย่าได้คิดแอบเกียจคร้านเชียว ไม่ว่าใครก็ไม่ปล่อยไปทั้งนั้น เรียนตัวอักษรวันละห้าคำ ถ้าเท่านี้พวกเจ้ายังทำไม่ได้ก็อย่าหวังว่าจะมีอนาคตได้เลย”
“เหมือนกับที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ ทุกหกวันจะสอบหนึ่งครั้ง ใครสอบได้ดีที่สุดก็จะได้กินไข่ไก่”
“ถ้าคะแนนเท่ากันก็จะแบ่งไข่ไก่ให้ทุกคน”
……
จะเนื้อกระต่ายหรือเนื้อปู หลี่ซื่อล้วนกินไม่ได้ นางอยากกินจนใจแทบขาดแล้ว
หลายวันมานี้เห็นคนอื่นได้กินเนื้อกันอย่างมีความสุข มีเพียงตนเองที่ได้กินน้ำแกงเคี่ยวจากกระดูกกับน้ำพริกใส่เนื้อเล็กน้อย ช่างน่าอึดอัดจริง ๆ
แต่นางก็รู้ดีว่าแม่สามีไม่ให้นางกินก็เพื่อตัวนางเอง
กระต่ายได้ชื่อว่ามีกลีบปากสามอัน[1] ถ้านางกินแล้วในอนาคตคลอดลูกออกมามีปากเหมือนกระต่ายจะทำอย่างไร?
หลี่ซื่อแอบยุเย่อวี๋หรานให้ไปหา ‘คุณชายกาน’ เพื่อทำการแลกเปลี่ยนสักครั้ง อย่างไรเสียเขาล่าสัตว์มาก็ต้องเอาไปขายในตำบลอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
ขายให้ใครก็คือขาย ขายให้พวกนางก็ไม่ต่างกันนี่นา
“ท่านแม่ ท่านว่าใช่ไหมเจ้าคะ?”
“ใช่ ทำไมจะไม่ใช่? แต่เขาอาศัยอยู่บนเขา เจ้ารู้หรือว่าเขาพักอยู่ที่ไหนบนเขาไท่ตัง?” เย่อวี๋หรานกล่าวอย่างไม่เห็นดีงาม
นางยังจะไม่เข้าใจหลักการที่ว่าไม่กลัวได้น้อยหรือมาก เพียงกลัวจะได้ไม่เท่าเทียมอีกหรือ?
หลายวันมานี้คนอื่นล้วนได้กินเนื้อกระต่าย เนื้อปู แต่หลี่ซื่อกินไม่ได้ นางยังจะไม่ร้อนใจได้หรือ?
ไม่เห็นหรือว่านางไปริมลำธาร คิดว่านางไปชมนกชมไม้หรือไร นางกำลังหาจุดที่เหมาะสำหรับลงแหจับปลาต่างหากเล่า
อยากได้วัสดุทำแหตกปลาที่แข็งแรงสักหน่อยนั้นไม่ง่าย แต่หมู่บ้านสกุลจูทุกครัวเรือนล้วนฟั่นใยป่านสำหรับใช้งานกันเอง ถึงตอนนั้นค่อยเอาเชือกป่านมาทำแหตกปลาสักอันก็ได้
แหที่นางสานเองอาจไม่ได้คุณภาพดีเท่ากับแหตกปลาที่ชาวประมงมืออาชีพเป็นคนสาน แต่ก็คงจะใช้งานได้และตกปลาได้แน่นอน
นางเพียงจับปลาเพื่อเอามากินในครอบครัวเท่านั้น ไม่ได้จะจับปลาไปขาย ผลลัพธ์ที่ได้แม้จะไม่ดีนัก แต่ก็คงดีกว่าใช้เบ็ดตกปลา
หลี่ซื่อมีสีหน้ากระอักกระอ่วน “ข้านึกว่าท่านแม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนเสียอีก”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับเขาเสียหน่อย” เย่อวี๋หรานนึกถึงความฝันของวันนั้นขึ้นมา ใบหน้าพลันร้อนผ่าว
นางกลัวว่าหลี่ซื่อจะสังเกตเห็น จึงบอกให้อีกฝ่ายไปรวบรวมเชือกป่านจากในเรือนมาทั้งหมด นางจะทำสิ่งของบางอย่าง
“ทำอะไรเจ้าคะ? พวกเราเก็บเกี่ยวกันเสร็จแล้วนี่เจ้าคะ เสื้อกระสอบไม่น่าจะต้องรีบทำถึงเพียงนั้นกระมัง?” ใยป่านชนิดหยาบนิยมนำมาฟั่นเชือกหรือทำเป็นเสื้อกระสอบ เวลาทำงานก็สวมไว้ชั้นนอก เพื่อป้องกันไม่ให้เสื้อผ้าป่านด้านในที่มีเนื้อละเอียดกว่าต้องเสียหาย
นอกจากตากใยป่านทิ้งไว้ในช่วงที่ว่าง ปกติหลังตากเสร็จแล้ว เมื่อเข้าหน้าหนาวซึ่งว่างเว้นจากภาระงานในนา ก็จะเริ่มเอาใยป่านมาฟั่นเชือกหรือทำเสื้อกระสอบ
ดังนั้นเมื่อหลี่ซื่อเห็นว่าแม่สามีให้นางไปหาเชือกป่านมาตอนนี้ จึงรู้สึกว่าแปลกอยู่บ้าง
“ข้าให้เจ้าไปเอาก็ไปเอา จะพูดมากทำไม?” เย่อวี๋หรานดุนาง
“ข้าไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” หลี่ซื่อหดคอแล้วรีบไปทันที
[1] ปากของกระต่ายจะดูคล้ายรูปสามเหลี่ยม โดยข้างบนจะแบ่งเป็นสองฝั่ง รวมกับข้างล่างอีกหนึ่ง จึงว่ากันว่ามีกลีบปากสามอัน เมื่อกล่าวถึงกลีบปากสามอันก็สื่อถึงกระต่าย
MANGA DISCUSSION