บทที่ 91 บ้านสกุลจูเลี้ยงลูกสะใภ้ไม่ไหว
“น่าอัศจรรย์ขนาดนั้นเชียวหรือขอรับ?!”
“เน่าหยางฮวา ก็คือดอกตู้เจวียนสีเหลือง พบมากบนภูเขา จะใช้ได้ผลหรือไม่ เจ้าลองดูก็รู้แล้ว หากเอาแต่ฟังคนอื่นพูด ไม่ลองทำเอง จะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่คนอื่นพูดจริงหรือเท็จ?”
ต้าเป่าพูดขึ้นทันทีว่า “ท่านย่า ท่านไม่ต้องห่วงนะขอรับ เดี๋ยวข้าจะไปเก็บดอกตู้เจวียนสีเหลืองมาลองดู”
เย่อวี๋หรานเลิกคิ้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะเด็ดขาดเช่นนี้ “เน่าหยางฮวาสองเหลี่ยง[1]ใช้น้ำเปล่าสามเหลี่ยง แช่ทิ้งไว้หนึ่งวัน จากนั้นนำเมล็ดข้าวสองเหลี่ยงลงไปแช่อีกครึ่งชั่วยาม ตากจนแห้งก็สามารถนำมาใช้ได้แล้ว”
“ขอรับ ท่านย่า ข้าจดจำไว้แล้ว”
“เรื่องนี้ข้าจะไม่ช่วย เจ้าคิดหาหนทางด้วยตัวเอง” ต้าเป่าเป็นหลานชายคนโตของสกุลจู ตามธรรมเนียมปฏิบัติของยุคนี้ ในอนาคตเขาจะต้องเป็นผู้แบกรับภาระยิ่งใหญ่ของครอบครัว
เย่อวี๋หรานไม่รู้สึกว่าการบ่มเพาะเด็กให้รู้จักพึ่งพาและจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวเองจะมีปัญหาอะไร
ต้าเป่าตาเป็นประกาย ดีใจยิ่งนัก ยืดอกรับคำกับนางเป็นมั่นเหมาะว่าเขาจะทำให้ดีที่สุด
ไม่รู้ว่าเขาเจรจากับจูชีและเอ้อร์เป่าอย่างไร เห็นเพียงเขาวิ่งเข้าไปกระซิบกระซาบสักพัก สองคนนั้นก็พยักหน้า ต้าเป่าคว้ากระเป๋าผ้ามาสะพายแล้ววิ่งออกไป
“นี่ ใส่หมวกออกไปด้วย แดดจ้าขนาดนี้ถ้าไม่ใส่หมวกก็ไม่ต้องไป” เย่อวี๋หรานรีบเรียกเขาไว้
ล้อเล่นกันหรือไร แดดจัดเพียงนี้ แม้แต่ผู้ใหญ่ออกไปตากแดดยังจับลมร้อนได้ นับประสาอะไรกับเด็ก ๆ
แม้ว่าในเรือนจะต้มชาสมุนไพรเอาไว้ แต่นั่นไม่ใช่ยารักษาสารพัดโรคเสียหน่อย คิดว่าดื่มแล้วก็ปลอดภัยไร้อันตรายจริงหรือ?
“ข้าทราบแล้วขอรับ ท่านย่า” ต้าเป่ายิ้มแหย วิ่งกลับเข้าไปหยิบหมวกจากในเรือน แล้วค่อยกล่าวลากับนาง
ระหว่างทาง เขายังพบจูซานกับจูซื่อที่กำลังหาบมัดข้าวกลับมา
“ต้าเป่า เจ้าไม่เฝ้าเมล็ดข้าวในเรือน นี่จะไปไหนกัน?” จูซานเรียกเขาเอาไว้
“ไปเก็บดอกตู้เจวียนสีเหลืองขอรับ”
“เก็บมาทำไม?”
“ท่านย่าบอกว่า เมล็ดข้าวที่แช่ในน้ำดอกตู้เจวียนสีเหลืองสามารถทำให้นกกระจอกกินแล้วสลบได้”
จูซานทึ่ง “จริงรึ?”
“ท่านย่าบอกมาเช่นนั้นขอรับ”
จูซานนึกอิจฉา ตอนเขายังเด็ก เหตุใดมารดาจึงไม่บอกเรื่องนี้กับเขาบ้าง?
เขากลับไปถึงเรือนก็บ่นเรื่องนี้ให้เย่อวี๋หรานฟัง
ถึงจะพูดอย่างอ้อม ๆ แต่เย่อวี๋หรานก็ยังพอเดาความรู้สึกของเขาออก มุมปากจึงกระตุกเล็กน้อย “เจ้าโตขนาดนี้แล้วยังจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับเด็ก ๆ อีกหรือ?”
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเด็ก ๆ นะขอรับ ตอนที่ข้ากับเจ้าสี่ยังเล็ก ท่านไม่อนุญาตให้พวกข้าใช้เมล็ดข้าวไปล่อนกกระจอกด้วยซ้ำ ทั้งยังไม่เคยบอกพวกข้ามาก่อนว่าดอกตู้เจวียนสีเหลืองใช้วางยาสลบนกกระจอกได้”
“ตอนนั้นแต่ละวันข้ายุ่งจะตาย จะเอาเวลาที่ไหนมาคิดถึงเรื่องพวกนี้?” เย่อวี๋หรานจะบอกความจริงได้หรือ? นางได้แต่ต้องแบกรับความผิดแทนเจ้าของร่างเดิมเสียแล้ว
“…” จูซานได้แต่ครุ่นคิดว่า เอาเถอะ ท่านแม่ก็พูดถูก
ส่วนจูซื่อก็ถามขึ้นจากข้าง ๆ ว่า “ท่านแม่ ดอกตู้เจวียนสีเหลืองใช้วางยาสลบนกกระจอกได้จริงหรือขอรับ? ถ้าวิธีนี้ใช้งานได้จริง พวกเราก็เอามาใช้สักหน่อย แบบนี้ที่เรือนก็จะมีเนื้อกินแล้ว”
แค่นึกถึงรสชาติอันโอชะของอาหารจานเนื้อที่มารดาของเขาเป็นคนทำ จูซื่อก็น้ำลายไหลแล้ว
“พวกเจ้าจะเอาวิธีนี้ไปใช้ก็ได้ นอกจากดอกตู้เจวียนสีเหลืองแล้ว ที่จริงยังมีอีกสูตรซึ่งอาจได้ผลดีกว่า นั่นคือการใช้หม่าเฉียนจื่อ[2] แต่หม่าเฉียนจื่อมีพิษ ข้ากลัวว่าต้าเป่าจะใส่ลงไปเยอะเกิน นกกระจอกถูกวางยาสลบแล้ว แต่ก็อาจเอามากินไม่ได้ อย่างนั้นก็เป็นปัญหาแล้ว” เย่อวี๋หรานบอกอีกสูตร
เน่าหยางฮวากับหม่าเฉียนจื่อบดเป็นผง แล้วนำไปผสมกับสุรา แช่ทิ้งไว้หนึ่งคืน ตากให้แห้งก็สามารถนำมาใช้ได้แล้ว
จูซานลูบคาง “ยังมีวิธีนี้ด้วยหรือเนี่ย”
เย่อวี๋หรานมองเขาแล้วพูดว่า “ที่จริงเอาเมล็ดข้าวไปแช่เหล้าก็ได้ผลดีมาก แต่ต้องใช้เหล้าเกาเหลียง ทั้งยังต้องแช่สลับกับตากแห้งอย่างละสามรอบถึงจะใช้วางยานกกระจอกได้ นอกจากนี้ เอาเฉ่าอูหนึ่งตำลึงกับเมล็ดงาสองตำลึงไปผัดให้หอมแล้วโปรยทิ้งไว้บนพื้น ก็สามารถทำให้นกเขาลายที่มาจิกกินสลบได้เช่นกัน…”
“อะไรนะ?! นกเขาลายกินเฉ่าอูกับเมล็ดงาก็สลบแล้ว?!” จูซื่อตะลึง
“ถ้าพวกเจ้าหากากเหล้ามาได้ก็สามารถใช้ได้เหมือนกัน”
“อันนี้ค่อยหาง่ายหน่อย” จูซื่อโพล่งขึ้น “ญาติบ้านมารดาของพี่สะใภ้สามมีคนที่บ่มสุราด้วย พอพี่สามไปรับพี่สะใภ้สาม ค่อยวานให้นางไปขอมาก็ได้ พวกเรารอจับกันตอนหน้าหนาว ตอนนี้อยู่ในช่วงเก็บเกี่ยว มีนกกระจอกบินว่อนเต็มไปหมด ของกินมีอยู่เยอะแยะ ไม่แน่ว่ามันจะยอมกิน แต่ว่าหน้าหนาวนกกระจอกหาของกินไม่ค่อยได้ ถ้าเห็นว่าบนพื้นมีของกิน มันจะต้องลงมากินแน่นอน ถึงตอนนั้นก็จับง่ายแล้ว…”
เมื่อได้ยินจูซื่อเอ่ยถึงลูกสะใภ้คนที่สาม เย่อวี๋หรานก็นึกขึ้นมาได้ว่าคราวที่แล้วมีคนบอกว่าไปเห็นจางเยียนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
หลี่ซื่อเคยพูดไว้ว่าหมู่บ้านแห่งนั้นมีการเช่าภรรยา[3] หัวใจของนางราวกับมีแมวข่วนอย่างไรอย่างนั้น รู้สึกว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลัง
นางหวังว่านี่คงไม่ใช่นิ้วทองคำกำลังชี้ทางให้อยู่หรอกนะ นางไม่กลัวหนึ่งหมื่น เพียงกลัวหนึ่งในหมื่น[4]
เย่อวี๋หรานบอกให้จูซื่อออกไปก่อน แล้วซักถามจูซานอย่างคลุมเครือว่ามีความเห็นอย่างไรต่อเรื่องที่จางเยียนมักจะกลับไปบ้านมารดาแต่ไม่ยอมกลับมา
“อยากกลับก็กลับ ไม่อยากกลับก็ไม่ต้องมา” จูซานพูด “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องสนใจนาง ปล่อยนางไป คิดว่าครอบครัวสกุลจูเราขาดแคลนลูกสะใภ้หรือไร ถ้านางอยากกลับก็ให้กลับมาเอง ถ้าไม่อยากกลับก็ไม่ต้องกลับมาอีกเลย”
ที่จริงจูซานก็คิดไม่ถึงว่าคราวนี้จางเยียนจะทำเกินไปเช่นนี้ ก่อนไปบอกเสียดิบดีว่าแค่จะแวะกลับไปสักรอบเท่านั้นและจะกลับมาก่อนช่วงเก็บเกี่ยวเพื่อช่วยงานในเรือนแน่นอน แต่สุดท้ายเล่า?
เฮอะ เฮอะ!
เข้าช่วงเก็บเกี่ยวมาได้ครึ่งฤดูกาลแล้ว สตรีผู้นั้นก็ยังไม่กลับมา นี่หมายความว่าอย่างไร?
หมายความว่าสกุลจูของพวกเขาเลี้ยงดูลูกสะใภ้ไม่ไหวใช่หรือไม่?
เย่อวี๋หรานคิดไม่ถึงว่าจูซานจะโกรธมากขนาดนี้ ปกติเห็นเขายิ้มแย้มทั้งวัน ท่าทางไม่นำพาอย่างนั้น นางยังนึกว่าเขาไม่สนใจเสียอีก
“เจ้าคงไม่ได้ทะเลาะกับนางใช่ไหม?” เย่อวี๋หรานนึกถึงเรื่องที่ไปเห็นฉากจูอู่สั่งสอนหลินซื่อโดยบังเอิญก็เริ่มไม่แน่ใจขึ้นมา
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม นางไม่สนใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุตรชายกับลูกสะใภ้เลยสักนิด ไม่มีเรื่องอะไรที่คู่ควรให้สนใจเป็นพิเศษ แต่หลังจากเหตุการณ์ของจูอู่คราวนั้น นางก็รู้ว่าความทรงจำเจ้าของร่างเดิมเชื่อถือไม่ได้สักกระผีก
เรื่องที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ก็ยังตาบอดมองไม่เห็นขนาดนี้?
เย่อวี๋หรานจึงเริ่มสงสัยว่า ตอนที่นางย้อนยุคมา จางเยียนได้กลับบ้านมารดาไปแล้ว คงไม่ได้เป็นเพราะเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างจูซานกับจางเยียนกระมัง?
“ท่านแม่ ท่านคิดมากไปแล้ว” จูซานกล่าว “ล้วนเป็นเพราะเยียนเอ๋อร์รังเกียจที่เรือนเรากินแต่โจ๊กกันอยู่ทุกวัน เมื่อกินไม่อิ่มจึงกลับบ้านเดิมไปกินให้อิ่ม ท่านแม่ ท่านก็ทราบดีว่าฐานะครอบครัวของเยียนเอ๋อร์ดีกว่าพวกเรา พี่ชายคนรองของนางยังเป็นพ่อค้าหาบเร่ ครอบครัวมีรายได้ แต่มาอยู่กับพวกเราได้กินแต่โจ๊ก อยู่บ้านนางไม่แน่ว่าอาจได้กินเนื้อ หากจะรังเกียจพวกเราก็เป็นเรื่องธรรมดา”
เย่อวี๋หราน “…”
แล้วตอนนั้นเจ้าอาศัยความสามารถอะไรไป ‘กล่อม’ ลูกสะใภ้อย่างจางเยียนให้ยอมแต่งเข้ามาได้กันล่ะ?
“ท่านแม่ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้ากลับไปทำงานต่อก่อนนะขอรับ” เห็นได้ชัดว่าจูซานไม่ต้องการคุยเรื่องนี้กับมารดา จึงรีบตัดจบบทสนทนาแล้วปลีกตัวจากไป
เย่อวี๋หรานลอบทอดถอนใจ แต่เจ้าของเรื่องยังไม่อนาทรร้อนใจ นางยังจะทำอะไรได้?
นอกจากจะต้องให้หลี่ซื่อหาข่าวคราวกลับมาให้มากหน่อยกระมัง
[1] เหลี่ยง หน่วยที่เล็กถัดลงมาจาก ‘จิน’ มีน้ำหนักเท่ากับ 50 กรัม
[2] หม่าเฉียนจื่อ มีชื่อไทยว่า แสลงใจ (โกฏกะกลิ้ง) ชื่อวิทยาศาสตร์ Strychnos nuxvomica เมล็ดแก่แห้งสามารถนำมาดองกับเหล้ากินเป็นสมุนไพรช่วยให้เจริญอาหาร แต่หากใช้มากจะเป็นพิษ ทำให้เบื่อเมา และถึงแก่ชีวิตได้
[3] การเช่าภรรยา(典妻)พบมากทางตอนใต้ของจีน โดยเฉพาะมณฑลเจ้อเจียง มีการกำหนดเวลาไว้แน่นอน (มักเป็น 3 – 5 ปี) ระหว่างนั้นห้ามสตรีผู้นั้นอาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับสามี และไม่อาจดูแลบุตรของตนเองได้ ผู้เช่ามักมีข้อเรียกร้องให้ภรรยาเช่าคลอดบุตรให้ ครบกำหนดเวลาตามสัญญาจึงจะสามารถกลับไปบ้านสามีได้
[4] ไม่กลัวหนึ่งหมื่น เพียงกลัวหนึ่งในหมื่น หมายถึง ไม่กลัวเรื่องที่กำหนดไว้แน่นอนแล้ว แต่กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน
MANGA DISCUSSION