บทที่ 75 ฤดูกาลเก็บเกี่ยว
เย่อวี๋หรานไม่ใช่ว่าไม่เต็มใจไปจับปูมาทำน้ำพริก แต่สาเหตุหลักเป็นเพราะเวลาทำนั้นมีเรื่องต้องระมัดระวังให้มาก นางกลัวว่าหลี่ซื่อจะประมาทไปชั่วขณะ หากขายให้คนท้อง เช่นนั้นก็คงยุ่งยากเสียแล้ว
หากทำกินกันเองภายในครอบครัวก็แล้วไปเถอะ แต่สำหรับข้างนอกนั้น ก็ควรหลีกเลี่ยงสักหน่อย
น้ำพริกหมูเผ็ดช้อนเดียวราคาสามอีแปะ นางยังเติมของอื่น ๆ ลงไปอีกไม่น้อย เครื่องในหมูหนึ่งจิน[1] ราคาแปดเหรียญ เท่านี้ก็พอให้ทำได้โถใหญ่
อย่างเดียวที่ไม่คุ้มทุนก็คงจะเป็นพริก เย่อวี๋หรานมีพริกอยู่แค่กระจาดเดียว ทั้งยังใช้ทำน้ำพริกรสเผ็ดโถใหญ่ไปแล้ว
เย่อวี๋หรานกำชับกับหลี่ซื่อว่าตอนขายให้บอกว่าน้ำพริกหมูเผ็ดมีอยู่ไม่มาก มีแค่โถเดียวเท่านั้น ต่อไปจะไม่มีรสเผ็ดแล้ว คราวหน้าถ้าจะซื้ออีก ก็จะไม่เผ็ดเหมือนเดิมอีก หากมีใครอยากได้ก็ให้มาบอกล่วงหน้าเสียก่อน นางจะได้ทำให้
อย่างไรเสียเย่อวี๋หรานก็ยังหวงพริกอยู่
พริกกระจาดนั้น นางเก็บครึ่งหนึ่งไว้สำหรับปลูก กลัวว่าหากตอนนี้กินเต็มที่เกินไป ปีหน้าก็ไม่มีให้กินแล้ว
ส่วนสร้อยข้อมือที่จูปาเม่ยถัก ก็ยังมีคนมาซื้อถึงเรือนบ้างเป็นบางครั้ง แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ขายดีเท่าของกิน
คนที่ชอบซื้อของเหล่านี้โดยทั่วไปเป็นแม่นางน้อยอายุเยาว์ หากความเป็นอยู่ที่เรือนไม่ได้ดีนัก เกรงว่าแม้แต่อะไรแบบนี้ก็คงซื้อไม่ไหว
เพื่อการค้าของจูปาเม่ย เย่อวี๋หรานจึงสอนสิ่งใหม่ ๆ ให้นางอีก เป็นต้นว่าการใช้ผ้าสวย ๆ ทำดอกไม้ประดับ สาเหตุที่นางมีความคิดเช่นนี้ก็เพราะจูปาเม่ยเก็บเงินได้หลายสิบเหรียญแล้ว ซึ่งพอให้ซื้อแถบผ้ามาใช้ได้ นางจึงแนะนำไปเช่นนั้น
จูปาเม่ยมือเติบกว่าที่เย่อวี๋หรานคิดเอาไว้มากนัก นางเห็นว่าดอกไม้ผ้าที่มารดาทำออกมานั้นงดงามยิ่ง ไม่พูดพร่ำใด ๆ ก็ใช้เงินไปจนหมด
“ท่านแม่ ท่านดูสิเจ้าคะ แถบผ้าที่ข้าเลือกมาพวกนี้งามมากเลยใช่ไหม?” จูปาเม่ยล้วงเอาแถบผ้าในถุงผ้าออกมาให้เย่อวี๋หรานดู
นางยิ้มแย้มเบิกบานใจ บนใบหน้าเล็ก ๆ นั้นเต็มไปด้วยความสุข
“อืม งามมาก เจ้าอยู่ว่างก็ทำเยอะ ๆ” เย่อวี๋หรานเห็นนางทำอย่างมีความสุขจึงไม่ได้พูดอะไรที่ทำร้ายความกระตือรือร้นของนาง
ในช่วงเวลาเช่นนี้ แถบชนบทไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก ดอกไม้ประดับผมที่เด็ก ๆ ใช้กันในความทรงจำชาติที่แล้วของเย่อวี๋หรานนั้น ที่นี่ก็ยังไม่มี
แน่นอนว่าหากทำออกมาทั้งอย่างนั้นจะต้องไม่เข้ากับยุคสมัยนี้แน่นอน นางจำเป็นต้องปรับปรุงสักหน่อย ทำให้ดอกไม้เล็ก ๆ เหล่านั้นประณีตงดงามขึ้นมาอีกนิด ให้เหมือนกับดอกไม้กระจุ๋มกระจิ๋มที่ประดับประดาอยู่บนศีรษะ เช่นนี้จึงจะทำให้คนชมชอบยิ่งขึ้น
และยังมีวิธีที่ง่ายกว่านั้น นั่นคือใช้วิธีถักเหมือนถักสร้อยข้อมือ แต่คราวนี้เป็นการทำยางรัดผมออกมา
หากไม่มีหนังยางก็ไม่เป็นไร สามารถใช้วิธีเดียวกันกับการร้อยลูกปัด ตรงกลางเหลือปลายเชือกที่สามารถรูดเข้ารูดออกได้ เมื่อจะรัดผมก็เพียงรูดเข้าไปให้แน่นก็พอแล้ว
งานฝีมือของจูปาเม่ยยังไม่เข้ารูปเข้ารอยนัก ในที่สุดช่วงเก็บเกี่ยวหน้าสารทก็เริ่มต้นขึ้น คนทั้งหมู่บ้านล้วนยุ่งอยู่กับการเก็บเกี่ยว
เย่อวี๋หรานไม่พบภาพจำเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวหน้าสารทจากความทรงจำเจ้าของร่างเดิม ดูเหมือนว่าปีนั้นที่นางแต่งเข้าสกุลจูมาก็ใช้การตั้งครรภ์เป็นข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงภาระนี้ไปได้
เมื่อจูเหล่าโถวแยกเรือนออกมาแล้ว นางก็ไม่เคยทำนาในช่วงเวลานี้ ที่ผ่านมาเพียงรับผิดชอบดูแลงานในเรือนมาโดยตลอด
เย่อวี๋หรานกลับรู้สึกสนอกสนใจการเก็บเกี่ยวหน้าสารทในยุคสมัยนี้ยิ่งนัก จึงสวมหมวกกันแดดแล้วออกไปดูเสียหน่อย
เมื่อนางไปยืนอยู่ในบริเวณที่เรียกกันว่า นาข้าว สีหน้าของนางก็ถึงกับตะลึงพรึงเพริด
นี่คือที่นาของครอบครัวนาง?!
ก่อนหน้านี้ตอนที่นางขึ้นเขาไท่ตัง มองลงมาเห็นท้องทุ่งเป็นแผ่นผืนก็เข้าใจว่าบริเวณนั้นคือทุ่งหญ้า
นาข้าวในภาพจำของนางก็คือท้องนาที่เป็นระเบียบ เหลืองอร่าม รวงข้าวชูสลอนไม่ใช่หรือ?
ทว่านาข้าวที่อยู่เบื้องหน้านี้กลับเหมือนทุ่งหญ้ารกชัฏอย่างไรอย่างนั้น ดูเหมือนหว่านเมล็ดพันธุ์ลงไป คิดจะเกิดขึ้นตรงไหนก็งอกขึ้นมาตรงนั้น สามารถเก็บเกี่ยวได้เท่าไหร่ก็ล้วนดูกันว่าใครจะหว่านเมล็ดได้หนาแน่นกว่ากัน
“จูเหล่าโถว ปีนี้พวกเจ้าทำได้ไม่เลวเลยนะ เจ้าดูสิ พวกเจ้าปลูกต้นข้าวขึ้นหนาแน่นขนาดนี้ จะต้องได้ผลเก็บเกี่ยวที่ดีแน่!”
เมื่อเย่อวี๋หรานได้ยินเสียงคนชื่นชมจูเหล่าโถวซึ่งมีสีหน้าภาคภูมิใจ มุมปากของนางก็พลันกระตุกขึ้นมา
กรรมแท้ ๆ ต่อให้นางไม่เข้าใจเรื่องเพาะปลูกพวกนี้ แต่นางก็ยังทราบว่าพืชต้องการพื้นที่ว่างในการเจริญเติบโต ดังนั้นเวลาปลูกข้าวก็จำเป็นต้องเว้นระยะห่างเอาไว้
เครื่องมือทำนาในยุคนี้ก็ไม่ได้สะดวกเท่าใดนัก ไม่ใช่เคียวแบบที่นางรู้จัก (ใช่แล้ว ก็คือเคียวโค้งแบบที่เทพเจ้าแห่งความตายถือไว้ในมือ เพียงแต่จะมีขนาดเล็กลงมาหน่อย ใช้มือเดียวจับก็ยังได้) แต่ดูเหมือนมีดสำหรับทำครัว ใบมีดนั้นค่อนข้างตรง เพียงแต่แคบและหนากว่าเล็กน้อยก็เท่านั้น
เย่อวี๋หราน “…”
เคียวสำหรับเกี่ยวข้าว ไม่ใช่ว่าควรโค้งเหมือนจันทร์เสี้ยวหรอกรึ?
ไม่เพียงเท่านั้น คมมีดที่นางเห็นอยู่นี้ยังไม่ได้เรียบเสมอกันเหมือนมีดทำครัว แต่มีรอยหยักเล็ก ๆ เหมือนฟันเลื่อย คล้ายกับมีดขูดเกล็ดอย่างไรอย่างนั้น
มีดแบบนี้เวลาเกี่ยวข้าวก็วางพาดขวางเหมือนกำลัง ‘เลื่อยต้นไม้’ เลื่อยไปครู่หนึ่ง ออกแรงดึงเล็กน้อยก็หักแล้ว
ช่างเถอะ สิ่งสำคัญคือไม่มีกระบะนวดข้าว แล้วจะนวดข้าวได้อย่างไร?
พวกจูเหล่าโถวไม่ได้นวดข้าวตรงนั้น แต่พอเก็บเกี่ยวเสร็จก็มัดต้นข้าวเป็นมัด ๆ แล้วส่งกลับเรือน
“เจ้าทำอะไรน่ะ?” เย่อวี๋หรานเห็นจูต้าแบกมัดข้าวขึ้นมาก็นึกสงสัย
“ท่านแม่ ท่านพักอยู่ตรงนี้ก่อนนะขอรับ ข้าเอากลับไปส่งก่อน” จูต้าทักทายนางแล้วก็แบกมัดข้าวจากไป
ในสมองของเย่อวี๋หรานพลันบังเกิดภาพหนึ่งขึ้นมา ในช่วงเก็บเกี่ยวหน้าสารท เจ้าของร่างเดิมได้พาลูกชายหลายคนตีข้าวกันอยู่บนพื้นในเรือน
แต่ช้าก่อน อย่าบอกเชียวว่านั่นก็คือ ‘การนวดข้าว’
ก่อนหน้านี้นางยังคิดว่าเป็นเพราะชาวนามัธยัสถ์ กลัวว่าใช้ฟางโต่วนวดข้าวแล้วจะได้เมล็ดข้าวออกมาไม่หมด จึงตีข้าวเพื่อ ‘ตรวจสอบ’ กันอีกรอบหนึ่ง
แต่ตอนนี้ดูแล้วเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น เย่อวี๋หรานที่ต้องการทราบความจริงจึงแวะไปดูที่นาของบ้านใกล้เรือนเคียง นางพบว่าทุกครัวเรือนดูเหมือนจะทำเช่นนี้กันหมด
อีกทั้งนางยังเห็นว่าบางบ้าน ขณะกำลังเกี่ยวข้าวกันอยู่ ก็จะดึงต้นหญ้าออกมาโยนทิ้งไปด้วย
เย่อวี๋หรานมองข้าวที่ถูกมัดไว้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นหันมองต้นหญ้าที่ถูกดึงออกมา บัดนั้นนางก็พลันหมดคำจะพูด “…”
ปริมาณต้นหญ้าที่ดึงออกมาแทบจะเป็นหนึ่งในสามของต้นข้าวที่เกี่ยวได้แล้ว มั่นใจหรือว่าจะมีข้าวพอกิน?
เย่อวี๋หรานรีบกลับไปที่นาข้าวของครอบครัวตนเอง คอยสังเกตว่าระหว่างที่จูเหล่าโถวกับจูเอ้อร์กำลังเกี่ยวข้าวกันอยู่ก็ดึงต้นหญ้าออกไปด้วย เพียงแต่คนหนุ่มไม่ได้ละเอียดเท่ากับคนที่อายุมาก จึงดึงหญ้าออกมาไม่หมด
ข้างกายจูเหล่าโถวมีหญ้าอยู่เป็นกอง ข้างเท้าของพวกจูเอ้อร์และลูกชายคนอื่น ๆ กลับมีหญ้าอยู่เพียงเล็กน้อย
“เจ้ามายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้? ไม่มีธุระก็กลับไปเถอะ” จูเหล่าโถวหยัดร่างขึ้นก็เห็นเย่อวี๋หรานยืนอยู่ตรงคันนา “อยู่ตรงนี้เจ้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ แดดจ้าขนาดนี้ ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ร้อนรึ?”
“ร้อน” เย่อวี๋หรานรีบตอบรับ
นางก็แค่ไม่เคยเห็นมาก่อน จะแวะมาดูของแปลกหน่อยไม่ได้หรือไร?
ยามนั้นหลิ่วซื่อกับจูต้ากลับมาด้วยกัน นางมาเพื่อส่งน้ำโดยเฉพาะ และเมื่อเห็นเย่อวี๋หรานก็ขานเรียก “ท่านแม่”
“ในเมื่อร้อนเจ้าก็กลับไปเถอะ ยืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดี” น้ำเสียงของจูเหล่าโถวเต็มไปด้วยความขัดใจ
จะไม่ให้ขัดใจได้อย่างไร เขาทำนามาตั้งหลายปี ครอบครัวผู้อื่นนั้นสามีภรรยาช่วยกันทำนา มีแต่ภรรยาของเขาที่ทำนาไม่เป็น
แต่ผู้ใดใช้ให้นางคลอดลูกชายออกมาหลายคนปานนั้น เขาได้แต่อดทนอดกลั้นเอาไว้ก็เท่านั้น
“อืม ข้าจะกลับไปกับเมียเจ้าใหญ่ก็แล้วกัน” เย่อวี๋หรานกล่าว
สิ่งที่ควรดูก็ดูหมดแล้ว นางจึงไม่อยากรั้งอยู่ต่อไป
ระหว่างทางขากลับ หลิ่วซื่อตามหลังนางมาเงียบ ๆ
และนี่ก็คือความแตกต่างระหว่างหลิ่วซื่อกับหลี่ซื่อ หากเป็นหลี่ซื่อคงจะพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด ขณะนี้เย่อวี๋หรานจึงรู้สึกว่าเดินไปด้วยกันสองคนแบบนี้ค่อนข้างอึดอัดอยู่บ้าง คิด ๆ ดูแล้วนางน่าจะเดินกลับมาเองคนเดียวเสียยังดีกว่า
“แค่ก ๆ! ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าไปเล่นกันแล้วรึ?” เย่อวี๋หรานกระแอมไอ และพยายามหาหัวข้อสนทนา
แต่ดูเหมือนหลิ่วซื่อจะพูดจาไม่เก่งเท่าใดนัก จึงตอบเพียงแค่ “เจ้าค่ะ” คำเดียว แล้วก็เงียบไป
[1] 1 จิน 斤 = 500 กรัม
MANGA DISCUSSION