บทที่ 73 อาศัยว่าข้าเป็นแม่ของเจ้า
พวกผู้ชายที่อยู่ในเรือนได้ข่าวว่าเย็นนี้ ‘มีของอร่อยกิน’ แต่ละคนก็ดีใจกันจนออกนอกหน้า พากันล้างมืออย่างกระตือรือร้น
เมื่อพวกผู้หญิงยกแป้งกรอบออกมาวางบนโต๊ะ พวกเขาก็นั่งกันพร้อมหน้าแล้ว
นอกจากโจ๊กกับน้ำแกงผัก เย่อวี๋หรานยังยกน้ำพริกหมูเผ็ดเต็มถ้วยออกมาด้วย
แล้วก็เป็นดังเช่นที่ผ่านมา เย่อวี๋หรานเรียกต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าออกมา ‘ท่องตำรา’
หลินซานยากับหลินซื่อยาสะดุ้งตกใจ จับตามองเด็กน้อยทั้งสองอย่างเป็นกังวล กลัวว่าพวกเขาจะท่องไม่ได้
พวกนางไม่รู้จริง ๆ ว่าครอบครัวไหนบ้างจะกินข้าวก็ต้องท่องตำรากันก่อน?!
ทว่าต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าเริ่มคุ้นเคยแล้ว พวกเขาท่องคัมภีร์สัทอักษรใกล้จะจบเล่มแล้ว ตอนนี้ที่ท่องอยู่คือบทสุดท้าย
“ใสกับขุ่น ขมกับเค็ม เปิดหนึ่งครั้งคู่ผนึกสามชั้น[1] เสื้อฟางกันฝนคู่หมวกฟาง ไม้พายคู่ใบเรือ…”
ต้าเป่าท่องเสร็จแล้วก็เป็นรอบของเอ้อร์เป่า
“…เจิ้งหวนกงและเจิ้งอู่กงได้รับชุดคลุมเชิดชูคุณธรรม[2] เซี่ยงป๋อแต่งกวี ‘ชุดแพรงาม’ แทนคำให้ร้าย[3]”
เย่อวี๋หรานพยักหน้า “อืม ท่องได้ดีมาก วันพรุ่งนี้ก็พยายามต่อไปนะ”
ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าพยักหน้าอย่างน่าเอ็นดู “ทราบแล้วขอรับ ท่านย่า”
“วันรุ่งขึ้นข้าจะสอนเรื่องใหม่ให้พวกเจ้า นั่งลงเถอะ”
ครั้นได้รับคำอนุญาตจากเย่อวี๋หราน ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าจึงกลับไปนั่งที่
ถึงจะรู้แต่แรกแล้วว่าจูชีท่องได้ แต่เย่อวี๋หรานก็ไม่ได้ยกเว้นเขา เรียกเขามาท่องหนึ่งรอบ
จูชีมีความสามารถผ่านหูไม่ลืมเลือน ทั้งยังรับหน้าที่สอนเด็กสองคนในบ้าน ย่อมไม่มีเหตุการณ์อย่างการท่องไม่ได้เกิดขึ้นอยู่แล้ว
สุดท้าย เย่อวี๋หรานก็เรียกจูปาเม่ย
จูปาเม่ยไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่นางทราบว่ามารดายืนกรานปฏิบัติต่อนางเช่นเดียวกับต้าเป่า เอ้อร์เป่า และจูชี นางก็จนปัญญาจะต่อต้าน จึงท่องออกมาอย่างว่าง่าย
ยังดีที่การท่องอะไรพวกนี้ไม่ได้ยากเย็นสำหรับนาง ถึงจะท่องติด ๆ ขัด ๆ แต่อย่างน้อยก็ท่องออกมาจนจบ
หลินซานยากับหลินซื่อยาแอบกลัวแล้ว อะไรเนี่ย?! เด็กผู้หญิงก็ต้องท่องด้วย!
เย่อวี๋หรานไม่ค่อยพอใจกับการท่องของจูปาเม่ยเท่าไหร่นัก นางพูดว่า “เสี่ยวเม่ย ถึงเจ้าจะเป็นเด็กผู้หญิง ข้าไม่ได้ตั้งความคาดหวังกับเจ้าไว้สูงอะไร แต่เจ้าก็ไม่อาจสู้ได้แม้แต่หลานสองคนของเจ้ากระมัง? เจ้าดูเอ้อร์เป่า เขาเพิ่งจะโตสักเท่าไหร่เชียว ยังท่องได้คล่องกว่าเจ้าเสียอีก”
จูปาเม่ยหน้าแดง “ท่านแม่…เมื่อเช้าข้าไปตลาดนัดมานี่นา”
“แต่ตอนเที่ยงข้าก็ไม่ได้สอนเรื่องใหม่ให้เจ้าเสียหน่อย ทั้งวันเจ้ายังท่องบทสุดท้ายไม่ได้?”
จูปาเม่ยเม้มปาก
“เรื่องการเรียนไม่อาจหาข้ออ้างมาบ่ายเบี่ยง เข้าใจหรือไม่? ผัดผ่อนไปวันแล้ววันเล่า แล้วจะเริ่มทำให้ดีเมื่อไหร่ เจ้าแอบเกียจคร้านวันหนึ่ง ก็จะแอบเกียจคร้านได้อีกครั้ง รอจนเจ้าแอบเกียจคร้านจนชินชาแล้ว เจ้าก็จะเคยชินกับเรื่องพวกนี้ ต่อไปก็ไม่ใส่ใจต่อการเรียนอีก ทั้งชีวิตก็เป็นเช่นนี้แล้ว”
เย่อวี๋หรานยังพูดต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้ามีปณิธานยิ่งใหญ่ อยากเป็นฮูหยินน้อยมาตลอดไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็ดึงความสามารถที่แท้จริงออกมาใช้เสีย”
จูปาเม่ยก้มหน้าขานรับ “เจ้าค่ะ”
“แกะหนึ่งตัวต้องจูง สองตัวก็ต้องจูง” เย่อวี๋หรานพูดแล้วก็หันไปมองหลินซานยากับหลินซื่อยา เด็กสองคนนั้นหนังศีรษะชาวูบ “ต่อไปซานยากับซื่อยาก็ให้เจ้าดูแล เจ้ารับผิดชอบสอนให้พวกนางทั้งสองคนท่อง ถ้าพวกนางท่องไม่ได้ ก็เป็นเช่นเดียวกับพี่เจ็ดของเจ้า มีส่วนรับผิดชอบด้วย การไม่ต้องกินข้าว”
“อาศัยอะไร?!” จูปาเม่ยตะลึงแล้วหันไปถลึงตาใส่หลินซานยากับหลินซื่อยา
“ก็อาศัยที่ข้าเป็นแม่เจ้า ข้าพูดคำไหนก็เป็นคำนั้น”
จูปาเม่ยชะงัก
หลินซานยากับหลินซื่อยาคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้จะเดือดร้อนมาถึงตนเองด้วย ต่างมีสีหน้างุนงงว่าทำไมเรื่องนี้ถึงมีพวกข้าสองคนด้วยล่ะ?!
หลินซื่อเห็นแล้วก็รีบสะกิดน้องสาวทั้งสองคนทันที จากนั้นก็ตกปากรับคำกับแม่สามีว่านางจะดูแลน้องสาวให้ดี ให้พวกนางตั้งใจเรียนรู้กับเสี่ยวเม่ย นี่เป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่เชียวนะ เรียนรู้ไว้ไม่เสียหาย อย่าโง่สิ!
“…” หลินซานยากับหลินซื่อยาได้แต่ครุ่นคิดในใจ ไม่ ข้าไม่อยากเรียน
เย่อวี๋หรานมองข้ามปฏิกิริยาเหล่านั้นอย่างเห็นได้ชัด นางตักน้ำพริกหมูให้ทุกคนลองชิมก่อนคนละช้อน “เจ้านี่ค่อนข้างเผ็ด พวกเจ้าลองใช้ตะเกียบแตะชิมรสชาติดูก่อน ถ้าไม่ชินก็ไม่ต้องกิน แต่ถ้าชอบก็สามารถเอาไปกินกับแป้งกรอบได้”
คนอื่น ๆ เห็นว่าเรื่องไม่ตกมาถึงตัวเองจึงไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะจูเหล่าโถว เขาไม่กังวลเลยสักนิด ไม่ว่าภรรยาของเขาคิดจะก่อเรื่องอะไร ก็ไม่มีทางวุ่นวายมาถึงตนเองได้
“ซี้ด…รสชาตินี้!” จูซานทำปากแจ๊บ ๆ รู้สึกว่าสะใจมาก “ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”
“ไอ้หยา สุดยอดจริง ๆ! ควรจะกินอะไรที่จัดจ้านถึงใจแบบนี้มานานแล้ว!”
“ท่านแม่ ข้าชอบอันนี้ ขออีกหน่อยนะขอรับ”
……
บรรดาผู้ใหญ่รวมถึงหลินซื่อที่กำลังอยู่เดือนอยู่ไฟล้วนกินได้ไม่มีปัญหา แม้จะรู้สึกว่ารสชาติ ‘เผ็ดร้อน’ แต่ก็ไม่ถึงกับกินไม่ได้เลย
เพียงแต่คนที่กินเป็นครั้งแรกอาจตกใจสักหน่อย คิดว่าตนเองคงไม่อาจทานทนรสชาติเช่นนี้ได้
แต่เมื่อรำลึกขึ้นมาในภายหลังก็จะถวิลหารสชาติเช่นนั้นอีกครั้ง อยากจะ ‘ดื่มด่ำ’ รสชาติแบบนั้นอีก
อืม จะว่าอย่างไรดี ถ้าคิดว่าเผ็ดเกินไป ก็กัดแป้งกรอบสักคำแล้วดื่มน้ำแกงสักหน่อยก็พอรับไหวแล้ว
กระทั่งต้าเป่ากับเอ้อร์เป่ายังใช้แป้งกรอบจิ้มน้ำพริกแล้วกัดคำหนึ่ง จากนั้นกินน้ำแกงผักตามลงไป เด็กสองคนล้วนพอใจยิ่งนัก “ท่านย่า อร่อยขอรับ!”
เย่อวี๋หรานชำเลืองมองน้ำแกงที่เด็กทั้งสองคนกินอยู่ ต้องอร่อยอยู่แล้วสิ น้ำแกงนั้นใช้กระดูกหมูเคี่ยวออกมาเชียวนะ
แม้ว่าน้ำแกงกระดูกหมูผสมน้ำลงไปจะเจือจางลงบ้าง แต่ถึงอย่างไรก็ดีกว่าไม่ได้กินของมันสักมื้อเลยกระมัง?
ถ้าถึงขั้นนี้แล้วยังไม่อร่อย นางก็คงต้องสงสัยว่าตนเองอาจผสมน้ำมากเกินไปแล้ว
“ก็ได้ ในเมื่อพวกเจ้ากินได้ทุกคน งั้นก็คนละหนึ่งช้อนใหญ่ กินหมดก็ไม่มีแล้ว ประหยัดสักหน่อย วันหน้ายังมีให้กินอีก” เย่อวี๋หรานตักให้พวกเขาอีกคนละหนึ่งช้อนใหญ่
หลินซานยากับหลินซื่อยากินข้าวกับครอบครัวสกุลจูเป็นครั้งแรกยังค่อนข้างเขินอายอยู่บ้าง ไม่กล้าส่งเสียงสักน้อย ทุกคนทำเช่นไร พวกนางก็เลียนแบบคนส่วนใหญ่เช่นนั้น
เย่อวี๋หรานไม่ได้ดูแลพวกนางเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้ตกหล่นส่วนของพวกนางไปเช่นกัน
หลินซานยากับหลินซื่อยาพึงพอใจยิ่งนัก พวกนางคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่า อาหารที่ได้กินในเรือนสกุลจูยังดีกว่าที่เรือนของตนเองเสียอีก
เมื่อคิดถึงบ้าน พวกนางก็อดทอดถอนใจออกมาไม่ได้
เฮ้อ… เสบียงอาหารล้วนอยู่ในมือของท่านย่า พวกนางจะกินอิ่มได้อย่างไร?
ทว่าแต่ละครั้งที่หิวโหยจนท้องร้องโครกคราก พวกนางได้รับอะไรกลับมาบ้าง?
การมองข้ามของบิดาแท้ ๆ รวมถึงคำดุด่าของคนเป็นย่าที่ว่า “ผีหิวโหยกลับชาติมาเกิดแท้ ๆ ! วัน ๆ รู้จักแต่หิว ๆๆ ทำไมพวกเจ้าไม่หิวตายไปเสีย?”
อีกฝ่ายทำราวกับว่าพวกนางได้กินอะไรมากมายอย่างนั้นแหละ มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่ทราบว่าอาหารที่พวกนางได้กินมักจะน้อยกว่าคนอื่นอยู่ครึ่งหนึ่งเสมอ ทว่างานที่ต้องทำกลับมีมากยิ่งกว่าใคร ๆ
แน่นอนว่าถ้าพวกนางไม่ต้องเรียนอะไรกับจูปาเม่ยเลยก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
“ท่านแม่ ฝีมือของท่านล้ำเลิศขึ้นทุกวันแล้ว!”
“ท่านแม่ อร่อยเจ้าค่ะ!”
ทุกคนเจริญอาหารขึ้นมาก กินแป้งกรอบแผ่นใหญ่หลายชิ้นแล้วก็ยังไม่อิ่ม
โชคดีที่เย่อวี๋หรานเตรียมการไว้ล่วงหน้า ต้มน้ำแกงไว้มากกว่าเดิม ให้พวกเขาได้ซดกันอีกคนละสองถ้วย เช่นนี้จึงอิ่มหนำสำราญกันถ้วนหน้า
“สะใจ! นานแล้วที่ไม่ได้กินจุใจแบบนี้!”
“ใช่น่ะสิ วัน ๆ กินแต่หัวไชเท้าเอย ผักเอย กินจนจะกินต่อไปไม่ไหวแล้ว”
“อุ๊บ…จูซาน เจ้ายังดีที่มีกิน บ้านจูถงฮว่าน่ะ แม้แต่โจ๊กของพวกเขาก็ยังโหรงเหรงจนเห็นก้นหม้อแล้ว เจ้ารู้จักพอเสียบ้างเถอะ”
“แหะ ๆ! ข้าก็แค่พูดเกินความจริงไปหน่อยเท่านั้นเอง”
……
อาหารเย็นมื้อนี้ ทุกคนกินกันอย่างสำราญใจยิ่งนัก ยกเว้นก็แต่หลินซานยากับหลินซื่อยาที่ยังมีเรื่องในใจ
[1] เปิดหนึ่งครั้งคู่ผนึกสามชั้น เป็นสำนวนมาจากภาษาจีนว่า 一启对三缄 เปิดคือการเปิดปากพูด ส่วนผนึกสามชั้นเป็นการอุปมาว่าให้ปิดผนึกสามชั้นไว้บนปาก มีความหมายโดยรวมว่า ให้ระวังคำพูด
[2] เจิ้งหวนกงและเจิ้งอู่กงเป็นเจ้ารัฐเจิ้งในยุคชุนชิว เจิ้งหวนกงเป็นบิดาของเจิ้งอู่กง ทั้งคู่ถูกแต่งตั้งเป็นซือถู (ตำแหน่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่) ของราชสำนักโจวต่อเนื่องกัน กล่าวกันว่าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่เต็มความสามารถด้วยความรักใคร่เมตตาประชาชน จึงมีการแต่งกลอน《缁衣》หมายถึง ชุดคลุมขุนนางสีดำ เพื่อเชิดชูคุณธรรมของคนทั้งสอง
[3] ยุคชุนชิว โจวโยวหวางเชื่อคำใส่ร้ายจึงสั่งลงโทษเซี่ยงป๋อ เซี่ยงป๋อจึงแต่งกลอน《贝锦》เพื่อไว้ทุกข์ให้ตนเอง 贝锦 หมายถึง ชุดแพรเลื่อมพรายเหมือนเปลือกหอย ในกลอนใช้ชุดแพรที่ทอลายอย่างงดงาม อุปมาถึงคำพูดใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น
MANGA DISCUSSION