บทที่ 9 มีคนขโมยกิน
สามีภรรยาทะเลาะกันหนักขนาดนี้ ทว่าในเรือนกลับเงียบสงบยิ่ง ไม่มีลูกชายลูกสะใภ้คนไหนออกมาไกล่เกลี่ยสักคน ทุกคนล้วนหลบอยู่ในห้องของตัวเอง
ทำอย่างไรได้ ใครให้ท่านแม่เป็น ‘ลูกพี่’ ของคนทั้งครอบครัว หากนางไม่เอ่ยปากเรียกลูกชายลูกสะใภ้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าออกมา
“นี่ เจ้าว่าท่านพ่อท่านแม่ทะเลาะกันเรื่องอะไร?” หลี่ซื่อนอนหลับยากเพราะตั้งครรภ์ จึงผลักจูซื่อเบา ๆ เพื่อเอ่ยถาม
จูซื่อนอนกลางวันไปมาก ตอนนี้จึงนอนไม่หลับ เขาตอบว่า “ใครจะไปรู้ แต่มีใครเถียงชนะท่านแม่ของข้าบ้าง? เจ้าฟังต่อไปเถอะ เดี๋ยวท่านพ่อก็ยอมแพ้ไปเอง”
ครั้นฟังอีกสักครู่ ก็ไม่มีเสียงใดแล้ว
“ทำไมไม่มีเสียงแล้วล่ะ?” หลินซื่อเพิ่งแต่งเข้าบ้านมาได้ไม่ถึงสองเดือน นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินพ่อแม่สามีทะเลาะกันก็พลันสะดุ้งตกใจไปหนึ่งตลบ
นางรีบปลุกจูอู่เพื่อถามว่าเรื่องนี้ควรทำอย่างไรดี
จูอู่พลิกตัว ไม่สนใจแม้แต่น้อย “ไม่เป็นไร ท่านพ่อเถียงไม่ชนะท่านแม่หรอก”
“…”
นางได้ถามเรื่องนี้ไหม?
ลูกชายผู้อื่นยังไม่กังวล นางที่เป็นลูกสะใภ้จะกังวลไปทำไม?
นอนบนเตียงฟังต่อไปด้วยใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ
รอจนเสียงเงียบลง ก็รีบผลักปลุกจูอู่ให้ตื่นขึ้น
จูอู่ที่ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งแทบจะไร้คำพูด “…เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่?”
“เมื่อครู่ท่านพ่อท่านแม่ทะเลาะกัน แต่ตอนนี้เงียบไปแล้ว”
“หมายความว่าท่านแม่ชนะแล้ว จบแล้ว รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีก”
อันที่จริง เมื่อจูเหล่าโถวออกมาจากห้องก็นึกเสียใจทีหลัง เพราะออกมาแล้วเขาจึงนึกขึ้นได้ว่า หากภรรยาของเขาไม่ร้องเรียก ก็คงไม่มีลูกชายลูกสะใภ้คนไหนกล้าออกมาไกล่เกลี่ย
นี่ก็ดึกมากแล้ว ท้องฟ้ามืดสนิท เขาออกมาแล้วจะยังไปที่ไหนได้อีก?
แต่เมื่อไม่มีผู้ใดมาไกล่เกลี่ย จูเหล่าโถวก็หาทางลงไม่ได้ ได้แต่ทำหัวแข็งเดินวนรอบเรือนไปรอบหนึ่ง ครั้นถือว่าได้ ‘คลายโทสะ’ แล้วก็กะเวลากลับเข้าไปในเรือน
แต่เมื่อเขากลับไปก็พบว่าประตูห้องถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา ต่อให้เขาผลักอย่างไรก็เปิดไม่ได้
“หรานเหนียง?”
“หรานเหนียง?”
เขาร้องเรียกเสียงเบาสองที
ภายในห้อง เย่อวี๋หรานนอนหลับไปนานแล้ว
นางไม่ได้ยินเสียงร้องเรียก แต่จูปาเม่ยที่นอนอยู่ในห้องมาตลอดยังไม่หลับ นางได้ยินเสียงอย่างชัดเจนแต่ว่าท่านแม่ไม่ขานรับ นางจึงไม่กล้าไปเปิดประตูให้ท่านพ่อ
“ท่านพ่อ ท่านไปนอนกับพี่เจ็ดเถอะ”
“แม่เจ้าหลับแล้ว?”
“หลับแล้ว”
จูเหล่าโถวหดหู่ใจ หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นแบบนี้ เขาคงไม่ไปเดินวนอยู่แบบนั้นหรอก น่าจะกลับมานานแล้ว
กลางดึก จูปาเม่ยหิวจนตื่นขึ้นมา
นางปีนขึ้นมาจากเตียง ดื่มน้ำในกาที่อยู่บนโต๊ะ หากแต่ก็ยังไม่หายหิว ดื่มน้ำมากก็อยากเข้าห้องน้ำ แต่ท้องกลับยังหิวโครกครากอยู่เหมือนเดิม
ครั้นคลำทางออกมาจากห้องน้ำได้ จูปาเม่ยก็ตรงไปห้องครัวเพื่อหาอะไรกิน หาดูว่ายังมีอะไรเหลืออยู่หรือไม่
ที่น่าเสียดายก็คือ ท่านแม่กับพวกพี่สะใภ้เก็บกวาดห้องครัวจนสะอาดสะอ้าน ต่อให้มีหนูเข้ามาก็หาของกินไม่เจอ
เมื่อนางกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งก็จับจ้องตะกร้าบนคานจนตาเป็นมัน กลิ่นหอมขนาดนี้ ข้างในต้องเป็นของกินแน่ ๆ
วันถัดมา เย่อวี๋หรานตื่นขึ้นมาตอนฟ้าสาง
นางไม่มีทางตื่นเช้าขนาดนี้ได้แน่ คงเป็นความเคยชินของเจ้าของร่างเดิมเสียมากกว่า
นอนสักพักก็ได้ยินเสียงดังมาจากในเรือนจึงรีบลุกขึ้นมาจากเตียง
“เมียเจ้าใหญ่ เจ้าตื่นเช้าขนาดนี้เชียว?”
ที่แท้ก็เป็นหลิ่วซื่อ นางถือตะกร้าแบกหลังกับมีดพร้า ท่าทางเหมือนจะออกไปข้างนอก
“ท่านแม่ ท่านตื่นแล้วหรือ”
“เก็บหญ้าเลี้ยงหมู?” เย่อวี๋หรานนึกขึ้นมาได้ แม้ว่างานหลายอย่างในบ้านล้วนผลัดเวรกันทำ แต่งานตัดหญ้าเลี้ยงหมูกลับเป็นหน้าที่ของหลิ่วซื่อตลอดมา
เหตุผลนั้นเรียบง่าย นั่นเพราะว่านางคลอดลูกชายสองคนมาแล้ว ในฐานะแม่คน ก็ต้องลงแรงมากขึ้นอีกหน่อยเพื่อเลี้ยงลูกชาย
“อื้ม ท่านแม่ ข้าไปแล้วนะเจ้าคะ”
เย่อวี๋หรานค้นหาคนคนนี้ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม สะใภ้ใหญ่ที่เชื่อฟังขยันขันแข็ง หากแต่มักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไป
เชื่อฟังก็เชื่อฟังอยู่หรอก แต่จะเชื่อฟังเกินไปไหม?
เหมือนท่อนไม้ที่ไม่มีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น ให้ทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น นางยังใช่คนอยู่หรือ?
“ท่านแม่”
เมื่อหันกลับไปก็พบว่าหลิวซื่อยืนอยู่ด้านหลัง
ดูเอาเถอะ เจ้าคนที่ชอบพูดอู้อี้ไปมาเงียบกริบผู้นี้ บางทีก็ทำให้คนตกใจได้เหมือนกัน
“เป็นเจ้านี่เอง วันนี้เจ้าไม่ได้ทำอาหารนี่นา ทำไมตื่นแล้วล่ะ?”
หลิวซื่อตอบว่า “เมื่อวานนี้ท่านแม่ช่วยทำ นอกจากนี้น้องสะใภ้สามก็ไม่อยู่”
“เมียเจ้าสามไม่อยู่ ก็ไปเรียกเมียเจ้าสี่มา คนท้องบ้านไหนสูงส่งปานนี้ แม้แต่อุ่นกับข้าวก็ทำไม่ได้? นางไม่ได้แขนขาดขาขาดขยับตัวไม่ไหวเสียหน่อย”
เย่อวี๋หรานมองแวบเดียวก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น คงเป็นหลี่ซื่อที่อ้างว่าตนเองตั้งท้องและเรียกให้หลิวซื่อมาช่วยทำแทนตนเองเป็นแน่
ก่อนหน้านี้เจ้าของร่างเดิมมักคิดว่าขอแค่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง นางก็คร้านจะไปสนใจเรื่องระหว่างภรรยาของลูกชาย
เจ้ารองถูกเจ้าสี่เรียกใช้งานก็เป็นเพราะตัวเจ้ารองโง่เอง ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง
แต่พอมาเป็นเย่อวี๋หรานในตอนนี้ นางกลับรู้สึกว่าสาเหตุที่บรรยากาศในครอบครัวย่ำแย่ขนาดนี้ เกรงว่าคงเป็นเพราะเรื่องพวกนี้กระมัง ไม่กังวลว่าจะได้รับส่วนแบ่งมากหรือน้อย กังวลแต่ว่าจะได้ไม่เท่ากัน ถ้าจะทำก็ทำทุกคน ถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องทำกันทั้งหมด คนหนึ่งทำ อีกคนไม่ทำ นี่หมายความว่าอย่างไร?
หากไม่นานก็คงไม่เป็นไร แต่เป็นแบบนี้นานเข้าจะต้องเกิดปัญหาตามมาแน่นอน
นางไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่กลับเคาะประตูห้องของลูกชายคนที่สี่ ร้องเรียกคนที่อยู่ในห้อง “เมียเจ้าสี่ เจ้าลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ วันนี้เป็นเวรเจ้าทำกับข้าว ถ้าเจ้ากล้าแอบอู้งาน ข้าวเย็นวันนี้เจ้าก็ไม่ต้องกินแล้ว”
หลี่ซื่อถูกจูซื่อปลุกขึ้นมา “รีบลุกเร็ว วันนี้เจ้าต้องทำกับข้าว ท่านแม่มาเรียกเจ้าแล้ว”
“อะไร? จะเป็นเวรข้าได้อย่างไร? ข้าท้องอยู่นะ?”
“ท่านแม่เรียกเจ้าแน่ะ” จูซื่อหาได้สนใจมากขนาดนั้น เมื่อวานเขานอนดึกมาก ตอนนี้กำลังง่วงอย่างหนัก เมื่อปลุกคนตื่นแล้วก็ไม่สนใจอะไรอีก
หลี่ซื่อหาววอด ถลึงตาใส่จูซื่ออย่างไม่พอใจ
“เมียเจ้าสี่ ได้ยินหรือไม่?”
“มาแล้ว ๆ” หลี่ซือสวมเสื้อผ้าอีกชั้น ก่อนกุลีกุจอไปเปิดประตู “ท่านแม่ เมื่อวานหลานสาวสุดที่รักของท่านดิ้นไม่หยุด ข้าไม่ได้นอนทั้งคืน ข้าขอนอนก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ? พี่สะใภ้รองก็ว่างอยู่ไม่ใช่หรือ? ให้พี่สะใภ้รองมาทำแทนข้าก็ได้นี่”
“พี่สะใภ้รองของเจ้าอีกหน่อยต้องไปกวาดคอกหมู เจ้าจะไปกวาดแทนรึ?”
หลี่ซื่อสำลัก “อย่างนั้นข้าทำอาหารดีกว่า”
เทียบกับคอกหมูเหม็น ๆ แล้ว ทำอาหารสบายกว่าเยอะ
“เมื่อวานพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าเก็บผักป่ากลับมาเยอะมาก เจ้าไปดึงหัวไชเท้าจากในสวนมาหลาย ๆ หัว เอามาต้มน้ำแกง อุ่นแป้งกรอบที่เหลือจากเมื่อวานสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว”
เพียงได้ยินคำว่าแป้งกรอบ แววตาหลี่ซื่อก็วาววับ “ท่านแม่ จริงหรือเจ้าคะ เช้านี้พวกเรากินแป้งกรอบกันอีกหรือ?”
“ต้มน้ำแกงเยอะหน่อย แป้งกรอบไม่ได้มีเยอะเท่าตอนเย็นของเมื่อวานนี้”
“ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ ถึงน้ำแกงที่ข้าทำจะอร่อยสู้ของท่านไม่ได้ แต่ก็ยังอร่อยอยู่ดีนั่นแหละ”
ไม่แปลกเลยที่เจ้าของร่างเดิมชมชอบหลี่ซื่อ เพราะแม้แต่เวลาที่นางชมตัวเอง ก็ยังไม่ลืมที่จะชมแม่สามีสักรอบ
หลังจากที่สัมผัสมาหลายครั้ง เย่อวี๋หรานก็ค้นพบว่า หากจะให้เด็กคนนี้ทำอะไรนั้นง่ายมาก แค่ให้ ‘ของกิน’ กับนางก็พอแล้ว
“ท่านแม่ ข้าไปคอกหมูแล้วนะเจ้าคะ” หลิวซื่อก้มศีรษะพูด
“อื้ม ถ้าเจ้าหามน้ำไม่ไหวก็ให้เจ้ารองมาช่วย” แต่กับซาลาเปานิ่มแบบนี้[1] เย่อวี๋หรานออกจะปวดศีรษะอยู่บ้าง ทว่าก็ยังกำชับไปอีกประโยค
อย่างไรก็เป็นลูกสะใภ้ของตนเอง คงไม่อาจปล่อยไว้ไม่สนใจได้หรอกกระมัง
หลิวซื่อรับคำอย่างว่าง่าย แต่พอจะตักน้ำจริง ๆ กลับไม่ได้เรียกจูเอ้อร์มาช่วยแต่อย่างใด
ยกน้ำเต็มถังไม่ไหว นางก็ยกทีละครึ่งถัง ทำความสะอาดไปอย่างช้า ๆ
เย่อวี๋หรานกลับมาที่ห้อง เอาตะกร้าที่แขวนไว้บนคานลงมา เพียงแต่ตอนที่เห็นแป้งกรอบในตะกร้าก็พลันหรี่ตาลงเพราะจำนวนของมันไม่ถูกต้อง
แม้ว่าคนที่ขโมยแป้งกรอบไปจะเจตนากระจายแป้งกรอบให้เสมอกันทั่วตะกร้า แต่ว่านางเป็นคนเก็บแป้งกรอบเองกับมือ มีจำนวนเท่าไหร่ จัดวางไว้แบบไหน นางย่อมรู้ดีกว่าใคร
นางกวาดสายตามองไปทั่วห้องที่เงียบสงบดังเดิม ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร แล้วยกตะกร้าขึ้นเดินออกไปจากห้อง
ภายในห้อง จูปาเม่ยที่อาลัยอาวรณ์แป้งกรอบในตะกร้านั้นตื่นเช้าอย่างยิ่ง เพียงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวของมารดา นางก็ได้แต่ภาวนาว่า อย่าดูออกนะ! อย่าดูออกเลย!
นางแอบมองผ่านร่องประตูออกไป เห็นว่ามารดาเหมือนจะมองไม่ออก และหยิบตะกร้าขึ้นเดินจากไป นางก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ
ดียิ่งนัก ท่านแม่ดูไม่ออก!
[1] ซาลาเปา(包子)ในที่นี้เป็นคำสแลง หมายถึง คนที่เก็บงำความไม่พอใจเอาไว้ข้างในโดยไม่แสดงออกมา (เหมือนซาลาเปาที่ห่อไส้เอาไว้) ถึงจะถูกรังแกก็ไม่โต้ตอบ
MANGA DISCUSSION