บทที่ 77 ยกระดับฐานะครอบครัวขึ้นมาเล็กน้อย
เย่อวี๋หรานไม่รู้เลยว่าในช่วงเวลาครู่เดียวเท่านี้ หลินซื่อกลับตระเตรียมที่จะแต่งน้องสาวออกไปเรียบร้อยแล้ว นางกำลังหาอุปกรณ์ที่เหมาะสมอยู่ท้ายเรือน คิดจะนำมาทำฟางโต่ว[1] สำหรับใช้งานชั่วคราว
ฟางโต่วมีหน้าตาอย่างไรน่ะหรือ?
อธิบายง่าย ๆ มันก็เหมือนกับกล่องสี่เหลี่ยมที่ไม่มีฝาครอบ
ถ้ามองจากด้านข้างก็จะพบว่ามันเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูที่มีปากกว้างฐานแคบ
เรือนสกุลจูไม่มีแผ่นไม้สำเร็จรูป นางหาอยู่นานก็หาอันที่เหมาะสมไม่ได้ ถ้าจะใช้จริง ๆ เกรงว่าคงต้องรื้อประตูหรือไม้ปูเตียงออกมาใช้แล้ว จากนั้นค่อยเลื่อยบางส่วนออก…
“แบบนี้มีแต่จะเพิ่มภาระ” เย่อวี๋หรานพึมพำ
“ท่านแม่” หลี่ซื่อเดินเร็ว ๆ เข้ามาหาด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดี “ท่านแม่ ท่านมาเร็วเข้า มีแม่เฒ่าคนหนึ่งอยากทำการค้าระยะยาวกับพวกเราเจ้าค่ะ ข้ากลัวว่าตัวเองจะทำการค้าหลุดมือไปเสียก่อน จึงอยากเชิญท่านแม่ออกไปช่วยตัดสินใจ”
“การค้าระยะยาว?” เย่อวี๋หรานคาดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนมาติดต่อร่วมทำการค้าถึงเรือนไวปานนี้ “แซ่อะไร?”
“แซ่เฉียนเจ้าค่ะ”
ระหว่างทาง หลี่ซื่อก็เล่าข้อมูลจากตอนที่หญิงชราคนนั้นแนะนำตัวเองให้เย่อวี๋หรานฟังไปด้วย
ประจวบเหมาะยิ่งนัก ตอนที่เย่อวี๋หรานเดินออกมาก็ทันเห็นหลินซื่อลากหลินซานยาไปถึงเบื้องหน้าหญิงชราผู้นั้นอย่างตื่นเต้น
สีหน้าของหลินซานยาเต็มไปด้วยความอึดอัดขัดเขิน อยากจะหลบแต่ก็ไม่มีที่ให้หลบ
หญิงชราผู้นั้นยิ้มแย้มมองหลินซานยา พยักหน้าไม่หยุด พลางพูดอะไรบางอย่าง
“พวกท่านคุยอะไรกันอยู่?” เย่อวี๋หรานเก็บงำรอยยิ้มบนใบหน้า คิดจะไว้ท่าทีสักหน่อย
“ท่านแม่…” หลินซื่อรีบร้อนพูดขึ้น “ป้าเฉียนบอกว่านางมีหลานบ้านมารดาอยู่คนหนึ่ง ข้า…”
หลินซานยาอับอายจนทนไม่ไหว ปลดมือตนเองออกจากมือของหลินซื่อ จากนั้นวิ่งกลับไปอยู่ข้าง ๆ หลินซื่อยา หันหลังให้ทางนี้ และเลี่ยงไม่มองมา
จูปาเม่ยพูดล้อนางเสียงเบา
ติ่งหูของนางแดงก่ำจนเป็นสีชาดแล้ว
เย่อวี๋หรานตัดบทหลินซื่อ “ไม่ใช่ว่ามาเจรจาการค้าหรอกหรือ เหตุใดจึงกลายเป็นการดูตัวไปเสียได้? พูดไปพูดมา ข้านึกว่าจะทำการค้า หรือต้องพักเรื่องการค้ามาดูตัวกันก่อน?”
หลินซื่อหน้าซีด ไม่กล้าปริปาก
หญิงชราคล้ายจะตระหนักได้แล้วว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงรีบขอโทษขอโพยเย่อวี๋หราน บอกว่านางเป็นฝ่ายทำไม่ถูก ไม่อาจยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดปุบปับเพียงเพราะบังเอิญมาต้องตาเด็กสาวในครอบครัวผู้อื่น ถ้าต้องการจะ ‘ดูตัว’ กันจริง ๆ นางก็ควรจะทำอย่างมีพิธีรีตอง คราวหน้าค่อยกลับมาใหม่อีกครั้ง
เย่อวี๋หรานบอกให้หลินซื่อกลับไปทำงานต่อ
“เจ้าค่ะ ท่านแม่” หลินซื่อไม่กล้าพูดอะไรอีก กลับไปทำงานทันที
“ลูกสะใภ้บ้านข้าอายุยังน้อย ไม่รู้เรื่องรู้ราว สร้างความลำบากใจให้ท่านแล้ว” ถึงสีหน้าของเย่อวี๋หรานจะไม่มีความรู้สึกใด ๆ ประดับอยู่ แต่เนื้อหาในคำพูดก็ยังนับว่าค่อนข้างมีมารยาท เจรจาก่อนแล้วค่อยเปิดฉากรบอย่างไรเล่า
นางกล่าวว่า “สะใภ้สี่บอกว่าท่านตั้งใจจะมาทำการค้าน้ำพริกกับพวกข้า อีกทั้งยังคิดจะทำในระยะยาว?”
หญิงชราไม่ได้ยกเรื่องดูตัวขึ้นมาพูดอีก แต่เจรจาเรื่องการค้ากับเย่อวี๋หราน
ความคิดของนางเรียบง่ายอย่างมาก แม้ว่าหมู่บ้านสกุลเฉียนของพวกนางจะตั้งอยู่ตรงเชิงเขาไท่ตังเช่นกัน แต่อยู่ห่างจากทางใต้ค่อนข้างไกล เดินทางมาที่นี่ต้องใช้เวลาครึ่งค่อนวัน ไม่สะดวกยิ่งนัก ดังนั้นนางจึงคิดจะหาเงิน ‘ค่าเหนื่อย’ เล็กน้อย
“หมายความว่าท่านต้องการจะทำเงินจากส่วนต่าง?” เย่อวี๋หรานพูดเข้าประเด็น มองตาฝ่ายตรงข้ามพลางพูดว่า “เช่นนั้นท่านคิดว่าจะคิดค่านำเข้าสินค้าสักเท่าไหร่?”
หญิงชราพูดว่า “ของที่ข้าเอาไปขายในหมู่บ้านที่ผ่านมาล้วนเก็บค่านำเข้าสินค้าครึ่งหนึ่งของราคาขาย พวกเจ้าทางนี้ก็น่าจะลดให้สักหน่อย ข้าคิดว่าลดสักครึ่งหนึ่งค่อนข้างเหมาะสม”
“ท่านหมายความว่าหนึ่งช้อนขายให้ท่านหนึ่งเหรียญครึ่ง? ไม่ได้ ต้นทุนสูงเกินไป ถ้าข้าขายให้ท่านในราคานี้ ข้าก็คงจะไม่ได้อะไรจากการค้านี้แล้ว ไม่คุ้มทุนเกินไป บางทีท่านอาจยังไม่รู้ขนาดช้อนของบ้านข้า” กล่าวถึงตรงนี้ เย่อวี๋หรานก็ร้องเรียกหลี่ซื่อ “เมียเจ้าสี่ เจ้าเข้าไปเอาช้อนจากในเรือนมาหน่อย แล้วก็ตักน้ำพริกออกมาด้วยสักช้อน เอามาให้แม่เฒ่าเฉียนท่านนี้ลองชิมดู”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่” หลี่ซื่อขานรับทันที เพียงครู่เดียวก็หยิบถ้วยใบเล็กและตักน้ำพริกหมูเต็มช้อนออกมา
เย่อวี๋หรานรับมาแล้วก็ส่งไปถึงตรงหน้าแม่เฒ่าเฉียน เทน้ำพริกเต็มช้อนใส่ลงในถ้วยใบเล็กต่อหน้าอีกฝ่าย พริบตานั้น ในถ้วยใบเล็กก็มีน้ำพริกหมูอยู่ครึ่งถ้วย
“นี่ก็คือหนึ่งช้อนของบ้านข้า เป็นทัพพีตักน้ำแกงแบบนี้ หนึ่งช้อนได้ครึ่งถ้วยเล็ก พอให้คนทั้งครอบครัวกินได้หนึ่งมื้อ ราคาสามเหรียญ พวกข้าแทบจะขายในราคาทุนแล้ว”
จากนั้นเย่อวี๋หรานก็กล่าวต่ออย่างเคร่งขรึม “ข้าคิดว่าตอนที่ท่านมาก็คงจะถามข่าวคราวเกี่ยวกับครอบครัวของพวกข้าแล้ว พวกข้าเป็นแค่ชาวนาธรรมดา ไม่ใช่พ่อค้าแม่ขาย ในอนาคตก็ไม่ได้คิดจะประกอบการค้าเป็นเรื่องเป็นราว ตอนนี้ข้าเพียงขายให้คนหมู่บ้านเดียวกันหรือเพื่อนบ้านใกล้เคียง ผู้อื่นไม่สะดวกมาถึงเรือนมือเปล่า พวกข้าก็ไม่อาจขายราคาทุนเพื่อคนอื่น ดังนั้นจึงขายในราคาต่ำเท่าที่จะต่ำได้แล้ว ข้าจะขายให้ท่านราคาเดียวเท่านั้น หนึ่งช้อนสองเหรียญ ท่านไม่เอาก็ไม่เป็นไร”
หลี่ซื่อเลื่อมใสยิ่งนัก รู้สึกเหมือนตนเองได้เรียนรู้ทักษะใหม่อีกแล้ว
แม่สามีไม่เพียงมีท่าทีอย่างมืออาชีพซึ่งได้เปรียบฝ่ายตรงข้ามอยู่ขั้นหนึ่ง แต่ยังมีเหตุผลน่าเชื่อถือ รักษาท่าทีไม่ผ่อนปรน ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก
เห็นได้ชัดว่าแม่เฒ่าเฉียนก็คิดไม่ถึงว่าหนึ่ง ‘ช้อน’ ของสกุลจูจะเป็นทัพพีใหญ่เช่นนี้ แต่ในฐานะคนทำการค้า ยังจะรังเกียจว่าตนเองทำเงินได้น้อยอยู่หรือ?
ดังนั้นแม่เฒ่าเฉียนจึงมีท่าทางลังเลเล็กน้อย “ไฉนจะทำเงินไม่ได้? หนึ่งช้อนสามเหรียญ เจ้ายังใส่ผักลงไปตั้งเยอะ ค่าเนื้อหมูไม่ได้มากอะไรเลย…”
“ปกติแล้วเนื้อหมูหนึ่งจินสิบหกเหรียญ น้ำพริกหมูโถใหญ่ท่านคิดว่าต้องใช้เนื้อหมูเท่าไหร่? ข้าขายทีละช้อน ทั้งโถนั้นไม่ได้ทำเงินมากมายอะไรเลย ท่านบอกว่าในนั้นไม่ค่อยมีเนื้อ ท่านเคยกินน้ำพริกหมูของข้ามาก่อนหรือเปล่า?” เย่อวี๋หรานกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “ถ้าไม่มีเนื้อสัตว์ ข้าก็คงไม่เรียกมันว่าน้ำพริกใส่เนื้อ เรียกมันว่าน้ำพริกผักก็ได้ ท่านลองชิมก่อน ดูว่าคุ้มราคาหรือไม่”
สำหรับฝีมือการทำอาหารของตัวเอง เย่อวี๋หรานยังคงมีความมั่นใจอยู่ นางใช้ทัพพีแตะน้ำพริกแล้วส่งไปให้
แม่เฒ่าเฉียนใช้นิ้วแตะมาชิมดู แม้ในน้ำพริกจะเติมผักลงไป แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีรสชาติของเนื้อหมูอยู่ ไม่เพียงเท่านั้น รสชาติเนื้อหมูยังเข้มข้น เพียงมองก็ทราบว่าไม่ได้ผสมสิ่งอื่นลงไปด้วย
เย่อวี๋หรานมั่นใจมาก แม้แต่น้ำนางก็เปลี่ยนไปใช้น้ำแกงจากเนื้อหมู จะไม่มีรสชาติเนื้อหมูได้อย่างไร?
“รสชาติไม่เลวจริง ๆ เพียงแต่ราคา…” แม่เฒ่าเฉียนยังลังเลอยู่ แต่แล้วก็ยอมถอยก้าวหนึ่ง “เจ้าลองพิจารณาดูว่าขายให้ถูกลงกว่านี้ได้หรือไม่ ถึงจะไม่ได้ลดครึ่งราคาให้ข้า แต่ก็น่าจะเปิดโอกาสทำเงินให้ข้าสักหน่อยจริงไหม? ไม่อย่างนั้นข้าลำบากลำบนอยู่ตั้งนาน จะไม่กลายเป็นการเหนื่อยเปล่าหรือไร?”
“จะเหนื่อยเปล่าได้อย่างไรกัน?” เย่อวี๋หรานประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านคิดว่าน้ำพริกหมูหนึ่งช้อนสามเหรียญมีสักกี่ครอบครัวที่จะซื้อได้บ่อย ๆ?”
นางให้หลี่ซื่อเข้าไปในห้องครัว เอาช้อนเล็กหลายคันออกมา รวมถึงช้อนกินข้าวของเด็ก ๆ ด้วย
“ท่านดู ช้อนที่ต่างกันย่อมตักน้ำพริกขึ้นมาได้ไม่เท่ากันอยู่แล้ว หนึ่งช้อนสามเหรียญที่ข้าพูดถึงก็คือทัพพีแบบนี้ ที่ท่านขายราคาหนึ่งช้อนหนึ่งเหรียญ หนึ่งช้อนสองเหรียญ หรือหนึ่งช้อนสามเหรียญ ย่อมต้องใช้ช้อนที่ต่างไปจากของข้าอยู่แล้ว เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ท่านกำหนดเองได้…”
แม้จะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ แต่เย่อวี๋หรานกำลังบอกฝ่ายตรงข้ามเป็นนัย ๆ ว่าราคาของข้าจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ของข้าใช้ทัพพีตักน้ำแกง ท่านเปลี่ยนไปขายด้วยช้อนเล็ก ก็มีช่องทางให้ทำเงินแล้วไม่ใช่หรือ?
“ถ้าหนึ่งช้อนสามเหรียญคนตัดใจซื้อไม่ลง ข้าคิดว่าช้อนละหนึ่งเหรียญก็น่าจะมีคนยอมซื้อกระมัง? ต่อให้ไม่ใช้เงิน แต่ใช้สิ่งที่มีราคาเท่ากันมาแลก พวกท่านยังจะทำเงินไม่ได้อีกหรือ?”
เย่อวี๋หรานยิ้มก่อนจะเอ่ยต่อ “ท่านย่อมหาเงินได้แน่นอน เพียงแต่ในอนาคต ครอบครัวของข้าจะมีบัณฑิต ไม่อาจทำการค้า มิเช่นนั้นเรื่องดีเช่นนี้คงไปไม่ถึงพวกท่านแล้ว”
ท้ายที่สุด นางยังไม่ลืมยกระดับฐานะครอบครัวตนเองขึ้นมาอีกเล็กน้อย
[1] ฟางโต่ว: ในภาพ ชาวนากำลังใช้ฟางโต่วนวดข้าว (ทำให้เมล็ดข้าวหลุดจากรวง) กันอยู่
ที่มา : https://k.sina.cn/article_5013026954_p12accb88a00100chob.html
MANGA DISCUSSION