บทที่ 70 ล้างเครื่องในหมู
“ท่านแม่!” จูปาเม่ยที่เมื่อครู่นี้ยังยินดีในเคราะห์ของผู้อื่นอยู่พลันห่อเหี่ยวลงทันใด
“ข้าไม่อยู่ครึ่งวัน เจ้าถักสร้อยข้อมือเสร็จแล้วรึ?” เย่อวี๋หรานถาม
จูปาเม่ยคอตกพลางพูด “ยังเจ้าค่ะ…”
“ไม่เสร็จแล้วยังไม่รีบถักอีก เดี๋ยวทำเสร็จแล้วให้มาช่วยงานข้า งานในครัวยังมีอีกมาก อย่าเอาแต่แอบอู้”
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่”
เย่อวี๋หรานสั่งความเสร็จก็ผละจากไป จูปาเม่ยถลึงตามองหลินซานยากับหลินซื่อยาอย่างไม่พอใจ
ถึงมารดาของนางไม่ได้พูด แต่นางยังจะฟังไม่ออกอีกหรือ ท่านแม่คงจะเห็นว่าลูกสาวบ้านคนอื่นขยันทำงาน ส่วนนางเกียจคร้านเกินไป
ฮึ! เป็นเพราะพวกนางทั้งนั้น
“…” หลินซานยากับหลินซื่อยาได้แต่คิดว่า ช่างเถอะ ทำงานต่อดีกว่า
หลี่ซื่อแบกท้องอุ้ยอ้ายของนางไปชมความครึกครื้นท้ายเรือนสักครู่ ไม่นานก็กลับมารายงานเย่อวี๋หรานว่าพี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองทำงานคืบหน้าถึงไหนกันแล้ว
“พอแล้ว เจ้าก็เพ่นพ่านไปมาให้น้อยหน่อย เครื่องในหมูยังไม่ได้ล้าง ถ้าเจ้าว่างก็เอาไปล้างเถอะ” เย่อวี๋หรานหยิบเครื่องในหมูที่แช่ไว้ในถังไม้ขึ้นมา “เอาชามไปตักขี้เถ้ามาสักหน่อย แล้วตามไปล้างกับข้าที่คอกหมูท้ายเรือน”
ท้ายเรือนมีโอ่งใหญ่ใบหนึ่ง ทั้งยังมีรางน้ำที่ทอดผ่านคอกหมูไปหาห้องส้วม ‘น้ำสกปรก’ พวกนั้นมารวมกันกลายเป็น ‘ปุ๋ยคอก’ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเพาะปลูก
“เจ้าค่ะ ข้าทราบแล้ว” แม้หลินซื่อจะไม่ใคร่เข้าใจนักว่าทำไมต้องตักขี้เถ้าไปด้วย แต่ก็หาชามเก่า ๆ ใบหนึ่งมาตักขี้เถ้าแล้วเดินตามไป
เย่อวี๋หรานยังกลับไปหยิบกรรไกรจากในห้อง จากนั้นแวะไปเอาซี่ไม้ไผ่จากห้องเก็บฟืน
“ใช้กรรไกรตัดไส้หมูแล้วโยนใส่ในชาม เอาน้ำมาผสมกับขี้เถ้าแล้วนวดแบบนี้…เวลาตัดให้ระวังหน่อย ของสกปรกไม่ต้องโยนใส่ในชาม ให้ทิ้งไว้ข้างนอก แล้วค่อยเอาไปเททิ้งในห้องส้วม”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่” หลี่ซื่อหาเก้าอี้เล็ก ๆ มาตัวหนึ่ง จากนั้นนั่งลงทำงาน
หลังตัดไส้หมู ข้างในยังมีของสกปรกเหลืออยู่มาก ก็ใช้ซี่ไม้ไผ่ไล่สิ่งสกปรกออกมา เท่านี้ก็สะอาดขึ้นมากแล้ว
จากนั้นเอาใส่ชาม นวดคลุกกับน้ำขี้เถ้า
“ตรงนี้ยังมีหนังอยู่ ให้ฉีกทิ้ง เท่านี้ก็ไม่สกปรกแล้ว” เย่อวี๋หรานยกส่วนอื่นขึ้นมาชี้ให้หลี่ซื่อดูว่าต้องจัดการอย่างไร
หลี่ซื่อดูแม่สามีสาธิตให้ดู ผ่านไปไม่นานก็สะอาดขึ้นมาก จึงพูดอย่างตะลึงว่า “ท่านแม่ ท่านร้ายกาจเกินไปแล้ว ท่านรู้วิธีแบบนี้ด้วย? แม่ข้าซื้อเครื่องในหมูมาครึ่งค่อนชีวิตยังไม่รู้เลยว่ายังทำแบบนี้ได้ด้วย”
เครื่องในหมูทั้งสกปรกและเหม็น ว่ากันตามตรงแล้วถ้าไม่ยากจนจริง ๆ จนไม่มีทางเลือกอื่น คนทั่วไปก็ไม่อยากจะซื้อ
แต่ไม่อยากซื้อก็ช่วยไม่ได้ ทั้งปีได้กินเนื้ออยู่ไม่กี่ครั้ง ซื้อเนื้อดี ๆ กินไม่ไหว ก็ได้แต่หักใจซื้อเครื่องในหมู
หลี่ซื่อโตมาจนป่านนี้ กลับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นวิธีล้างเครื่องในหมูเช่นนี้ พลันบังเกิดความรู้สึกเหมือนกับว่าได้ ‘เปิดโลกทัศน์’ รับความรู้ใหม่อย่างไรอย่างนั้น
“เครื่องในหมูถ้าทำความสะอาดดี ๆ ที่จริงแล้วอร่อยมาก เพียงแต่ปกติพวกเราไม่ได้มีตัวเลือกมากขนาดนั้น ได้แค่ใช้น้ำร้อนล้างเอา ไม่ได้พิถีพิถันอะไรมาก” เย่อวี๋หรานล้างอย่างคล่องแคล่วพลางพูดไปด้วย “เย็นนี้ข้าจะทำอาหารจานเด็ด ถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็รู้เองว่าเจ้านี่อร่อยแค่ไหน”
หลี่ซื่อนึกถึงรสชาติเครื่องในหมูที่เคยกินมาแล้วรู้สึกว่ายากจะเชื่ออยู่บ้าง “ท่านแม่ จริงหรือเจ้าคะ? ข้ากินเครื่องในหมูมาตั้งหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยจะรู้สึกว่ามันอร่อยเลย”
“เจ้ายังไม่เชื่อมั่นในฝีมือข้าอีกหรือ?” เย่อวี๋หรานตอบโดยที่กระทั่งเปลือกตาก็ยังไม่ขยับ
หลี่ซื่อนึกถึงลูกชิ้นปลาและน้ำพริกปูที่เคยได้กินก่อนหน้านี้ ก็คิดว่าตนเองควรจะเชื่อใจแม่สามีสักหน่อย “เชื่อเจ้าค่ะ จะไม่เชื่อได้อย่างไรเจ้าคะ? ฝีมือของท่านแม่ล้ำเลิศยิ่งนัก งั้นข้าก็จะตั้งตารอกินของอร่อยเย็นนี้แล้วนะเจ้าคะ”
หลิ่วซื่อ หลิวซื่อ และหลินซื่อทำความสะอาดห้องเก็บของเบ็ดเตล็ดเสร็จแล้วเดินออกมา ครั้นเห็นแม่สามีกับหลี่ซื่อกำลังล้างเครื่องในหมูอยู่ข้างนอกก็รีบเข้ามาช่วยอีกแรง
“เมียเจ้าห้าไม่ต้องทำ เจ้าเพิ่งจะแท้งมา ไม่ควรแตะน้ำเย็น” เย่อวี๋หรานปรามหลินซื่อ “เจ้าไปต้มน้ำร้อนในห้องครัว ทำเสร็จแล้วค่อยเรียกข้า ข้าขอทำอะไรตรงนี้ก่อน”
หลิวซื่อลอบมองหลินซื่อ
หลินซื่อคิดไม่ถึงว่าแม่สามีจะเป็นห่วงเป็นใยนาง ในใจบังเกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย รีบตอบรับว่า “เจ้าค่ะ ท่านแม่ ข้าไปทำเดี๋ยวนี้”
หลี่ซื่อเพิ่งจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่จากเย่อวี๋หราน ตอนนี้ยังมีคนมาเรียนด้วยกัน นางย่อมเบิกบานใจ นางชี้แนะพี่สะใภ้ทั้งสองด้วยท่าทางที่เหมือนจะอวดอ้างอยู่นิด ๆ
หลิ่วซื่อฟังอย่างตั้งอกตั้งใจมาก นางพบว่าหลังจากเอาเครื่องในหมูไปคลุกกับขี้เถ้าแล้วก็ทำความสะอาดง่ายขึ้นจริง ๆ สิ่งสกปรกราวกับว่าแค่รีดก็ไหลออกมาแล้ว จากนั้นใช้น้ำสะอาดล้างก็สะอาดขึ้นมาก
“ใช่ไหมเจ้าคะ พี่สะใภ้ใหญ่ วิธีที่ท่านแม่สอนนั้นล้างเครื่องในหมูได้สะอาดกว่าที่พวกเราใช้น้ำร้อนล้างแบบเมื่อก่อนอีกใช่หรือไม่?” หลี่ซื่อออกจะภูมิใจ
“อื้ม!” หลิ่วซื่อสังเกตว่าข้างชามไม้ยังมีซี่ไม้ไผ่เล็ก ๆ “สิ่งนี้ใช้ทำอะไร?”
“ใช้ไล่ของสกปรกออกมาจากลำไส้เจ้าค่ะ” หลี่ซื่อสาธิตให้ดู โดยหยิบชิ้นที่ยังไม่ได้ล้างขึ้นมาแล้วใช้กรรไกรตัด จากนั้นใช้ไม้ไผ่กดเอาไว้ รีดสิ่งสกปรกออกมา
นางบอกหลิ่วซื่อว่าตอนรีดต้องระวังให้ดี ต้องทำอย่างไรจึงจะรีดสะอาดภายในครั้งเดียว ไม่ต้องทำซ้ำอีกรอบ
หลินซื่อที่อยู่ทางนั้นต้มน้ำเดือดแล้วก็มาเรียก “ท่านแม่ น้ำเดือดแล้วเจ้าค่ะ”
“เอาล่ะ พวกเจ้าล้างไปก่อน ล้างเสร็จแล้วก็บอกข้าด้วย ข้าจะเอาน้ำร้อนมาให้ล้างอีกสักสองรอบก็เสร็จแล้ว” เย่อวี๋หรานลุกขึ้นเคลื่อนไหวร่างกายเล็กน้อย
คนไม่อาจขัดขืนความโรยรา อายุมากแล้วนั่งนานเกินไปก็รู้สึกไม่สบายตัว
เย่อวี๋หรานสงสัยว่าน่าจะเป็นเพราะเจ้าของร่างเดิมกินไม่อิ่มท้องมาเป็นเวลานานจึงขาดสารอาหาร เลือดลมพร่อง ถึงได้เวียนศีรษะเช่นนี้
“ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรหรือเจ้าคะ?” หลี่ซื่อเงยหน้าขึ้น พบว่าร่างแม่สามีโงนเงนเล็กน้อย
“ไม่มีอะไร ก็แค่นั่งนานเกินไป ไม่ได้อายุน้อย ๆ เหมือนพวกเจ้าแล้ว ต่อไปพวกเจ้าก็ต้องระวังสักหน่อย อย่านั่งกันนานเกินไปนัก ถ้านั่งนานแล้วก็อย่าด่วนลุกขึ้น ลุกช้า ๆ หน่อย ค่อยเป็นค่อยไป” เย่อวี๋หรานคิดในใจว่าหรือต้องเริ่มออกกำลังกายบ้างแล้ว?
ก่อนนี้นางยังคิดว่าชาวนาทำงานอยู่ทุกวัน ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกาย แต่ตอนนี้ดูท่าว่าคงจะไม่แน่
ทำงานก็ส่วนทำงาน ไม่แน่ว่าทุกส่วนของร่างกายจะได้เคลื่อนไหวไปด้วย แต่การออกกำลังกายสามารถทำให้ทั่วร่างได้เคลื่อนไหว เลือดลมไหลเวียนดี
“ข้าก็เป็นเหมือนกันเจ้าค่ะ ปกติตากแดดทำนานานเกินไป นั่งนาน ๆ ก็จะหน้ามืด” หลี่ซื่อยิ้ม “คราวหน้าท่านแม่เอาเก้าอี้เล็กมานั่งด้วยก็ไม่ทรมานขนาดนั้นแล้วเจ้าค่ะ”
“ท้องเจ้าโตแบบนั้นแล้ว อย่านั่งนานเกิน ลุกขึ้นมาเดินบ่อย ๆ”
เย่อวี๋หรานกลับเข้าไปในครัว เอากระดูกหมูที่ซื้อเมื่อตอนบ่ายออกมา เนื่องจากก่อนหน้านี้นางไม่พบมีดหั่นกระดูกในความทรงจำเจ้าของร่างเดิม ตอนซื้อจึงได้บอกให้คนขายเนื้อหมูสับให้นาง
นางบอกให้หลินซื่อติดไฟอีกเตาเอาไว้ ก่อนจะตักน้ำร้อนเทลงไป จากนั้นก็โยนกระดูกหมูที่ใช้น้ำเย็นล้างแล้วลงหม้อ และใช้น้ำร้อนลวกอีกรอบ
หลังจากนั้นก็ล้างหม้อ แล้วเอากระดูกหมูใส่ลงหม้อต้ม เทน้ำใส่มาก ๆ
“หม้อนี้เจ้าเคี่ยวนานหน่อย ข้าจะใช้ทำน้ำแกง ไม่ได้จะใช้ลวกกระดูกมาแทะ เมื่อข้าบอกว่าได้ที่แล้วถึงจะยกลงได้” เย่อวี๋หรานไม่ลืมกำชับหลินซื่อ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดแล้วดับไฟตอนที่นางไม่ทันสังเกต
“เจ้าค่ะ ข้าทราบแล้ว”
MANGA DISCUSSION