บทที่ 7 ไม่มีใครแต่งกับเจ้าทึ่มหรอก
เย่อวี๋หรานประหลาดใจระคนยินดี
นางยังนึกว่าต่อไปต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจดูแลลูกโง่คนนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าคนที่แบกฉายาเจ้าสมองทึ่มเอาไว้กลับสามารถพึ่งพาตนเองได้
พึ่งพาตนเองได้ก็ดี ในเมื่อพึ่งพาตนเองได้ นางก็สามารถเรียกใช้งานเขาได้เหมือนคนปกติ
“เมียเจ้าใหญ่ดูแลเด็ก ๆ เมียเจ้ารองไปชำแหละปลา เมียเจ้าห้าเก็บโต๊ะล้างจาน” เย่อวี๋หรานมองไปทางหลี่ซื่อที่คิดจะแอบหนีออกไปหลังกินข้าวเสร็จ “ส่วนเมียเจ้าสี่ เจ้ารับผิดชอบกวาดพื้น”
หลี่ซื่อยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผลก็คือแม่สามีพูดขึ้นมาว่า “เจ้าแค่ตั้งท้อง ทำงานหนักไม่ได้ ไม่ใช่ขยับตัวไม่ไหวเสียหน่อย” แล้วก็สั่งงานนางไปตรง ๆ
เฮ้อ…อุ้มท้องโตขนาดนี้ยังต้องทำงานอีก ช่างลำบากยิ่งนัก!
น้ำเชื่อมผลไม้ที่เหลือ เย่อวี๋หรานยกให้หลิ่วซื่อ เพื่อให้นางเอากลับห้องไปให้เด็ก ๆ กินเป็นของว่าง
“ของพวกนี้เก็บไว้ไม่ได้ ถ้าไม่กินพรุ่งนี้เช้าคงเสียหมด”
ส่วนแป้งกรอบที่เหลือหนึ่งตะกร้า นางเลียนแบบเจ้าของร่างเดิมคือเอาเข้าไปเก็บไว้ในห้องนอนของตัวเอง
เรือนสกุลจูตรงกลางเป็นห้องโถง สองฟากมีห้องด้านข้างจำนวนหนึ่ง เดิมทีมีห้องใหญ่อยู่ฝั่งละสองห้อง เพียงแต่ภายหลังลูก ๆ โตขึ้น ก็แบ่งห้องใหญ่ออกเป็นสองห้องเล็ก พอให้ใช้เป็นห้องหอของลูกชายได้
ห้องที่เจ้าของร่างเดิมกับจูเหล่าโถวพักอยู่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ด้านหน้าเป็นบริเวณที่พวกเขาหลับนอน ด้านหลังใช้แผ่นไม้กั้นเป็นห้องเล็ก ที่วางอยู่ในนั้นก็คือเตียงของจูปาเม่ย
ฝั่งซ้ายมือนอกจากห้องใหญ่นี้แล้ว ยังมีห้องที่ดัดแปลงเป็นห้องนอนของจูต้ากับจูเอ้อร์ ถัดไปก็คือห้องครัว
สองห้องใหญ่ฝั่งขวามือดัดแปลงเป็นห้องเล็กสี่ห้องเพื่อเป็นที่พักของจูซาน จูซื่อ จูอู่ และจูชี ถัดออกไปก็คือห้องน้ำ
และเพราะว่าจูชีเป็นคนทึ่ม ห้องที่อยู่ใกล้กับห้องสุขามากที่สุดจึงเป็นห้องของเขา
นอกจากเตียงหนึ่งตัว ก็มีไม้ไผ่ที่ใช้เชือกยึดไว้กับผนังท่อนหนึ่ง ใช้สำหรับแขวนเสื้อผ้า ใต้เตียงมีกล่องที่พวกพี่ชายไม่ใช้แล้ว ส่วนอะไรอยู่ในนั้นก็ยากจะตอบได้
นับไปนับมา เหมือนว่าจะขาดไปคนหนึ่ง?
เย่อวี๋หรานไล่เรียงลำดับลูกชายของเจ้าของร่างเดิมในใจอย่างเงียบ ๆ
แล้วจูลิ่วล่ะ?
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องราวใดกันแน่ นางพลิกหาในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมอยู่ครึ่งค่อนวันก็ไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับคนผู้นี้
หรือว่าจูลิ่วตายไปตอนคลอด?
เย่อวี๋หรานหาคำตอบไม่พบก็ไม่ได้ค้นหาต่อ อย่างไรเสียความจริงก็คงจะปรากฏขึ้นในสักวัน เรื่องที่ต้องเผชิญหน้า ต่อให้นางไม่พูดขึ้น เดี๋ยวพวกเขาก็ยกขึ้นมาเอง
อีกด้านหนึ่ง ระหว่างที่หลิ่วซื่ออาบน้ำให้ต้าเป่าและเอ้อร์เป่า จูต้าก็กำลังใช้แผ่นไม้ต่อเตียงขนาดเล็กขึ้นมาหน้าเตียงของตนเองกับภรรยาให้เด็กน้อยสองคน
“ท่านแม่ น้ำเชื่อมผลไม้ที่ท่านย่ายกให้พวกข้าล่ะ?”
“ท่านย่าบอกแล้วว่าน้ำเชื่อมต้องกินทันที เก็บไว้จะเสียเอา”
หลิ่วซื่อสู้เสียงรบเร้าของเด็กทั้งสองไม่ได้ ก็ได้แต่หยิบถ้วยลงมาจากหลังตู้และส่งให้พวกเขาไป
สองพี่น้องดีใจจนออกนอกหน้า รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่ดีงามที่สุดในชีวิตแล้ว เจ้ากินคำหนึ่ง ข้ากินคำหนึ่ง ผลัดกันกิน
แน่นอนว่าย่อมมีทะเลาะกันบ้างเป็นธรรมดา ยกตัวอย่างเช่นคนหนึ่งอยากกินมากกว่านั้นอีกหน่อย ก็ปาดน้ำเชื่อมข้น ๆ ขึ้นมาคำโต ไม่คาดว่าอีกคนจะเห็นเข้าและรู้สึกว่าตนเองเสียเปรียบ ก็ปาดคำใหญ่ขึ้นมาดุจเดียวกัน
พวกเขายึดครองเตียงของบิดามารดา วุ่นวายกันอย่างเบิกบานใจ
หลิ่วซื่อนั่งอยู่บนเตียงเล็ก สีหน้ายิ้มแย้มมองเด็กทั้งสองและตกอยู่ในภวังค์
จูต้าพลันแตะแขนนางเบาๆ
นางได้สติกลับมา “อะไรหรือ? ง่วงแล้ว? เจ้ารอเดี๋ยว เด็กสองคนนี้กินเสร็จก็จะนอนแล้ว”
“เจ้าว่าพวกเราต้องพูดกับท่านแม่ไหมว่าเด็กสองคนนี้โตแล้ว ให้พวกเขาแยกไปนอนในห้องเก็บของเบ็ดเตล็ดด้านหลังกันตามลำพัง?” จูต้ากล่าวอย่างกลัดกลุ้ม
เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เขาไม่ได้คิดมาแค่วันเดียว
เด็กน้อยสองคนโตแล้ว เขาอยากจะใกล้ชิดกับภรรยาสักหน่อยก็ลำบากนัก อดกลั้นมานานจะไม่ให้คิดเลยเชียวหรือ
ครั้นคิดขึ้นมาแล้วก็ต้องหาทางแก้ไข เป็นต้นว่าเอาพวกเขาออกไป
ในบ้านไม่มีห้องอื่นอีกแล้ว ถ้าไม่ให้พวกเขาไปเบียดกับน้องเจ็ด ก็ต้องให้พวกเขาไปนอนที่ห้องเก็บของเบ็ดเตล็ด ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว
ครั้นได้ยินเขาพูดถึงห้องเก็บของเบ็ดเตล็ด หลิ่วซื่อก็นึกขึ้นมาได้
ด้านหลังเรือนสกุลจูยังมีห้องเก็บของเบ็ดเตล็ดที่ติดกับห้องเก็บฟืนอยู่ห้องหนึ่ง ที่นั่นเก็บเครื่องไม้เครื่องมือทำการเกษตรอย่างพวกจอบขวานเอาไว้
ตอนที่สร้างเรือนขึ้นมาในปีนั้น มันก็มีไว้ใช้เก็บเครื่องไม้เครื่องมือจึงไม่ได้สร้างมาดีนัก แค่ก่อขึ้นมาง่าย ๆ สามารถบังลมบังฝนไม่ให้เล็ดลอดเข้ามาถูกสิ่งของที่อยู่ในห้องได้ก็พอแล้ว
“ไม่ได้ เล็กเกินไป ทั้งยังเก็บของเยอะแยะขนาดนั้น ถ้าเกิดพวกเขานอนบนเตียงแล้วดิ้นไปชนสิ่งของหล่นลงมาจะทำอย่างไร?”
คนเป็นมารดาย่อมไม่ปรารถนาให้ลูกตัวเองต้องพบกับอันตรายแม้แต่น้อย
“แล้วจะทำอย่างไรได้? ให้พวกเขาไปเบียดกันกับน้องเจ็ดหรือ?” จูต้ากระทบแขนนางอีกครั้ง บ่นเสียงอุบอิบ “ข้าอยากแล้ว”
หลิ่วซื่อกระเถิบไปข้าง ๆ “ไม่ได้ ต่อไปน้องเจ็ดก็ต้องแต่งเมีย เจ้ายึดเตียงเขาแล้วจะให้เมียเขาไปนอนที่ไหน?”
แท้จริงแล้วนางแค่ไม่อยากให้เขาแตะต้องตนเอง ครอบครัวก็เป็นเสียอย่างนี้ แค่เด็กสองคนก็เลี้ยงมาอย่างลำบากยากเย็น ถ้าเกิดมีอีกคนเพิ่มขึ้นมาล่ะ?
นางไม่อยากมีอีกคนแล้ว ถ้าคลอดออกมาก็ต้องเลี้ยงอีก นางเหนื่อยเกินไป
นอกจากนี้ แม่สามีก็ยังลำเอียงอย่างเห็นได้ชัด ผู้อื่นลำเอียงรักลูกชายกับหลานชาย แม่สามีกลับดีนัก ลำเอียงรักลูกสาวของตัวเอง ใครจะรับประกันได้ว่าท้องหน้าจะเป็นเด็กผู้หญิง?
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เป็นเด็กผู้หญิง ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าแม่สามีจะเอ็นดูลูกสาวที่นางคลอดออกมา น้องสะใภ้สี่ตั้งครรภ์แล้ว พร่ำบอกว่าจะคลอดหลานสาวให้แม่สามีสักคน มีคนนำหน้าอยู่แบบนี้ ลูกที่นางคลอดออกมายังมีโอกาสได้รับความเอ็นดูอยู่อีกหรือ?
นับประสาอะไรกับสภาพครอบครัวตอนนี้ เพิ่มมาอีกคนก็เพิ่มมาอีกหนึ่งปากท้อง สามีนางไม่ได้เก่งกาจเหมือนพ่อของเขาที่เลี้ยงเด็กหลายคนจนโตขึ้นมาได้เสียหน่อย
เขาก็สบายตัวน่ะสิ ทำงานในนาเสร็จก็มานอนพักบนเตียง ไม่ต้องสนใจอะไรอีก แต่นางเล่า?
ขึ้นเขาลงนา ทำงานในนาไม่รู้จบ ทำงานในเรือนไม่จบสิ้น ปรนนิบัติสามีแล้วยังต้องดูแลลูก ๆ รู้สึกเหมือนเพิ่งล้มตัวลงนอนฟ้าก็สว่างแล้ว แต่กลับไม่เคยได้กินอิ่ม
ตอนที่ยังเป็นแม่นางน้อย นางคิดมาตลอดว่าแต่งงานออกเรือนได้ก็ดีเอง ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยอีกแล้ว จนแต่งงานแล้วจึงทราบว่าไม่มีเหนื่อยที่สุด มีเพียงเหนื่อยยิ่งขึ้นไปอีก
ราวกับว่าไม่มีวันสิ้นสุดก็ไม่ปาน เพียงแค่ลืมตาขึ้นมาก็ต้องทำงาน คนเกิดมาก็เพื่อลิ้มรสความทุกข์ยาก
บางครั้งบางครา ยามนางยืนอยู่ริมลำธารด้วยสติพร่าเลือน มองเงาสะท้อนบนผิวน้ำของตนเองแล้วกลับรู้สึกขึ้นมาจริง ๆ ว่า มีชีวิตต่อไปแบบนี้ยังไม่สู้ตายไปเสียดีกว่า!
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ สวรรค์จึงจะมารับนางไป ปลดปล่อยให้นางเป็นอิสระเสียที
“เจ้าเจ็ดเป็นแค่เจ้าทึ่ม ไม่มีผู้หญิงคนไหนยอมแต่งกับเขาหรอก”
“เจ้าอย่าพูดแบบนี้ ถ้าท่านแม่ได้ยินเข้าต้องโกรธแน่”
“ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย ไม่มีทางพูดต่อหน้าท่านแม่หรอก ข้าพูดแค่กับเจ้า”
“นั่นก็ไม่แน่ แม่ม่ายที่อายุมากสักหน่อย หญิงเป็นหมันที่ไม่มีใครยินดีแต่ง หรือว่าคนที่ร่างกายมีปัญหา…ขอแค่ท่านแม่ไม่เลือกมาก ย่อมหาคนมาอยู่เป็นเพื่อนคู่ชีวิตให้น้องเจ็ดได้แน่”
“คนโง่คู่กับคนตาบอด หรือคู่กับคนที่ไร้แขนไร้ขา? ไม่ได้ ตัวน้องเจ็ดยังต้องให้คนดูแล ถ้าหาคนแบบนั้นมาอีก ตกลงแล้วใครจะดูแลใครกันแน่?”
หลิ่วซื่อนิ่งเงียบไป
พูดไปพูดมา จูต้าเห็นว่านางไม่สนใจตนเองก็ไม่มีอารมณ์จะสนทนาต่อ
ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่ายังเล่นซนอยู่บนเตียงใหญ่ เขารอไม่ไหวจึงนอนลงบนเตียงเล็กทั้งอย่างนั้น ไม่ช้าก็มีเสียงกรนดังขึ้นมา
ในขณะที่หลิ่วซื่อยังคงอยู่ในภวังค์ ดวงตาเลื่อนลอย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
MANGA DISCUSSION