บทที่ 56 สรรพคุณของหงฮวา
เย่อวี๋หรานคิดในใจว่า รูปแบบสร้อยถักที่นางมองว่าเรียบง่ายสง่างาม แต่ในสายตาหลี่ซื่อและคนอื่น ๆ กลับเห็นว่า ‘ขี้เหร่’?
แต่เมื่อพิจารณาเรื่องยุคสมัยประกอบกับความเห็นนี้ก็คล้ายจะพอเข้าใจขึ้นมาได้
ยุคโบราณไม่เหมือนกับยุคปัจจุบันที่มีผ้าหลากชนิดนานาสีสัน สีที่เรียบง่ายหรือสีธรรมชาติในยุคปัจจุบันกลับเป็นสีที่ใช้กันทั่วไปในยุคนี้ ขณะที่สิ่งที่มีสีสันค่อนข้างสว่างสดใสจะหายากกว่า นั่นจึงกลายเป็นของดีในสายตาคนหมู่มาก
ก็เหมือนกับยุคราชวงศ์ถังที่เคยร่ำเรียนในวิชาประวัติศาสตร์จากชาติภพที่แล้ว นั่นก็เป็นยุคสมัยแห่งสีสันอันวิจิตรตระการตาเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
เย่อวี๋หรานเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมมุมมองด้านความงามของจูปาเม่ยถึงได้ธรรมดาเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะจูปาเม่ยขาดความละเมียดละไม เพียงแต่เป็นความแตกต่างด้านยุคสมัยนั่นเอง อีกทั้งตอนนี้ตัวตนที่แท้จริงของนางยังเป็น ‘คนนอก’ ซึ่งมาจากยุคสมัยที่ล้ำหน้าเกินไป
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าช่วยเสี่ยวเม่ยเลือกสี พวกเจ้าสองคนทำด้วยกัน ถือว่าพวกเจ้าร่วมกันทำการค้า เสี่ยวเม่ยรับหน้าที่สร้างสรรค์สินค้า ส่วนเจ้ารับหน้าที่นำไปขาย นอกจากกำไรสองส่วนที่ต้องจ่ายให้ส่วนกลางแล้ว ที่เหลือพวกเจ้าก็แบ่งกันคนละครึ่ง ให้ถือเป็นเงินออมส่วนตัวของพวกเจ้า” เย่อวี๋หรานกล่าวสรุป
“จริงหรือเจ้าคะ?!” หลี่ซื่อตะลึง “ท่านแม่ ท่านพูดจริงหรือเจ้าคะ ข้ามีเงินออมส่วนตัวได้โดยไม่ต้องจ่ายให้ส่วนกลางทั้งหมด?!”
จูปาเม่ยก็นั่งไม่ติดแล้ว รีบพูดว่า “ท่านแม่ ข้าก็มีเงินส่วนตัวได้เหมือนกัน?!”
เย่อวี๋หรานผงกศีรษะ “ได้สิ ขอแค่เป็นเงินที่พวกเจ้าหามาได้เอง นอกจากสองส่วนที่ต้องจ่ายให้ส่วนกลางแล้ว ส่วนที่เหลือก็เป็นของพวกเจ้า”
เรื่องหลี่ซื่อแอบขายน้ำเชื่อมผลไม้คราวก่อนได้จุดประกายความคิดให้กับเย่อวี๋หราน แทนที่นางจะลงแรงทำทุกอย่างด้วยตนเอง เหตุใดนางจึงไม่สนับสนุนให้ทุกคนแสดงความสามารถของตนเองออกมา ปล่อยให้พวกเขาไปทำกันเองเสียเลยล่ะ?
นางคิดถึงเรื่องข้าวหม้อใหญ่ในอดีต[1] ไม่ว่าใครจะลงแรงน้อยหรือลงแรงมาก สุดท้ายทุกคนก็ได้กินข้าวหม้อใหญ่ด้วยกันอยู่ดี เมื่อเห็นว่าไม่ว่าจะลงแรงเท่าไหร่ทุกคนก็มีข้าวกินเหมือนกันหมด แล้วใครจะยินดีทำงานหนักอยู่คนเดียวเล่า? ปัญหาหนักหนาที่สุดของครอบครัวสกุลจูก็คือข้อนี้แหละ
ต่อจากนั้นก็ไม่ต้องให้เย่อวี๋หรานพูดอะไรแล้ว จูปาเม่ยเข้าไปเจรจากับหลี่ซื่อด้วยตนเอง ท่าทางดูกระตือรือร้นอย่างมาก ทั้งสองหารือกันว่าสร้อยข้อมือหลากสีแบบนี้จะกำหนดราคาอย่างไร ผลกำไรจะแบ่งสรรปันส่วนอย่างไร
น้องสามีกับพี่สะใภ้ที่ปกติไม่ใคร่จะลงรอยกันสักเท่าไหร่ ยามนี้กลับกลมเกลียวกันอย่างหาได้ยากยิ่ง
เป็นจริงดังที่ว่าขอเพียงมีผลประโยชน์ร่วมกัน ก็ทำให้ทุกคนยืนอยู่บนเรือลำเดียวกันได้อย่างแท้จริง
เย่อวี๋หรานไม่ได้เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ เพียงให้คำเสนอแนะกับพวกนาง “ที่จริงแล้วสามารถใช้ใบจงหรือเชือกป่านก็ได้ แม้ว่าพวกมันจะหาได้ง่าย แต่สิ่งที่พวกเจ้าขายไม่ใช่ตัวมันเอง แต่เป็นของที่ถักออกมาแล้วต่างหาก”
“ตอนนี้ทุกคนล้วนไม่มีเงิน ถ้าจะใช้วัสดุที่หายากพวกนั้นแล้วพวกเจ้าขายไปในราคาต่ำก็คงจะไม่ยินดี แต่ขายราคาสูงไปก็คงไม่มีใครซื้อ ดังนั้นใช้วัสดุที่ค่อนข้างหาพบได้ง่ายจึงจะดีที่สุด”
“ส่วนเรื่องที่พวกเจ้ากังวลว่าสีสันจะเรียบง่ายเกินไป เหตุใดจึงไม่หาวิธีย้อมสีใบจงตากแห้งและเชือกป่านเหล่านั้นเสียล่ะ?”
“ย้อมสี?” จูปาเม่ยอึ้งไป
หลี่ซื่อมีสีหน้าลำบากใจ “ท่านแม่ การย้อมผ้ามีแต่โรงยอมผ้าที่ทำเป็น พวกข้า…พวกข้าทำไม่เป็นเจ้าค่ะ ถ้ามีทักษะแบบนั้นพวกข้าก็คงจะเปิดโรงย้อมผ้าเองแล้ว”
“ทำไม่เป็น?” เย่อวี๋หรานค้นหาในความทรงจำเจ้าของร่างเดิม และพบว่าดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากเช่นนั้นจริง ๆ
เรื่องนี้อาจยากสำหรับเจ้าของร่างเดิม แต่สำหรับเย่อวี๋หรานแล้วกลับไม่ถือว่ายากเย็นอะไร นางอาจไม่ได้รู้เคล็ดลับย้อมผ้าสูงส่งอะไรมากมาย แต่หากให้ย้อมใบจงหรือเชือกป่านอะไรทำนองนี้ก็ยังพอทำได้อยู่
สามารถใช้พืชมาย้อมผ้า หรือก็คือสิ่งที่เรียกว่า ‘สีย้อมจากธรรมชาติ’
ในชาติภพที่แล้ว ตอนที่นางดูรายการโทรทัศน์เรื่อง ‘มรดกแห่งชาติ’ ก็เกิดความสนใจเรื่องวัสดุย้อมสีจากธรรมชาติที่อาจารย์ในรายการพูดถึง นางสนใจมากถึงขั้นไปค้นหาข้อมูลต่อด้วยตนเอง บางทีนี่อาจเป็นข้อดีของการย้อนยุคมากระมัง สิ่งที่นางเคยเห็นมาและคิดว่าได้เลือนหายไปในสายธารแห่งความทรงจำแล้ว ยามนี้กลับโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาให้นางเห็นได้อย่างชัดเจน
อย่างเช่นวัสดุสำหรับทำสีย้อมธรรมชาติ ในสมองของนางพลันปรากฏภาพสีสันต่าง ๆ เช่น สีแดง สีเหลือง สีเขียว สำน้ำเงิน สีดำ
สีแดงได้จากเชี่ยนเฉ่า หงฮวา (ดอกคำฝอย) และซูฟาง (ฝาง) ส่วนสีเหลืองใช้จิ้นเฉ่า จือจื่อ (พุดจีน) เจียงจิน และฮว๋ายหมี่ สีเขียวใช้ต้งลวี่ สีน้ำเงินใช้หลานเฉ่า หรือที่เราเรียกกันว่าคราม ส่วนสีดำใช้จ้าวโต้ว และอูจิ้ว
สีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงินเป็นแม่สี หากนำสามสีนี้มาผสมกันด้วยวิธีต่าง ๆ ก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นสีสันที่แตกต่างกันได้
สีเหลืองผสมสีน้ำเงินเป็นสีเขียว สีแดงผสมสีเหลืองเป็นสีส้ม สีแดงผสมสีน้ำเงินเป็นสีม่วง สามสีนี้เรียกว่า สีทุติยภูมิ
แม้ว่าจะรู้เรื่องพวกนี้ก็ไม่แน่ว่าจะย้อมสีที่สวยงามอะไรออกมาได้ แต่สำหรับจูปาเม่ยกับหลี่ซื่อที่จะทำเพียงสร้อยข้อมือเล็กน้อย ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการใช้งานแล้ว
“ข้าพอจะรู้วิธีย้อมผ้าอยู่บ้าง…”
เย่อวี๋หรานยังพูดไม่ทันจบ จูปาเม่ยกับหลี่ซื่อก็ล้อมเข้ามาหาอย่างตื่นเต้น และถามว่าสามารถสอนสิ่งเหล่านี้ให้พวกนางได้หรือไม่
“พวกเจ้าอยากเรียนสีไหนก่อน?” เย่อวี๋หรานไม่พูดไร้สาระ ถามขึ้นมาตรง ๆ
“สีแดงเจ้าค่ะ” คิดไม่ถึงว่าพวกนางจะพูดสีเดียวกันออกมาพร้อมกัน
เย่อวี๋หรานเลิกคิ้ว “ทำไมถึงอยากเรียนสีนี้?”
จูปาเม่ยกับหลี่ซื่อมองหน้ากันแล้วยิ้มตอบ “เพราะว่ามันสวยเจ้าค่ะ!”
“ท่านแม่ ข้าอยากได้ชุดสีแดงมานานแล้ว น่าเสียดายที่ผ้าสีแดงล้วนมีราคาแพง ซื้อไม่ไหว ไม่อย่างนั้นข้าคงจะทำเสื้ออ่าว[2] สีแดงใส่นานแล้ว”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ ข้าก็ชอบสีแดงเหมือนกัน” จูปาเม่ยมีท่าทางเขินอายเล็กน้อย “คราวที่แล้วที่ข้าอยากให้ท่านแม่ซื้อผ้าสีแดงกลับมาหนึ่งฉื่อ ก็เพื่อเอามาทำเสื้อชั้นในนี่แหละเจ้าค่ะ”
เย่อวี๋หรานนับว่าประเมินความชอบของคนโบราณต่ำต้อยไปแล้ว แต่ก็ทราบว่านางไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางจึงไม่ได้ปฏิเสธ
“ก็ได้ สีแดงก็แล้วกัน ถ้าอยากจะเรียนวิธีย้อมสีแดง พวกเราต้องหาพืชสามชนิดนี้ก่อน อันแรกคือเชี่ยนเฉ่า อีกอันคือหงฮวา และสุดท้ายคือซูฟาง”
“หา หงฮวาก็ใช้ได้ด้วยหรือเจ้าคะ?” หลี่ซื่อประหลาดใจ
จูปาเม่ยคล้ายจะไม่เข้าใจอยู่บ้าง “หงฮวาทำไมหรือเจ้าคะ? พี่สะใภ้สี่ ท่านรู้จักหรือ?”
“เด็กน้อยอย่างเจ้าจะรู้จักสิ่งนี้ไปทำไม?” หลี่ซื่อตอบกลับโดยไม่คิด รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะพูดออกมา
ต่อให้นางหนังหนาเพียงใดก็ทราบว่าหงฮวาไม่ใช่สิ่งที่เด็กสาวควรรู้จัก
“นางไม่เด็กแล้ว เจ้าบอกนางไปเถอะ” เย่อวี๋หรานกลับไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไร ยิ่งไปกว่านั้น จูปาเม่ยก็สิบขวบแล้ว ตามมาตรฐานของสมัยโบราณ หากผ่านไปอีกสามหรือสี่ปีก็จะถึงวัยออกเรือนแล้ว ไม่นับว่าเด็กแล้ว
หลี่ซื่ออ้ำ ๆ อึ้ง ๆ หน้าแดงก่ำ แต่จนแล้วจนรอดก็พูดไม่ออก
จูปาเม่ยอึ้งไป ดูจากท่าทางของพี่สะใภ้สี่ หงฮวาดูเหมือนจะไม่ใช่ของดีอะไร ทว่าเหตุใดมารดาของนางจึงมีท่าทางไม่ยี่หระเช่นนี้?
เย่อวี๋หรานเห็นหลี่ซื่อพูดไม่ออกก็พอจะเข้าใจข้อถือสาของคนโบราณ จึงบอกกล่าวต่อจูปาเม่ยด้วยตนเอง “หงฮวาเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง เรียกอีกอย่างว่า หงหลานฮวาหรือซื่อหงฮวา มีสรรพคุณกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ขจัดเลือดคั่ง ดังนั้นจึงใช้รักษาพวกแผลฟกช้ำ บวม ปวด เคล็ดขัดยอกได้ สำหรับสตรีแล้ว ถ้าช่วงนั้นของเดือนมาไม่ปกติ มีอาการปวดระดูหรือระดูขาดช่วง ก็สามารถรักษาได้เหมือนกัน”
ท่อนแรก ๆ จูปาเม่ยยังฟังด้วยท่าทางปกติ แต่ครั้นได้ยินคำว่า ‘ช่วงนั้นของเดือน’ หน้าก็พลันแดงซ่าน ร้องขึ้นมาว่า “ท่านแม่…”
มิน่าล่ะ เมื่อครู่พี่สะใภ้สี่จึงมีปฏิกิริยาแบบนั้น ที่แท้หงฮวาก็มีสรรพคุณเช่นนี้
แต่เย่อวี๋หรานไม่ได้หยุดพูด “ดังนั้น สตรีมีครรภ์จึงควรหลีกเลี่ยงของพวกนี้ ไม่อย่างนั้นจะแท้งง่าย การค้าขายนี้พี่สะใภ้สี่ของเจ้าร่วมด้วย นางไม่สามารถลงมือทำเองได้แน่ ๆ ต้องให้เจ้าทำเองแล้ว จึงต้องพูดให้ชัดเจน ของพวกนี้คนท้องไม่อาจสวมใส่ได้ ไม่อย่างนั้นจะมีปัญหาตามมา”
[1] ในยุคสมัยเหมาเจ๋อตง มีการดำเนินนโยบายก้าวกระโดดไกล (The Great Leap Forward) โดยมีการจัดตั้งคอมมูนขึ้น และเอาพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมดภายในคอมมูนมาให้ประชาชนทำนาด้วยกัน ทุกคนที่อยู่ในคอมมูนจะได้รับอาหารอย่างเท่าเทียมกันจากโรงอาหารส่วนกลางของคอมมูน (ยุคนั้นห้ามทำอาหารกินเอง เพราะทรัพยากรทุกอย่างเป็นของส่วนรวม) อาหารที่กินด้วยกันนี้เรียกว่า ข้าวหม้อใหญ่ 大锅饭 ต่อมาพบว่าไม่ว่าจะทำงานมากหรือน้อยล้วนมีข้าวกิน จึงเป็นสาเหตุให้ประสิทธิภาพการผลิตย่ำแย่ ผนวกกับปัจจัยร่วมสมัยอื่น ๆ ในขณะนั้นจึงนำไปสู่วิกฤตขาดแคลนอาหาร
[2] เสื้ออ่าว หมายถึง เสื้อตัวนอกท่อนบน แขนเสื้อยาว สาบเสื้อทับกันหรือกลัดกระดุมหน้า
MANGA DISCUSSION