บทที่ 74 ตอนแรกที่เจ้าแต่งกับข้า เจ้าพูดอะไรไว้?
ราตรีมืดมิดมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลินซานยากับหลินซื่อยานอนอยู่บนเตียงหญ้าคาที่ปูขึ้นใหม่ ส่วนที่รองอยู่ใต้ร่างคือผ้าปูที่นอนเก่า และส่วนที่คลุมอยู่บนร่างคือผ้าห่มผืนเก่าของพี่รอง
ยังดีที่ตอนนี้เป็นช่วงเก็บเกี่ยวต้นฤดูใบไม้ร่วง อากาศยังร้อนอยู่มาก จะห่มผ้าหรือไม่ห่มก็ไม่เป็นไร ไม่อย่างนั้นเด็กสองคนห่มผ้าบางๆ ผืนเดียวก็อาจไม่สบายได้
“พี่สาม…” หลินซื่อยาเรียกเสียงเบา
“หืม” หลินซานยาขานรับ
ผ่านไปชั่วครู่ หลินซื่อยาจึงกล่าวว่า “พี่สาม เหมือนฝันไปเลยนะเจ้าคะ”
ตอนที่พวกนางอยู่ที่หมู่บ้านสกุลหลิน มักจะได้ยินได้ฟังมาว่าแม่สามีของพี่รองน่ากลัวนัก แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่จึงทราบว่า ถึงแม่สามีของพี่รองจะน่ากลัวเหมือนที่ข้างนอกเขาว่ากัน แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่ปล่อยให้พวกนางต้องหิวโหย
“อื้ม”
“น้ำพริกหมูก็อร่อยเนอะ”
“อื้ม”
“ชีวิตนี้ ข้าไม่เคยกินน้ำพริกหมูที่อร่อยเท่านี้มาก่อนเลย”
……
จูอู่ทราบว่าผนังบ้านตัวเองไม่เก็บเสียง จึงเรียกหลินซื่อไปพูดข้างนอก ไม่ได้คุยกันในห้อง
เทียบกับคนอื่นในครอบครัวแล้ว เห็นได้ชัดว่าหลินซื่อเข้าใจจูอู่มากกว่าใคร นางจึงมีท่าทางประหม่าอยู่บ้าง
ตอนที่นางเห็นว่าจูอู่ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้ามีสีหน้าเย็นชาลง จิตใจพลันเต้นระทึก รีบให้คำมั่นว่า “ขอโทษด้วย ข้าผิดไปแล้ว ข้ารับประกันว่าจะไม่มีคราวหน้าอีกแล้ว”
“ตอนแรกที่เจ้าแต่งให้ข้า เจ้าพูดอะไรไว้?”
หลินซื่อเห็นสีหน้ามืดครึ้มของเขาแล้วก็รู้สึกกลัว “ข้า…ข้าบอกว่าต่อไปจะไม่สร้างปัญหาให้เจ้า”
“เฮอะ! แล้วตอนนี้เจ้าทำอะไรอยู่?”
“ข้าไม่ได้บอกให้ท่านแม่พาพวกนางกลับมา เจ้าก็เห็นแล้ว ท่านแม่เป็นคนเสนอขึ้นมาเอง…” หลินซื่อขาดความมั่นใจจึงพูดเสียงเบาหวิว
“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่งั้นหรือ? ต่อให้แม่ข้าไม่พูดขึ้นมา เจ้าก็คงจะออกปากเองล่ะสิ?” จูอู่กล่าวอย่างเย็นชา
“ตอนที่เจ้าแต่งให้ข้า ก็คงมีความคิดเช่นนี้อยู่แล้วกระมัง? เจ้าคิดว่าสกุลจูของข้ามีลูกชายเยอะ แบ่งคนไหนก็ได้ให้ครอบครัวพวกเจ้าสักคน พวกเจ้าก็สามารถลืมตาอ้าปากได้แล้วสินะ? หึ! ข้าบอกเจ้าเลย หลิวเหลียนฮวา เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด”
ครั้นได้ยินดังนั้น ขอบตาของหลินซื่อพลันแดงก่ำขึ้นมา นางสั่นศีรษะ “เปล่านะ ข้าเปล่าจริง ๆ นะ…”
“เจ้าคิดหรือไม่ ใจเจ้ารู้ดีที่สุด” จูอู่ไม่สนใจนางอีก เขาหมุนตัวกลับเข้าไปในเรือน
หลินซื่อยืนอยู่ในลานเรือนเพียงลำพัง หลั่งน้ำตาออกมาเงียบ ๆ ไม่กล้าร้องไห้เสียงดังเกินไป
ในขณะที่เย่อวี๋หรานถอนหายใจออกมาเบา ๆ
เฮ้อ…แค่จะออกมาเข้าห้องน้ำ แต่ดันมาได้ยินอะไรแบบนี้เข้า ทำอย่างไรดี?
ในความทรงจำเจ้าของร่างเดิม แม้จูอู่จะไม่ได้มีตัวตนมากนัก แต่ก็เป็นเด็กดีคนหนึ่ง แต่แบบนี้เขาจะโหดกับภรรยาของตัวเองมากเกินไปไหม?
ไฉนเลยจะเหมือนคู่สามีภรรยาที่รักใคร่จิตใจตรงกัน แต่กลับดูเหมือนคู่นักธุรกิจเสียมากกว่า
เย่อวี๋หรานไม่ได้เดินออกไป นางทราบว่าเวลานี้สิ่งที่หลินซื่อต้องการก็คือความสงบ ไม่ใช่การถูกคนอื่นเห็นเข้าในตอนที่นางตกที่นั่งลำบาก
“เอ๋ ท่านแม่ ท่านกลับมาเร็วจัง?” จูปาเม่ยคิดว่ามารดาของนางเพิ่งจะออกไปได้ครู่เดียวเท่านั้น
“ข้าคิดขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ดื่มน้ำ” เย่อวี๋หรานยังไม่ได้เข้าห้องน้ำ สักครู่ยังต้องออกไปอีกรอบ แต่ตอนนี้นางไม่สะดวกที่จะออกไปก็เท่านั้น
“ท่านแม่ ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงนึกอยากจะปลูกดอกไม้ล่ะเจ้าคะ?” จูปาเม่ยชี้ไปยังพริกเฉาเทียนที่วางไว้ตรงหน้าต่าง แล้วพูดต่ออีกว่า “ของแบบนั้นไม่หอมเหมือนหญ้าไล่ยุง แต่กลับราคาตั้งสามเหรียญ แพงเกินไปแล้ว”
“ไม่เข้าใจก็ไม่ต้องพูดมาก แค่มีงานอดิเรกเล็กน้อยก็ไม่ได้รึ?” เย่อวี๋หรานไม่ได้แพร่งพรายเรื่องพริกออกไป ครอบครัวสกุลจูจะขยับฐานะได้หรือไม่ ในอนาคตอาจต้องพึ่งพาพริกเหล่านี้
หากนางแพร่งพรายออกไป แล้วคนในบ้านเอาไปเปิดเผยต่อคนภายนอก เช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า?
จึงได้แต่กำชับให้จูปาเม่ยดูแลให้ดี หากเกิดเหตุไม่คาดฝันกับ ‘ดอกไม้’ กระจาดนี้ ก็จะถลกหนังของนางเสีย
“…” จูปาเม่ยได้แต่ครุ่นคิดในใจ ท่านแม่ดุร้ายขึ้นทุกวัน จะทำอย่างไรดีเนี่ย?
วันรุ่งขึ้น เมื่อเย่อวี๋หรานเห็นหลินซื่อ ก็พบว่านางดูเหมือนจะกลับไปเป็นปกติแล้ว ท่าทางดูเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นเลยเสียอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเย่อวี๋หรานตาไม่มีแวว หรือเพราะฝีมือการแสดงของจูอู่สูงส่งเกินไป นางดูไม่ออกเลยว่าสามีภรรยาคู่นี้มีปัญหากัน
เฮ้อ…นางคงไม่สันทัดเรื่องความรู้สึกอะไรพวกนี้จริง ๆ นั่นแหละ
หลินซานยากับหลินซื่อยาตื่นมาตั้งแต่เช้ามืด คนหนึ่งถือตะกร้าขึ้นเขาไปตัดหญ้าเลี้ยงหมูกับหลิ่วซื่อ อีกคนอุ้มตะกร้าผ้าไปซักที่ริมลำธารกับหลิวซื่อ ส่วนจูปาเม่ยทำอาหารกับหลินซื่ออยู่ในเรือน
คงเป็นเพราะน้องสาวทั้งสองมาพึ่งพาอาศัยที่สกุลจู หลินซื่อที่หลายวันก่อนยังทะเลาะกันกับหลี่ซื่อจึงมีท่าทางโอนอ่อนเชื่อฟังยิ่งนัก ทำอะไรก็คล่องแคล่วกระตือรือร้นไปหมด
ครั้นเย่อวี๋หรานกำลังทำสิ่งใดอยู่ ขอเพียงหลินซื่อมาเห็นเข้าก็จะรีบเข้ามาหา “ท่านแม่ ข้าช่วยนะเจ้าคะ”
“เจ้าทำงานเสร็จแล้วก็พักผ่อนเถอะ เจ้ายังอยู่ไฟ ต้องพักผ่อนอีกหลายวัน” เย่อวี๋หรานไล่นางไปพักผ่อน
หลี่ซื่อเดินเข้ามาหาแม่สามีด้วยท่าทางหลบ ๆ ซ่อน ๆ “ท่านแม่เจ้าคะ ข้ามีเรื่องมาเจรจากับท่าน ท่านว่าทำแบบนี้ได้ไหม”
“เรื่องอะไร?”
“ท่านแม่ ท่านคงจำเรื่องที่พวกเราไปขายน้ำพริกปูดองที่ตลาดได้กระมัง?” หลี่ซื่อเกริ่น จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “เมื่อวานข้าถามต้าเป่ากับเอ้อร์เป่า พวกเขารู้ว่าจะไปหาเจ้าอัปลักษณ์นั่นได้ที่ไหน ข้าว่าพวกเราน่าจะทำน้ำพริกปูขายกันอีกสักหน่อย”
เย่อวี๋หรานเหลือบมองนาง “มีคนมาถามซื้อกับเจ้า?”
หลี่ซื่อกล่าวอย่างขัดเขินว่า “คราวที่แล้ว ตอนข้าขายน้ำพริกปูดอง ได้บอกที่อยู่กับพวกเขาไป เมื่อครู่ข้าออกไปเดินเล่น มีคนเข้ามาถามว่าที่เรือนมีน้ำพริกขายหรือไม่ ช่วงตลาดนัดคราวนั้นนางไปซื้อไม่ทัน แต่สามีของนางไปชิมที่เรือนคนอื่นแล้วก็อยากซื้อกลับไปไว้กินช่วงเก็บเกี่ยว”
เย่อวี๋หรานขมวดคิ้ว “เจ้าบอกพวกเขาชัดเจนหรือยังว่าของพวกนี้ต้องกินแต่พอดี สตรีมีครรภ์กินไม่ได้”
“บอกแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ เรื่องที่ควรระวัง ข้าย่อมไม่ปล่อยผ่านไปแน่นอน ถ้าพวกเขากินแล้วเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ต่อไปยังจะมาถามซื้อกับพวกเราอีกหรือ? ข้าไม่ได้โง่นะเจ้าคะ”
“เจ้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควรก็ดีแล้ว ถ้ากินแล้วเป็นอะไรขึ้นมา คนอื่นไปฟ้องร้องเจ้ากับทางการ ข้าก็ช่วยไม่ได้หรอก”
ครั้นได้ยินคำว่า ทางการ หลี่ซื่อก็เริ่มกลัวขึ้นมาแล้ว นางพลันลูบอกทันใด “ท่านแม่ ท่านอย่าขู่ให้ข้ากลัวสิเจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้ขู่เจ้า ข้าเตือนเจ้าต่างหาก”
“ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่ทำอะไรเหลวไหลแน่นอนเจ้าค่ะ พวกเราจะหาเงินกันในระยะยาว ไม่ใช่การค้าแค่วันสองวัน ถ้าพวกเขากินแล้วเป็นอะไรไป ต่อไปพวกเราจะค้าขายได้อย่างไร? เรื่องนี้ข้าเข้าใจดี”
“เจ้าเข้าใจแล้วก็ดี” เย่อวี๋หรานพูดต่อ “ในเรือนยังมีน้ำพริกหมูเผ็ดอยู่ไม่ใช่หรือ? ถ้ามีคนถาม เจ้าเอาอันนั้นไปขายก่อนก็ได้”
“หา?” หลี่ซื่อย่อมคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนอยู่แล้ว แต่นางยังคงถามอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่ ถ้าข้าซื้อเองก็ไม่เป็นไรหรอก แต่เจ้านี่ใช้เงินส่วนกลางซื้อมาไม่ใช่หรือเจ้าคะ? แล้วทุกคนก็ชอบกินด้วย ถ้าข้าเอาไปขาย…”
“กฎเดิม เข้ากองกลางสองส่วน ส่วนที่เหลือก็แบ่งกัน” เย่อวี๋หรานตัดสินใจเด็ดขาดฉับไว “ในมือเจ้ามีเงินแล้ว ก็อย่าเอาแต่ส่งกลับไปให้บ้านมารดา เก็บไว้ให้ตัวเองด้วย ประเดี๋ยวก็จะถึงกำหนดคลอดเด็กแล้ว ยังมีที่ให้ใช้เงินอีกมาก”
เย่อวี๋หรานกลัวว่าหลี่ซื่อจะเลอะเลือน ทำตัวเถรตรงเกินไป ครอบครัวสกุลหลี่ทางนั้นอาจเข้าใจว่าหลี่ซื่อหาเงินมาได้ง่าย ๆ จิตใจก็อาจบังเกิดความโลภ ถึงตอนนั้นคนที่จะลำบากก็คือหลี่ซื่อ
“ข้าทราบเจ้าค่ะ ท่านแม่ ข้าเก็บเงินไว้อยู่” หลี่ซื่อไม่ได้ใส่ใจมากนัก นางคิดว่าที่ทำอยู่ตอนนี้ก็คือการค้าที่ได้ผลกำไรมาก สามารถทำไปได้อีกนาน ต่อไปจะต้องไม่ขาดเงินแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนที่นางส่งกลับไปบ้านก็เล็กน้อยยิ่งนัก ไม่พอให้บ้านมารดากินข้าวได้หลายมื้อเสียด้วยซ้ำ
MANGA DISCUSSION