บทที่ 68 ให้วัวทำนา แต่ไม่ให้หญ้าวัวกิน
ถ้าไม่คุยคงไม่รู้ ครั้นได้คุยก็เป็นอันต้องตกใจ
เย่อวี๋หรานค้นพบว่า ถึงแม้นางจะมีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม แต่กลับมีความเข้าใจต่อโลกนี้น้อยเกินไปแล้ว
นางทราบเพียงว่า ‘ความกตัญญูยิ่งใหญ่เทียมฟ้า’ ดังนั้นไม่ว่าเจ้าของร่างเดิมจะทำอย่างไรลูกชายทั้งหลายล้วนเชื่อฟัง แต่กลับลืมไปว่า แม่เฒ่าหลินก็เป็นผู้อาวุโสของหลินซานโก่วและหลินหมู่เช่นกัน ทั้งยังเป็นมารดาแท้ ๆ ด้วย
“พวกเจ้าไปพบผู้อาวุโสของตระกูลไม่ได้หรือ?”
หลินซานโก่วหน้าแดง “เรื่องแบบนี้ จะไปหาผู้อาวุโสของตระกูลได้หรือ? น่าขายหน้ายิ่งนัก”
เดิมทีหลินหมู่ยังคิดจะพูดอะไรต่อ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเขาก็กลับเงียบขรึมลง
เย่อวี๋หรานเข้าใจแล้ว คนในยุคนี้ถือสาเรื่อง ‘เรื่องอัปยศภายใน ห้ามแพร่งพรายออกไปนอกบ้าน’ ถ้าไม่ถึงที่สุดจริง ๆ ก็ไม่มีทางนำเรื่องในครอบครัวตนเองออกไปตีแผ่ให้คนภายนอกรับรู้
แต่ผู้อาวุโสของตระกูลคืออะไร?
ในหมู่บ้านชนบทเช่นนี้ อำนาจของผู้อาวุโสในวงศ์ตระกูลยังเหนือกว่าที่ว่าการอำเภอเสียอีก ถ้าไม่ถึงที่สุดแล้วจริง ๆ คงไม่มีใครยอมไปพบผู้อาวุโส
เย่อวี๋หรานนึกถึงตอนที่เจ้าของร่างเดิมยืนกรานจะแยกเรือนกับพ่อแม่สามี แท้จริงแล้วสาเหตุที่เจ้าของร่างเดิมทำตัวโอหังได้ถึงเพียงนั้น ก็เพราะเชื่อว่าพ่อแม่สามีไม่มีทางฟ้องร้องไปถึงผู้อาวุโสของตระกูลกระมัง?
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม หลายสิบปีมานี้ นอกจากตอนที่เจ้าหน้าที่ทางการมาพิพากษามอบความยุติธรรมแล้ว ก็ไม่เคยมีใครเชิญผู้อาวุโสประจำตระกูลมาก่อน ในละแวกนี้ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
“เช่นนั้นเรื่องซานยากับซื่อยา พวกเจ้าคิดไว้ว่าจะทำอย่างไร? พวกนางไม่อาจอยู่กับข้าตลอดไปได้หรอกนะ”
ช่วยเหลือคนให้ช่วยในยามคับขัน เย่อวี๋หรานไม่ได้คิดจะปกป้องลูกสาวสองคนของสกุลหลินไปตลอดชีวิต
“ข้าไม่รู้” หลินซานโก่วพะวักพะวน
หลินหมู่อยากพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วกลับระงับไว้ คล้ายกับมีข้อวิตกอะไรอยู่จึงไม่ได้พูดออกมา
เย่อวี๋หรานสังเกตว่านางมักจะมองสีหน้าของหลินซานโก่ว จึงส่งสายตาให้จูซาน เพื่อให้เขาพาหลินซานโก่วออกไป
สาเหตุที่เลือกจูซานจากบรรดาลูกชายทั้งหมด ก็เพราะนางสังเกตมาสักพักแล้วว่าจูซานเป็นคนหัวไวที่สุดในหมู่พวกเขา
จูซานสังเกตเห็นสายตาของเย่อวี๋หรานก็เข้าใจทันที รีบร้องเรียกว่า “ท่านลุง” และบอกว่าตนเองกระหายน้ำ ขอให้หลินซานโก่วพาเขาไปหาน้ำดื่ม
ครั้นหลินซานโก่วไม่อยู่แล้ว ราวกับหลินหมู่ได้ปลดเปลื้องแรงกดดันออกไป นางออกปากกับลูกสาวทั้งสามว่า นางอยากคุยกับเย่อวี๋หรานตามลำพังสักครู่
หลินซื่อพยักหน้า พาน้องสาวทั้งสองคนออกไปจากห้อง หลิ่วซื่อและหลิวซื่อก็ได้รับอนุญาตจากเย่อวี๋หรานให้ออกไปจากห้องเช่นกัน
“ข้าตั้งใจว่าจะแต่งซานยากับซื่อยาออกไปตั้งแต่เนิ่น ๆ”
เย่อวี๋หรานได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้ว
“ข้ารู้ เจ้าคงคิดว่าข้าใจร้อนเกินไปแล้ว แต่ข้าจนปัญญาจริง ๆ สามีข้าพึ่งพาไม่ได้ ฉากหน้าของเราคือแยกเรือนออกมาจากบ้านแม่สามีแล้ว แต่ที่จริงยังทำนาร่วมที่ดินเดียวกันอยู่ เสบียงอาหารทั้งหมดอยู่ในมือของแม่สามี นางบอกจะให้พวกข้าเท่าไหร่ พวกเราก็ได้รับเท่านั้น ก็แค่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ได้กินข้าวหม้อเดียวกันก็เท่านั้น ต่อให้เจ้าไม่รับพวกนางไป ข้าก็ตั้งใจไว้เช่นนี้อยู่ดี เพียงแต่เวลากระชั้นไปอยู่บ้าง อาจหาคนที่ดีไม่ได้ แต่เจ้ารับพวกนางไปแล้ว ข้าก็มีเวลามากขึ้น จะได้พยายามหาครอบครัวดี ๆ ให้พวกนาง”
“แม่เฒ่าหลินคุมเสบียงอาหาร?” เย่อวี๋หรานไม่ได้แสดงความเห็นเรื่องหลินหมู่จะแต่งลูกสาวออกไป แต่กลับถามเรื่องเสบียงอาหารขึ้นมาเพราะประหลาดใจ
มิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้หลี่ซื่อถึงพูดว่าแม่เฒ่าหลินอมเสบียงของพวกเขาเอาไว้ ที่แท้ต้นตอของปัญหาก็อยู่ตรงนี้เอง
แยกเรือนกันแล้วยังไม่ยอมแบ่งที่ดินทำนา เห็นได้ชัดว่าเจตนาจะ ‘ให้วัวทำนา แต่ไม่ให้หญ้าวัวกิน’ ไม่ใช่หรือ?
ในใต้หล้านี้จะมีเรื่องดีเช่นนี้ได้อย่างไร
“ตอนแรกที่แยกเรือนกัน สามีข้าเป็นคนรับปาก” สีหน้าของหลินหมู่เย็นชาลงมาก “เขาบอกว่านั่นคือแม่ของเขา อย่างไรก็คงไม่มีทางปล่อยให้เขาหิวโหย เฮอะ ก็ไม่ปล่อยให้เขาหิวอยู่คนเดียวจริง ๆ นั่นแหละ ไม่มีธุระก็เรียกเขาไปกินข้าว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้ากับลูก ๆ อยู่ทางนี้กินอะไรกันบ้าง”
เย่อวี๋หรานจินตนาการไม่ออกเลยว่าชีวิตเช่นนี้เป็นอย่างไร หลังจากเจ้าของร่างเดิมแต่งให้จูเหล่าโถว ทั้งบ้านล้วนฟังเจ้าของร่างเดิม ถึงสกุลจูจะจนไปหน่อย แต่ชีวิตของเจ้าของร่างเดิมกลับเสรียิ่งนัก
นางเก็บร่างกายของเจ้าของร่างเดิมมาได้ก็ยังนับว่าได้เปรียบ เพราะตำแหน่งในครอบครัวนางถือได้ว่า ‘สูงส่ง’
“เฮอะ! เมื่อครู่เขาไม่ได้พูดออกมา ข้าจะไม่รู้เชียวหรือว่าเขาคิดอะไรอยู่? เขาถูกแม่ตัวเองเกลี้ยกล่อมจนหวั่นไหวแล้ว คิดว่าข้าคลอดออกมาแต่ลูกสาว ต่อให้มีที่ดินทำนาก็ไม่มีลูกชายมาสืบทอด ไม่สู้เก็บไว้ให้ลูกชายสามคนของพี่ใหญ่ของเขาเป็น ‘น้ำใจ’ รอจนหลานพวกนั้นโตกันแล้วจะได้ดูแลเขาในยามแก่เฒ่า”
เย่อวี๋หรานเหงื่อตก รีบถามให้รู้เรื่องว่า “เลี้ยงดูตอนแก่? เจ้าคงไม่ได้คิดแบบเดียวกันกระมัง?!”
นางกลับลืมไปแล้วว่า ในสมัยโบราณ ผู้ที่สืบทอดวงศ์ตระกูลก็คือลูกชาย ครอบครัวไหนไม่อาจให้กำเนิดลูกชายได้ก็จะเงยหน้าไม่ขึ้น
“ลูกชายบ้านพี่ใหญ่เจอข้าอยู่ข้างนอกยังไม่เรียกสักคำว่าอาสะใภ้สาม แล้วยังจะเลี้ยงดูข้าหรือ? ข้าว่าถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่เลี้ยงดูข้าเลย หากยอมให้น้ำข้าสักถ้วย ข้าก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว” สำหรับครอบครัวพี่ชายของสามีตนเองแล้ว หลินหมู่ก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
เอาเปรียบครอบครัวตัวเองก็ช่างเถอะ แต่กลับเอาเปรียบแล้วยังไม่ยอมรับ ท่าทางขี้ขลาดเหมือนหมาป่าตาขาว จิตใจเย่อวี๋หรานยังจะสงบอยู่ได้อย่างไร?
นางรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วลูกสาวก็ต้องออกเรือนไป นางไม่ได้คลอดลูกชายให้หลินซานโก่วก็จริง แต่ในใจนางก็รู้สึกอัดอั้น และเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
เย่อวี๋หรานฟังแล้วก็เข้าใจว่าทำไมก่อนหน้านี้ตอนที่แยกเรือนออกมา ครอบครัวของพวกเขาจึงไม่ได้รับส่วนแบ่งที่นามาเลย นั่นก็เพราะว่าครอบครัวของพวกเขาไม่มีลูกชายสืบทอดวงศ์ตระกูล
แท้จริงแล้วหลินหมู่คิดไว้ว่ารอจนภายหลังมีลูกชายแล้วค่อยไปทวงกับแม่สามีก็ได้ แต่หลินหมู่คิดไม่ถึงว่าหลังแยกออกมาแล้ว นางกลับให้กำเนิดลูกสาวอีกสองคน และไม่มีลูกชายสักคน เช่นนี้แล้วจะทำอย่างไร?
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้าคิดจะทำอย่างไร? ตั้งใจจะแต่งเด็กสองคนนั้นออกไปเร็วเช่นนี้เลยหรือ?” ดูเหมือนหลินหมู่ไม่ได้คิดจะพึ่งพาลูกสาวเพื่อเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า เย่อวี๋หรานจึงไม่ได้รีบเสนอความคิดประมาณนี้ขึ้นมา
เจ้าของร่างเดิมคลอดลูกสาวก็เพื่อให้ลูกสาวไปเป็นอนุภรรยาในครอบครัวผู้ดีมีเงิน แต่ก็ไม่ได้คิดจะอาศัยลูกสาวเลี้ยงดูยามแก่ชรา ที่จริงเจ้าของร่างเดิมก็ทราบว่าต่อไปนางต้องใช้ชีวิตอยู่กับลูกชาย
เพียงแต่เมื่อลูกสาวมีอนาคตแล้ว ก็จะสามารถประคับประคองลูกชายได้ นางก็จะได้เสพวาสนาตามไปด้วย นางคิดไว้เช่นนี้เอง
ทว่าสำหรับข้อจำกัดของสตรีในยุคสมัยนี้ เย่อวี๋หรานจะพูดอะไรได้?
ค่อย ๆ เดินทีละก้าวก็แล้วกัน
“จูต้าเหนียงวางใจได้ ข้าไม่ให้เจ้าเลี้ยงดูซานยากับซื่อยาเปล่า ๆ นานถึงเพียงนั้นหรอก” หลินหมู่รีบรับประกัน “รอจนพวกนางแต่งให้คนอื่นแล้ว ข้าก็จะให้พวกนางกตัญญูต่อเจ้าเสมือนเป็นมารดาอีกคน ทุกปีเมื่อถึงเทศกาลปีใหม่ ก็จะหอบหิ้วสิ่งของมาเยี่ยมเยียนเจ้า ให้พวกนางแสดงความขอบคุณเจ้าไปทั้งชีวิต”
เย่อวี๋หรานหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “ข้าไม่ได้ช่วยซานยากับซื่อยาเพื่อเรื่องนี้”
นางก็แค่ทนดูไม่ได้ หากสามารถช่วยเหลือได้เล็กน้อยก็แค่ช่วยไปเท่านั้น
เดิมทีนางตั้งใจว่าจะคุยกันดี ๆ กับหลินหมู่สักรอบ แต่คุยไปได้สักพักกลับพบว่า หากไม่ใช่คนยุคสมัยเดียวกันก็คงพูดกันไม่รู้เรื่อง
หลินหมู่พูดกลับไปกลับมาก็คิดอยู่อย่างเดียวคือต้องแต่งลูกสาวออกไป แต่คนหนึ่งแต่งเร็วหน่อย อีกคนแต่งช้าหน่อยก็เท่านั้น
หลินหมู่ยังถึงกับพูดว่า ถ้าไม่ใช่เพราะลูกสาวสองคนยังไม่ออกเรือน ก็กลัวว่าถ้าพวกนางไปอยู่ในมือของแม่เฒ่าหลินแล้วจะไม่มีจุดจบที่ดี เช่นนั้นตนเองก็คงจะไปกระโดดน้ำตายให้จบ ๆ แล้ว
“อย่างนั้นเจ้าก็ยิ่งกระโดดไม่ได้ ถ้าเจ้ากระโดดไปแล้ว ลูกสาวของเจ้าก็คงจะตกอยู่ในเงื้อมมือของแม่เฒ่าหลินแน่นอน” เย่อวี๋หรานหัวคิ้วกระตุก รีบพูดต่ออีกว่า “บ้านมารดาต้องมีมารดาของลูกสาวถึงจะมีบ้านมารดา แต่ถ้าไม่มีมารดาแล้ว ที่นั่นก็ไม่ใช่บ้านมารดาของพวกนางอีก ถึงบ้านมารดาจะไม่ดีแค่ไหน แต่เมื่อลูกสาวพบเรื่องอะไร ก็ยังมีมารดาเป็นที่พึ่งพิง”
MANGA DISCUSSION