บทที่ 78 ไว้ท่าที
แม่เฒ่าเฉียนกำลังตะลึงกับ ‘หัวการค้า’ ของอีกฝ่าย และเมื่อได้ยินเย่อวี๋หรานพูดประโยคนั้นขึ้นมาก็ต้องประหลาดใจเหลือแสน
“ครอบครัวพวกเจ้าจะมีบัณฑิต?”
สวรรค์ทรงทราบว่า ไม่มีชาวนาคนไหนกล้าคิดส่งเสียลูก ๆ ร่ำเรียนหนังสือ
คนมีการศึกษามักกล่าวว่า สรรพวิชาชีพล้วนเป็นชนชั้นล่าง มีเพียงบัณฑิตจึงเป็นชนชั้นสูง แต่ทุกคนล้วนทราบว่าการเรียนหนังสือก็คือถ้ำที่ไร้ก้นบึ้ง ครอบครัวชาวนาคงส่งเสียไม่ไหว
“อื้ม!” เย่อวี๋หรานผงกศีรษะเล็กน้อยด้วยท่าทีสูงส่ง พยายามเลียนแบบท่าทางของภรรยาเอกท่านนั้นในความทรงจำเจ้าของร่างเดิมออกมาให้เหมือนที่สุด จากนั้นก็ร้องเรียกบุตรสาว “ปาเม่ย เจ้ามานี่”
“ท่านแม่ ท่านเรียกข้าหรือเจ้าคะ?” จูปาเม่ยกลัวนิด ๆ เมื่อครู่ก่อนนางยังสัพยอกหลินซานยาเรื่องดูตัวอยู่เลย เรื่องนี้คงไม่หล่นใส่ศีรษะนางอีกคนหรอกนะ?
“ตอนนี้หลานอีกสองคนของเจ้าไม่อยู่ เจ้าทักทายท่านป้าผู้นี้ แล้วท่องตำราแทนพวกเขาให้ท่านป้าฟังสักรอบซิ” เย่อวี๋หรานพูดนำให้ว่า “ใสกับขุ่น”
นางไม่กล้าเลือกบทที่ท่องผ่านมานานเกินไป จึงเลือกบทที่ท่องรอบล่าสุด เพราะกลัวว่าจูปาเม่ยจะท่องออกมาไม่ได้ เช่นนั้นก็คงต้องอับอายกันแล้ว
ที่เลือกจูปาเม่ยก็เพราะในเรือนไม่มีคนอื่นอีกแล้ว นางไม่มีตัวเลือกอื่น
จูปาเม่ยได้ยินว่าเป็นเรื่องนี้ก็ผ่อนลมหายใจออกมา จากนั้นก็ขานเรียก “ท่านป้า” เป็นการทักทาย แล้วท่องเสียงดัง
“ใสกับขุ่น ขมกับเค็ม เปิดหนึ่งครั้งคู่ผนึกสามชั้น เสื้อฟางกันฝนคู่หมวกฟาง ไม้พายคู่ใบเรือ…”
เย่อวี๋หรานรอจนนางท่องจบหนึ่งบทแล้วก็กล่าวอย่างปลาบปลื้ม “ไม่เลว ๆ ไม่เสียทีที่หลานเจ้าว่าง ๆ ก็ท่องตำราอยู่ตรงหน้าเจ้าจนจำติดหู เจ้ากล่าวลาท่านป้าแล้วกลับไปทำงานต่อเถอะ”
จูปาเม่ยแสดงคารวะต่อแม่เฒ่าเฉียนตามมารยาทบุตรสาวสกุลใหญ่ที่เคยได้ร่ำเรียนมาก่อนหน้านี้ “ท่านป้าเชิญนั่งเถิด ผู้เยาว์ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
แม่เฒ่าเฉียนเบิกตากว้าง
“แม้พวกข้าจะเป็นครอบครัวต่ำต้อย แต่ขอเพียงเด็กในบ้านมีความมุมานะ หากลำบากเล็กน้อยจะนับเป็นอย่างไร ขอเพียงมีคนหนึ่งได้ดี ยังต้องกลัวว่าทั้งครอบครัวจะลืมตาอ้าปากไม่ได้อีกหรือ?”
เย่อวี๋หรานพูดจบก็สลัดท่าทางสูงส่งทิ้งไป และกล่าวอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งนัก “ต้องขออภัยจริง ๆ เด็กคนนั้นยังเรียนรู้มาน้อย โอ้อวดไปบ้าง กิริยาหยาบกระด้างไร้ความสง่างาม ไม่มีผู้ใหญ่คอยมอง บางทีก็ยังทำตัวเป็นม้าดีดกะโหลก ไม่น่ามองยิ่งนัก”
“น้องสาว เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร?!” แม่เฒ่าเฉียนยกนิ้วโป้งแล้วกล่าวชมเชย “เด็กสาวบ้านเจ้าเลี้ยงมาดีจริง ๆ ไม่อย่างนั้นข้าก็คงจะไม่ต้องตาตั้งแต่แรก เห็นจนเกือบลืมเรื่องสำคัญไปเสียสนิท ข้าต้องขออภัยกับเจ้าอีกครั้ง เมื่อครู่ที่พูดว่าดูตัวไม่ดูตัวอะไรนั่น ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก เจ้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจ คราวหน้าข้าจะทำให้ถูกต้องตามธรรมเนียมประเพณี ไม่สุกเอาเผากินเช่นนี้อีกแล้ว”
ป้าเฉียนมองไปทางเด็กสาวสามคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานกันอยู่ ยิ่งพิศก็ยิ่งพึงใจ
ครอบครัวจูเหล่าโถวจะให้กำเนิดบัณฑิตออกมาได้หรือไม่ นางไม่รู้ แต่แม่นางน้อยผู้หนึ่งสามารถท่องตำรา ดึงตัวออกมาก็พูดได้เป็นคุ้งเป็นแคว เช่นนี้ก็นับว่ามีหน้ามีตายิ่งนัก
นอกจากนี้ เพียงมองก็ทราบได้ว่าในบรรดาแม่นางน้อยสามคนนั้น นอกจากคนที่ท่องตำราเมื่อครู่ที่ถูกประคบประหงมจนแลดูเปราะบางแล้ว อีกสองคนต้องเป็นเด็กขยันเอาการเอางานแน่นอน
คิดดูแล้วก็ไม่น่าแปลกใจ เด็กที่ท่องตำราคนนั้นดูแล้วอายุน้อยที่สุด จะได้รับความเอ็นดูมากหน่อยก็เป็นเรื่องธรรมดา พี่สาวของนางกลับเป็นเด็กขยันขันแข็ง แล้วนางจะย่ำแย่เกินไปได้อย่างไร? รอให้โตกว่านี้อีกหน่อยก็ได้
ระหว่างที่บังเกิดความคิดเช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายก็ตกลงเรื่อง ‘การค้า’ กันเรียบร้อยแล้ว
ครั้นส่งแม่เฒ่าเฉียนกลับไปอย่างตื่นเต้นยินดี สิ่งที่ประทับอยู่ในใจหลี่ซื่อคือความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแท้จริง
แม่สามีลงสนามเอง ผลลัพธ์เท่าคนสองคนลงแรง ผู้อื่นไม่เพียงลดราคาให้ พร้อมกันนั้นยังแสดงความมั่นใจของทางนี้ออกมา ทำให้ฝ่ายตรงข้ามยอมรับทั้งปากและใจ
ขณะเดียวกันก็เปลี่ยนน้องสาวของหลินซื่อที่เกือบจะถูกครอบครัวตัวเองขายออกไปให้กลายเป็นที่หมายปองขึ้นมา
สีหน้าของเย่อวี๋หรานเย็นชาลง นางให้หลี่ซื่อปิดประตูเรือนแล้วเฝ้าอยู่ตรงนั้น
หลี่ซื่อสัมผัสได้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องขึ้น จึงยกเก้าอี้มานั่งอยู่หน้าประตูเรือนอย่างว่าง่าย
ภายในลานเรือน สะใภ้และเด็กสาวที่กำลังทำงานอยู่หลายคนนั้นพลันร้อนใจขึ้นมา
เย่อวี๋หรานยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ทำท่าพยักพเยิดเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยท่าทางเปี่ยมบารมีว่า “เมียเจ้าห้า มานี่ซิ”
หลินซื่อสะดุ้ง รีบร้อนวิ่งมาหยุดลงตรงหน้าเย่อวี๋หราน
“ท่านแม่…” นางขานเรียกอย่างคนมีชนักติดหลัง
“รู้หรือไม่ว่าเจ้าผิดตรงไหน?” เย่อวี๋หรานจ้องนางพลางถาม
“ขอโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ…ตอนแรกข้าแค่อยากคุยสัพเพเหระกับนางเท่านั้น แต่ท่านป้าผู้นั้นกลับพูดถึงหลานชายที่บ้านมารดาของนางขึ้นมา ข้า…”
“เฮอะ เฮอะ!”
เพียงสองคำนั้นก็พอให้หลินซื่อหวาดกลัวขึ้นมาได้แล้ว
“ข้ายอมรับเจ้าค่ะ ข้าเห็นว่าเสื้อผ้าของนางไม่มีรอยปะแม้แต่น้อย คิดว่าครอบครัวของนางน่าจะมีฐานะพอสมควร ดังนั้นจึงใจร้อนขึ้นมา ครั้นได้ยินนางเอ่ยถึงหลานชายจากบ้านเดิม ข้าจึงดึงน้องสาวออกมาแนะนำตัว…แต่ว่าท่านแม่เจ้าคะ ข้าทำไปด้วยเจตนาดี สถานการณ์ครอบครัวข้า ท่านก็น่าจะทราบอยู่แล้ว ถ้าไม่รีบแต่งน้องสามกับน้องสี่ออกไป ก็อาจถูกท่านย่าของข้าขายออกไปได้ทุกเมื่อ ข้าแค่อยากให้น้องสาวแต่งออกไปให้ครอบครัวที่ดีหน่อยเท่านั้น”
“ถ้าข้าไม่ออกมา เจ้าคงคิดจะให้คนพาซานยาไปด้วยเลยใช่ไหม?” เย่อวี๋หรานเอ่ยเสียงเย็น
“จะทำอย่างนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ? ต่อให้ข้าโง่เขลาแค่ไหนก็ทราบว่าเรื่องแบบนี้ต้องเชิญแม่สื่อมาให้ถูกต้องตามพิธีการ ถ้าให้นางพาซานยาไปทั้งอย่างนี้ แล้วน้องสาวของข้าจะกลายเป็นอะไรไป?” หลินซื่อชี้แจงเสียงเบา
“เมียเจ้าห้า ข้ารู้ว่าเจ้าร้อนใจเรื่องอะไร แต่ต่อให้ร้อนใจแค่ไหนก็ไม่ควรผลักไสน้องสาวเจ้าออกมาเช่นนั้น นั่นคือน้องสาวแท้ ๆ ของเจ้า ไม่ใช่สินค้า แม่เฒ่าเฉียนผู้นี้เป็นใคร ครอบครัวของนางเป็นอย่างไรบ้าง สิ่งที่นางพูดเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ พวกเราไม่รู้เลยแม้แต่น้อย เจ้ายังกล้าเสนอขายน้องสาวตัวเองออกไป? เจ้าไม่กลัวว่าจะผลักน้องสาวเจ้าเข้าสู่กองไฟหรือไร?”
“กลัวเจ้าค่ะ…”
“กลัว แต่เจ้ายังทำ? ครอบครัวไหนบ้างจะแต่งลูกสาวแล้วไม่ไว้ท่าทีเสียหน่อย ต้องให้ฝ่ายชายมา ‘สู่ขอ’ เจ้าเข้าใจหรือไม่? โดยเฉพาะแม่นางสาว ๆ อย่างพวกเจ้ายิ่งต้องสงวนตัว ให้บุรุษเป็นฝ่ายมาสู่ขอเจ้า เจ้าเอาตัวเองไปประเคนให้เขาถึงที่ เจ้าคิดว่าบุรุษผู้นั้นจะมองเจ้าอย่างไรกัน?”
หลินซื่อก้มหน้าลง เพราะคำพูดของแม่สามีทำให้นางนึกถึงจูอู่
ระหว่างนางกับจูอู่ก็เป็นเช่นนี้ นางเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน ดังนั้นในสายตาของจูอู่ นางจึงไม่มีตัวตนอยู่เลยสักนิด
หลินซื่อน้อยเนื้อต่ำใจ ชั่วขณะนั้นขอบตาพลันร้อนผ่าวเปียกชื้นขึ้นมา
หากมารดาของนางสอนเรื่องพวกนี้ให้นางแต่ทีแรก ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับจูอู่ก็คงจะไม่กลายเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่?
เย่อวี๋หรานทอดถอนใจแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้พูดให้เจ้าฟังคนเดียว คนอื่นที่นั่งอยู่ก็ฟังด้วย พวกเจ้าใช่ว่าจะไม่เคยเป็นสาวน้อยมาก่อน ต่อให้ตอนนี้ยังเป็นสาว แต่ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็ต้องได้เป็นแม่คนสักวัน มีลูก ๆ ของตัวเอง พวกเจ้าต้องสอนลูก ๆ ของพวกเจ้า บอกพวกนางว่า เกิดมาเป็นหญิงต้องรู้จักเคารพรักและตระหนักในคุณค่าของตัวเอง เจ้าจึงสามารถยืนอกผายไหล่ผึ่งต่อหน้าสามี ไม่ต้องอดทนอดกลั้นหรือขอร้องเขา ถ้าไม่ไว้ท่าทีตั้งแต่ยังเป็นแม่นางน้อย รอจนพวกเจ้าแต่งให้ผู้อื่น กลายเป็นสะใภ้บ้านคนอื่นไปแล้ว พวกเจ้ายังจะยืดอกขึ้นมาได้อีกหรือ?”
หลินซื่อเช็ดคราบน้ำตาอย่างเงียบ ๆ ไว้ท่าอะไรกัน นางแทบจะถูกจูอู่เหยียบไว้แทบเท้าอยู่แล้ว
“เรื่องแม่เฒ่าเฉียนเมื่อครู่นี้เป็นครั้งแรก ข้าหวังว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้าย พวกเจ้าทุกคนจำเอาไว้ให้ดี แม่นางน้อยบ้านข้าล้วนมีคุณค่า ถ้าต้องการจะแต่งด้วยก็ต้องมาสู่ขอ” เย่อวี๋หรานวางคำชี้ขาด “ถ้าใครแอบเอาตัวเด็กสาวไปเสนอให้คนอื่นลับหลังข้า ข้าก็จะหักขาสุนัขของมันผู้นั้น”
ทุกคนต่างขานรับว่า “เจ้าค่ะ” แม้แต่หลินซานยากับหลินซื่อยาก็ไม่มีข้อยกเว้น
โดยเฉพาะหลินซานยา นางมีความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่งอุบัติขึ้นในใจ แม้ว่าพี่รองจะถูกจูต้าเหนียงตำหนิ ตามหลักแล้วนางควรจะยืนอยู่ฝ่ายพี่รอง ควรโกรธที่พี่สาวถูกตำหนิถึงจะถูก แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในใจนางกลับรู้สึกอบอุ่น ราวกับกำลังได้รับการ ‘ปกป้อง’ อย่างไรอย่างนั้น
ครั้นนึกถึงเมื่อครู่ก่อนที่พี่รองไม่สนใจการขัดขืนและความอับอายของนาง เอาแต่ลากนางออกไปยืนต่อหน้าหญิงชราแปลกหน้าผู้หนึ่งเพื่อให้อีกฝ่ายดูตัว นางรู้สึกทั้งอึดอัดจนปัญญาและขุ่นเคือง และบัดนี้นางคิดว่านางเริ่มจะชอบจูต้าเหนียงผู้นี้ขึ้นมาเสียแล้ว ทำอย่างไรดีนะ?
MANGA DISCUSSION