บทที่ 88 เย็นนี้มีเนื้อกิน
หากเย่อวี๋หรานอยู่ที่นี่ จะต้องพบความจริงที่ว่าพี่ชายน้องชายจำนวนมากของสกุลจูถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มเช่นนี้
จูต้าและจูเอ้อร์เป็นประเภททำงานอย่างซื่อสัตย์ ดังนั้นพวกเขาจึงแบ่งเป็นฝ่ายหนึ่ง พี่ชายน้องชายคนอื่น ๆ คิดว่าพวกเขาซื่อสัตย์เกินไป ปกติเวลามีเรื่องอะไรก็จะไม่ค่อยชวนพวกเขาไปด้วย
จูซาน จูซื่อ และจูอู่เป็นประเภทที่ยืดหยุ่นกว่า โดยเฉพาะจูซาน อย่ามองว่าสองคนหลังขี้เกียจทำงาน แต่ตราบใดที่จูซานเปิดปาก สองคนนั้นก็ต้อง ‘ฟัง’ อย่างไม่ต้องสงสัย
แน่นอนว่าเพื่อให้น้องชายทั้งสองคนเชื่อฟัง จูซานไม่ใช่ว่าจะไม่มีข้อแลกเปลี่ยน ในยามปกติก็ช่วย ‘ปิดบัง’ เปิดทางให้พวกเขาได้แอบอู้ ยามที่มีเรื่องใดก็เรียกพวกเขา ยามที่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นก็แบกรับร่วมกัน
มาถึงจูชีซึ่งเป็น ‘เจ้าทึ่ม’ ที่ไม่มีใครแยแส มีเพียงต้าเป่าและเอ้อร์เป่าที่ดูแลเขาได้
เมื่อมาถึงประตูบ้าน แน่นอนว่าจูเหล่าโถวได้กลิ่นที่หอมเป็นพิเศษมาตามทางเดิน
“มีเนื้อหรือ!” พี่น้องสกุลจูไม่คุ้นเคยต่อกลิ่นนี้ ทำได้เพียงไม่อยากจะเชื่อ คงไม่ใช่น้ำพริกเนื้ออีกแล้วใช่หรือไม่?
แม้ว่าน้ำพริกเนื้อจะรสชาติอร่อย แต่กินทุกวันย่อมอยากเปลี่ยนรสชาติบ้าง
“ไม่ใช่น้ำพริกเนื้อแน่นอน” จูอู่พูดอย่างมั่นใจ “น้ำพริกเนื้อไม่กลิ่นแรงเช่นนี้”
จูซื่อสูดหายใจเข้าลึก “ข้าคิดว่าอาหารน่าจะเยอะ กินกันอิ่มหมีพีมันแน่นอน”
เมื่อพวกเขาเข้าไปในลานบ้านก็เห็นต้าเป่าและเอ้อร์เป่าพาจูชีมาด้วยความดีใจ ยิ้มแป้นพลางตะโกนว่า “มีเนื้อกิน เย็นนี้มีเนื้อกิน!”
“ท่านพ่อเย็นนี้มีเนื้อกินขอรับ!”
“ท่านปู่เย็นนี้มีเนื้อกินขอรับ!”
…..
แม้ต้าเป่าและเอ้อร์เป่าจะยังพูดไม่ชัดนัก แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อจูซาน จูซื่อ และจูอู่ ในการได้ยินประเด็นสำคัญว่าเย็นนี้มีเนื้อไก่ให้กินทั้งตัว
“หา?! ไม่อยากจะเชื่อว่าท่านแม่จะฆ่าไก่ นี่ไม่เสียดายแล้วงั้นรึ” จูซื่อรู้สึกประหลาดใจ
ในยามปกติท่านแม่เห็นว่าไก่พวกนั้นมีค่ามาก พวกมันทั้งหมดถูกเลี้ยงไว้เพื่อออกไข่ แตะต้องไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว และตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าไก่ของบ้านพวกเขาออกไข่จำนวนมากกว่าของบ้านอื่น
“มีกินก็ดีแล้ว อย่าให้ท่านแม่ได้ยินเชียว ไม่อย่างนั้นเจ้าจะไม่ได้กินอะไรเลย” จูอู่หันหลังให้เขาทันที
จูซื่อรีบหุบปากฉับ
จูซานรับผิดชอบในการพูดคุยกับต้าเป่าและเอ้อร์เป่า
หลี่ซื่อออกมาจากครัวก็พบว่าทุกคนกลับมาแล้วจึงรีบเรียก ‘ท่านแม่’ หนึ่งคำ พลางเอ่ยถามว่ากินข้าวเลยหรือไม่
ผู้ชายสกุลจูรู้ในทันใด ดูเหมือนวันนี้พวกผู้หญิงสกุลจูล้วนรอคอยมื้ออาหารเป็นพิเศษ เพียงแค่นึกถึงคำว่า ‘เนื้อ’ ที่ต้าเป่าและเอ้อร์เป่าพูดออกมาก่อนหน้านี้ พวกเขาก็เข้าใจ
แน่นอนว่าความเข้าใจทั้งหมดนี้คงไม่มากเท่าความรู้สึกของเหล่าสะใภ้ที่นำมื้อเย็นออกมาจัดเตรียมไว้เบื้องหลังโต๊ะ
“อาหารมันไม่อู้ฟู่เกินไปหน่อยรึ?!” จูซื่ออดไม่ได้ที่จะอุทาน
เนื้อหม้อเล็กหนึ่งหม้อ น้ำแกงเนื้อชามหนึ่ง พร้อมน้ำแกงหม้อหนึ่ง ขนมไคว่ปิ่งหนึ่งตะกร้า เขากล้ารับรองเลยว่าช่วงปีใหม่ยังไม่เคยมีอาหารหรูหรามากมายขนาดนี้
เขากลืนน้ำลายหนึ่งอึก นิ่งคิดว่าตัวเองจะได้ส่วนแบ่งกี่ชิ้น
หลี่ซื่อกล่าวออกมาพร้อมยิ้มตาหยี “ต้องอิ่มแน่นอน ท่านแม่ทำอาหารจากไก่ทั้งตัวเลย”
นางชี้แนะนำสิ่งที่อยู่ในหม้อและถ้วยน้ำแกง ทั้งยังไม่ลืมบอกพวกเขาว่าในหม้อนั้นมีไก่อยู่ก้นหม้อ วันนี้รับรองว่าเพียงพอที่ทุกคนจะกินอิ่มหน่ำสำราญ
“อึก~” ต้าเป่าและเอ้อร์เป่าน้ำลายไหลย้อยลงจากมุมปาก
ผู้ชายสกุลจูมองไปทาง ‘เนื้อ’ บนโต๊ะอาหารด้วยสายตากระตือรือต้น
แต่ต่อให้กระตือรือร้นเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์ เพราะก่อนกินข้าวเย่อวี๋หรานจะให้ต้าเป่าและเอ้อร์เป่าท่องหนังสือก่อน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกำลังใจจากอาหารหรือไม่ เด็กทั้งสองคนท่องจำอย่างชำนิชำนาญ จูชีไม่ต้องพูดก็ไม่มีปัญหา แต่จูปาเม่ยนั้นฮึกเหิมผิดปกติ
เย่อวี๋หรานเหลือบมองจูปาเม่ยที่มีความกระตือรือร้น “ถ้าหลังจากนี้ตั้งใจท่องหนังสือ เจ้าก็จะพัฒนาได้มากขึ้น”
จูปาเม่ยหดคอ “ท่านแม่ ปกติ…ที่จริงข้าก็ตั้งใจมากแล้วนะเจ้าคะ”
หลินซานยาและหลินซื่อยากำลังทุกข์ระทม พวกนางไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ชัดเจนว่าไม่ได้รับสืบทอดความสามารถในการท่องจำมาจากคนสกุลจู
‘เจออุปสรรคเข้าให้แล้ว’
จูปาเม่ยมองไปทางพวกนางสองคน สองพี่น้องกำลังกลัวจนหัวใจเต้นรัว เจ้าต้องพยายามหน่อย วันนี้มื้ออาหารของข้าต้องพึ่งพวกเจ้าแล้ว!
หลินซานยาและหลินซื่อยาถูกนางจ้องเขม็งขนาดนี้ก็กดดันมากขึ้นไปอีก ฮือ ๆๆ…
หลินซานยาในเวลานั้นไม่อาจพึ่งพาได้ ดวงตาของจูปาเม่ยเบิกกว้างเกือบจะร้องไห้ออกมา แล้วเนื้อไก่ของข้าล่ะ!
เย่อวี๋หรานแต่เดิมก็ไม่ได้เป็นคนแล้งน้ำใจขนาดนั้น จึงกล่าวเตือนความจำหนึ่งประโยค “วสันต์ คิมหันต์”
หลินซานยารีบท่องต่อ “วสันต์ คิมหันต์ สารท เหมันต์ สี่ฤดูหมุนเวียนไร้สิ้นสุด…”
จูปาเม่ยเอามือทาบอกทำข้าตกใจแทบตาย อดทนอีกหน่อยเถอะ
เมื่อถึงคราวของหลินซื่อยาก็ยิ่งกดดันมากขึ้น แต่นางก็ยังดีกว่าหลินซานยาอยู่บ้าง แม้ว่านางจะ ‘ตะกุกตะกัก’ อยู่มาก แต่อย่างน้อยก็ท่องจนจบ
จูปาเม่ยเกือบร่ำไห้ด้วยความยินดี เป็นครั้งแรกที่นางรู้ตัวเองว่าที่แท้นางก็ให้ความสำคัญกับการท่องหนังสือมากขนาดนี้ ดูเหมือนต่อจากนี้ข้าต้องขยันอีกหน่อย ถือโอกาสพาสองพี่น้องนี้ไปด้วย เกรงว่าหากเจอเรื่องแบบวันนี้อีกคงแย่แน่
ครั้นเห็นพวกเขาท่องเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ตั้งหน้าตั้งตาคอยเย่อวี๋หรานแบ่งอาหาร
เย่อวี๋หรานไม่ได้นับจำนวนชิ้นของเนื้อหั่นเต๋า ล้อกันเล่นหรือกระไร หนึ่งชิ้นต่อหนึ่งคน นางจะต้องนับไปถึงตอนไหนล่ะ?
นางหยิบช้อนขึ้นและพูดว่า “เริ่มจากพ่อของพวกเข้า จากนั้นวนจากซ้ายไปขวา ข้าจะเติมจนเต็มถ้วย เต็มแล้วเท่าไหร่ก็เท่านั้น หากใครกล้าว่าข้าลำเอียงอะไร ข้าจะหยุดทันที และหลังจากนี้ข้าจะไม่ทำมันอีก”
นางพูดเช่นนี้ใครยังจะกล้าออกความเห็น?
หลิวซื่อมองช้อนในถ้วยของตัวเอง แล้วเหลือบมองในถ้วยของคนอื่น แม้จะรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ได้มากที่สุด แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่ได้น้อยที่สุด จึงรู้สึกสงบใจขึ้นบ้าง
ถึงแม้ว่าตอนนี้นางอยากโต้แย้ง แต่ก็พิจารณาอย่างรอบคอบว่าถ้าทุกคนกินเนื้อไม่อิ่มเพราะถูกนางลากเข้ามาพัวพันด้วย นางจะไม่แย่หรือ?
หม้อเล็ก ๆ ถูกเย่อวี๋หรานแบ่งเป็นสองรอบจนเกือบจะแบ่งเสร็จแล้ว นอกจากไก่ทอดหั่นเต๋าผัดมันเทศก็ยังแบ่งโครงไก่ราดน้ำแกงด้วย สิ่งนี้น้อยมากจนหมดในรอบเดียว ในถ้วยของทุกคนล้วนมีไม่มากนัก
ทว่าไก่ตัวหนึ่งจะมีกระดูกได้สักกี่ชิ้น? แม้ว่าเย่อวี๋หรานจะคิดหาวิธีใช้แป้งกรอบทั้งยังผัดหัวไชเท้าเข้าไปด้วย แต่มันก็ยังคงเป็นไปไม่ได้
ถ้าไม่เพิ่มของพวกนี้ เกรงว่าคงไม่สามารถแบ่งครบรอบวงได้
หลังจากนั้นก็เป็นน้ำแกงหนึ่งถ้วยต่อหนึ่งคน และยังมีขนมไคว่ปิ่ง
หากถามคนสกุลจูว่าไก่ทอดหั่นเต๋าผัดมันเทศอร่อยหรือไม่ พวกเขาจะตอบออกมาทั้งน้ำตาอย่างแน่นอนว่า “อร่อย! ไม่เคยกินอะไรที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนในชีวิต!”
สำหรับคนที่ปีหนึ่งได้กินเนื้อสัตว์เพียงไม่กี่ครั้ง และให้คนที่จนถึงช่วงนี้จึงเพิ่งจะได้กินขนมเปี๊ยะกับน้ำพริกเพียงเล็กน้อยมาพูด
คงพูดง่ายๆ เลยก็คือ ‘ช่างน่ายินดี’
และหากถามอีกว่าโครงไก่ราดน้ำแกงอร่อยหรือไม่?
จูต้าตอบ “อร่อย”
จูซานตอบ “ข้าจะเคี้ยวกระดูกกลืนลงคออยู่แล้ว เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
ต้าเป่าตอบ “อร่อยขอรับ กระดูกกินไม่ได้ ท่านแม่จึงเอาไปทิ้งเสียแล้ว”
จูชีตอบ “ข้าเลียถ้วยตัวเองจนสะอาดแล้ว”
สรุปคือไม่มีใครในสกุลจูที่ไม่พอใจอาหารมื้อนี้ แม้แต่จูเหล่าโถวที่เมื่อสองวันก่อนถูกเย่อวี๋หราน
ทำให้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟก็ยังกินด้วย ‘ใบหน้าเปี่ยมสุข’ ถึงขนาดที่หลับไปด้วยรอยยิ้ม
เขาอยากกินอาหารอร่อย ๆ เช่นนี้ทุกวัน เท่านี้เขาก็พอใจแล้ว!
MANGA DISCUSSION