บทที่ 71 น้ำพริกหมูเผ็ด
เย่อวี๋หรานกลับห้องไปบอกจูปาเม่ยว่าไม่ต้องถักสร้อยข้อมือแล้ว ให้พาหลินซานยากับหลินซื่อยาไปเก็บต้นหอม หัวไชเท้า และผักกาดขาวจากในสวนมาสักหน่อย
หลิ่วซื่อ หลิวซื่อ และหลี่ซื่อล้างเครื่องในหมูเสร็จแล้วก็มาบอกนาง
เย่อวี๋หรานตรวจดูเล็กน้อย ให้พวกนางใช้น้ำอุ่นล้างสองสามรอบก็ยกไปที่ครัว
วันที่อากาศร้อนไม่อาจทิ้งเนื้อสัตว์ไว้นาน ๆ มิเช่นนั้นจะเสียง่าย ดังนั้นเย่อวี๋หรานตั้งใจว่าจะแบ่งส่วนหนึ่งไว้หมัก อีกส่วนนำไปปรุงสุก เช่นนี้จึงจะสามารถเก็บไว้กินได้หลายมื้อ
บรรดาลูกสะใภ้ต่างยืนอยู่รอบเตาเพื่อดูนางทำอาหาร
นางทำไปด้วยสอนไปด้วย ให้พวกนางถามตรงจุดที่ไม่เข้าใจ นางจะทำแค่ครั้งนี้เท่านั้น ต่อไปก็ให้พวกนางทำกันเองแล้ว
จูปาเม่ย หลินซานยา และหลินซื่อยาพากันเก็บต้นหอม หัวไชเท้า และผักกาดขาวกลับมาแล้วก็ช่วยเอาผักเหล่านั้นไปล้าง
เย่อวี๋หรานกลับห้องไปเอาพริกเฉาเทียนในกระจาดมาสามสี่เม็ด ล้างเล็กน้อย จากนั้นก็สับให้ละเอียด
“ท่านแม่ นี่คืออะไรเจ้าคะ?” หลี่ซื่อมีสีหน้าสงสัยใคร่รู้
“ไม่ต้องสนใจ แต่เอามาทำของกินได้ก็พอแล้ว”
เย่อวี๋หรานไม่ได้อธิบาย นางนำหัวไชเท้า ผักกาดขาว และต้นหอมมาหั่นฝอย ล้างกระทะขึ้นตั้งบนเตา ประเดี๋ยวจะใช้ผัดอาหาร
หากยึดตามความคิดของเย่อวี๋หราน นางต้องอยากเอาเครื่องในหมูมาผัดอยู่แล้ว แต่เมื่อพิจารณาถึงสมาชิกในครอบครัวที่มีอยู่จำนวนมาก ถ้าหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วเอามาผัด เกรงว่าแบ่งอาหารได้ไม่เท่ากันแล้วก็จะเกิดปัญหาตามมา จึงเปลี่ยนไปทำ ‘น้ำพริกหมู’
“เมียเจ้าใหญ่ เจ้าสับเครื่องในหมูให้ละเอียด”
“เมียเจ้ารอง เจ้าไปล้างมันเทศมาสักหน่อย”
“เมียเจ้าสี่ เจ้าเลือกเอาแกนผักกาดขาวออกมาซิ”
……
ถึงแม้ไม่มีน้ำมัน แต่เย่อวี๋หรานก็ไม่กังวลใจ นางนำหมูสับไปคั่วในกระทะที่ร้อนได้ที่แล้ว จากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ซี่ ๆๆ’
ถึงจะน้อยแต่นี่ก็คือน้ำมันไม่ใช่หรือ?
ผัดจนเนื้อเปลี่ยนสี เย่อวี๋หรานก็เทพริกเฉาเทียนที่ซอยเสร็จแล้วใส่ลงในกระทะ ตามด้วยผักกาดขาว หัวไชเท้าหั่นฝอย รวมถึงต้นหอมซอย
ไม่มีเครื่องปรุงรสก็เติมน้ำเปล่าลงไปเพื่อไม่ให้เนื้อติดกระทะ
นางอยากได้รสสัมผัสข้น ๆ เหนียว ๆ จึงเอาแป้งมันผสมน้ำเทลงไปแล้วผัดให้เข้ากัน
ผ่านไปเพียงครู่เดียว น้ำพริกหมูหนึ่งโถใหญ่ก็เสร็จเรียบร้อย ก่อนจะวางทิ้งไว้ข้าง ๆ ให้เย็นลง
เย่อวี๋หรานใช้ตะเกียบแตะขึ้นมาชิมรส รสชาติของเนื้อย่อมมีอยู่แล้ว ยังมีรสชาติของหัวไชเท้าและรสเผ็ดจากพริกมาด้วย
การได้กินรสเผ็ดที่คุ้นเคยทำให้เย่อวี๋หรานรู้สึกพอใจยิ่งนัก!
ตอนที่นางชิมอยู่ ลูกสะใภ้ทั้งหลายต่างจ้องนางตาไม่กะพริบ
เย่อวี๋หรานเห็นแล้วก็นึกอยากหัวเราะ แล้วใช้ตะเกียบจิ้มน้ำพริกหมูส่งเข้าปากพวกนาง เพื่อให้พวกนางชิมรสชาติ “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ซี้ด…ท่านแม่ นี่รสชาติอะไรเจ้าคะ?” หลี่ซื่อบอกไม่ถูก “อร่อยอยู่นะเจ้าคะ แต่รู้สึกเหมือนมีไฟลุกอยู่ในปาก ไม่ได้ ๆ ข้าต้องหาน้ำมาดื่มสักหน่อยแล้ว”
บรรดาลูกสะใภ้ต่างก็รีบไปหาน้ำดื่มกันยกใหญ่
“อุ๊บ…” เย่อวี๋หรานหลุดหัวเราะ “พวกเจ้าเพิ่งได้กินเป็นครั้งแรก พอกินจนชินแล้วก็ไม่เป็นอะไรแล้ว รสชาติร้อนเหมือนไฟนี้เรียกว่ารสเผ็ด พวกเจ้าไม่รู้สึกบ้างหรือว่าพอน้ำพริกหมูมีรสเผ็ดแบบนี้แล้วหอมขึ้นมากเลย”
“หอมเจ้าค่ะ แต่เผ็ดเกินไป นี่คือรสเผ็ดสินะ?” หลังดื่มน้ำแล้วหลี่ซื่อก็พบว่ารสชาติในปากเหมือนจะเผ็ดยิ่งกว่าเดิม
เย่อวี๋หรานใส่พริกแค่สามสี่เม็ดก็ทำน้ำพริกหมูออกมาได้โถใหญ่ ทั้งยังใส่ผักกาดขาวและหัวไชเท้าลงไปไม่น้อย ย่อมไม่ได้เผ็ดมากอย่างที่พวกนางพูด มิเช่นนั้นก็คงไม่กล้าให้พวกนางกินแล้ว
นับประสาอะไรกับหลินซื่อที่ต้องอยู่ไฟ นางจะกินเผ็ดได้หรือ?
แต่เป็นเพราะพวกนางไม่เคยกินของที่มีรสชาติเช่นนี้มาก่อน จึงรู้สึกว่าเผ็ดมาก
“อืม ตอนนี้กินแค่อย่างเดียวอาจรู้สึกว่าเผ็ดไปบ้าง แต่ต่อไปเอาไปกินกับแป้งกรอบหรือโจ๊ก พวกเจ้าก็ไม่รู้สึกว่าเผ็ดมากเท่านี้แล้ว”
เย่อวี๋หรานเรียกหาจูปาเม่ย ตักน้ำพริกหมูแบ่งใส่ถ้วยเล็ก ๆ ให้นางเอาไปส่งที่เรือนท่านปู่
“หา? ทำไมต้องเอาไปให้ที่เรือนท่านปู่ด้วย?” จูปาเม่ยยังนึกว่าเรียกตนเองมากิน ‘มื้อพิเศษ’ เสียอีก กลายเป็นว่าจะให้นางเอาของไปส่งเสียอย่างนั้น จึงไม่ใคร่เต็มใจไป
ครอบครัวของนางตัดขาดกับครอบครัวท่านปู่นานแล้ว ยังจะต้องส่งสิ่งของไปให้ทำไมกัน?
เย่อวี๋หรานจิ้มหน้าผากนาง “เจ้าโง่จริง เรื่องพี่เจ็ดของเจ้าคราวก่อน ญาติผู้พี่สองคนของเจ้าก็ช่วยเหลืออยู่บ้าง ในฐานะน้องสาว เจ้าไม่ควรไปขอบคุณพวกเขาแทนพี่ชายหน่อยหรือ?”
“เจ้าค่ะ” นึกถึงตอนที่พี่เจ็ดนอนกองอยู่บนพื้น พี่ชายสองคนนั้นก็มาช่วยหาม นางจึงไม่พูดอะไรอีก
“ไปแล้วก็พูดจาดี ๆ หน่อย เจอใครก็ต้องทักทาย บอกท่านอากับอาสะใภ้ของเจ้าว่าขอบคุณญาติผู้พี่ที่ช่วยเหลือ แต่ช่วงนี้ที่เรือนยุ่งจนไม่มีเวลา ครั้งนี้แม่เจ้าไปตลาดนัดซื้อเนื้อมาโดยเฉพาะ ทำของกินส่งมาให้เพื่อแสดงความขอบคุณ” เย่อวี๋หรานกลัวว่าอีกเดี๋ยวนางจะลืมจึงบอกให้นางพูดซ้ำอีกรอบ
จูปาเม่ยมุ่ยปากแล้วเอ่ยว่า “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ สวัสดีท่านปู่ท่านย่า อาสาม อาสะใภ้สาม อาสี่ อาสะใภ้สี่ ญาติผู้พี่ทั้งชายหญิงทุกคน ข้าเป็นตัวแทนครอบครัวมาขอบคุณญาติผู้พี่ที่ช่วยเหลือคราวก่อน แต่เพราะช่วงนี้ที่เรือนมีเรื่องมาก ค่อนข้างยุ่ง แม่ข้าไม่มีเวลาว่างเสียที ครั้งนี้ในที่สุดก็ว่างแล้ว จึงไปตลาดเพื่อซื้อเนื้อกลับมาทำอาหารอร่อย ๆ ส่งมาให้แทนคำขอบคุณ”
เย่อวี๋หรานยกนิ้วโป้งให้ “พูดได้ดีมาก อีกหน่อยก็ทำตัวดี ๆ ล่ะ”
ทั้งยังไม่ลืมเตือนนางว่า ถ้าไม่กล้าไปคนเดียวก็ให้พาต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าไปด้วย
“พาพวกเขาไปด้วยทำไมเจ้าคะ?”
เย่อวี๋หรานมองนางอย่างเอือม ๆ “เจ้าเป็นหลานสาว ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าเป็นเหลนชาย ท่านปู่ท่านย่าของเจ้าจะไม่อยากเห็นหน้าสักหน่อยหรือ?”
“ก็ได้เจ้าค่ะ” จูปาเม่ยหมดคำพูดแล้วก็หยิบตะกร้าขึ้นมา จากนั้นก็เรียกต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าที่เล่นกับจูชีอยู่ในเรือน ให้ไปเรือนท่านปู่ท่านย่าด้วยกัน
จูเหล่าโถวกับคนอื่น ๆ ก็อยู่ในเรือนเช่นกัน จึงได้ยินว่าจูปาเม่ยบอกว่าจะไปที่ไหน แต่ละคนล้วนประหลาดใจอย่างยิ่ง
บรรดาลูกชายยังดีอยู่ คนที่อายุน้อยหน่อยย่อมไม่ทราบเรื่องราวในปีนั้นชัดเจนนัก แต่จูเหล่าโถวในฐานะที่เป็นเจ้าเรื่องโดยตรงยังจะไม่แจ้งแก่ใจอีกหรือ?
ดังนั้นเขาไม่รู้แล้วว่าภรรยาของเขาจะมาไม้ไหน หัวใจพลันเต้นแรงขึ้นมา ถ้าไม่ใช่เพราะลูกสะใภ้ล้วนอยู่ในห้องครัว เขาคงจะรุดเข้าไปคาดคั้นถามแล้วว่า ข้าทำตามที่เจ้าต้องการแล้ว ออกห่างจากพ่อแม่ข้ามาไกลลิบเช่นนี้ เจ้ายังจะสร้างเรื่องวุ่นวายอะไรอีก?
สุดท้ายก็นั่งไม่ติด เดินกระสับกระส่ายไปถึงหน้าประตูห้องครัว
เขาได้ยินเสียงหลี่ซื่อที่ช่างเจรจาถามขึ้นพอดี “ท่านแม่ ท่านส่งของไปให้ทางนั้นทำไมเจ้าคะ?”
ถึงจะแค่ถ้วยเล็ก ๆ แต่ในนั้นก็คือเนื้อเหมือนกัน หลี่ซื่อรู้สึกเหมือนกำลังเฉือนเนื้อตัวเองออกไป
“ข้าก็บอกแล้วไม่ใช่หรือ คนเขาช่วยเหลือก็ควรขอบคุณ” เย่อวี๋หรานกล่าว
“แต่ส่งของไปขอบคุณแล้ว พวกเขาก็ต้องให้อะไรกลับคืนมาด้วยน่ะสิเจ้าคะ? ให้กันไปให้กันมา สองฝั่งก็คงจะเริ่มไปมาหาสู่กันแล้ว? แบบนี้ถ้าข้าเจอคนทางนั้นก็ต้องทักทายด้วยหรือเปล่าเจ้าคะ?” หลี่ซื่อถามคำถามที่ลูกสะใภ้ทั้งหลายต่างก็อยากรู้ขึ้นมา
คนทั่วทั้งหมู่บ้านสกุลจูล้วนทราบว่าครอบครัวจูเหล่าโถวกับทางนั้นไม่ไปมาหาสู่กัน ดังนั้นลูกสะใภ้ที่แต่งเข้ามา เมื่อพบคนทางนั้น ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ทำเป็นมองไม่เห็น ก้มหน้าเดินผ่านไป
ตอนนี้แม่สามีกลับเริ่มส่งของไปให้ทางนั้น อย่างนั้นเหล่าลูกสะใภ้ควรวางตัวอย่างไร?
“ทำไมจะไม่ทักทาย?” เย่อวี๋หรานถามอย่างประหลาดใจ “พวกเจ้าเป็นผู้เยาว์ พบผู้อาวุโสก็ต้องทักทายแสดงความเคารพ นี่เป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่หรือไร?”
“…” เหล่าลูกสะใภ้ได้แต่ครุ่นคิดว่า ท่านแม่ เมื่อก่อนท่านไม่ได้พูดแบบนี้นี่
นอกห้องครัว จูเหล่าโถวแทบไม่อยากเชื่อ เมียข้าเตรียมจะไปมาหาสู่กับทางนั้นแล้ว?!
เขาตื่นเต้นยิ่งนัก อยากจะรุดไปหาทางนั้นแล้วร้องเรียก ‘ท่านพ่อท่านแม่’ พูดอะไรทำนองว่า ‘ข้ากลับมาแล้ว’ ใจจะขาด
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ได้หุนหันพลันแล่นจนถึงขั้นนั้น แต่หยุดอยู่ตรงนั้น แสร้งทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น กลับไปนั่งลงตำแหน่งเดิม
จูต้ากับจูเอ้อร์ไม่ได้ยินบทสนทนาในห้องครัว แต่พวกเขามองเห็นสีหน้ายินดีของผู้เป็นบิดาอย่างชัดเจน ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ ไม่รู้ว่าบิดาของพวกเขายินดีเรื่องอะไร ก็แค่ของกินถ้วยเล็ก ๆ เท่านั้น จำเป็นต้องยินดีเพียงนั้นเลย?
MANGA DISCUSSION