บทที่ 54 พวกค้ามนุษย์
จูเหวินรุ่ยได้รับคำกำชับจากเจ้าหน้าที่แล้วจึงสามารถขอตัวกลับเรือนได้
เขาเข้าประตูมา ภรรยาก็กระวีกระวาดเข้ามาหา “เสียวเสวี่ยเล่า?”
“ชู่ว!” จูเหวินรุ่ยให้นางลดเสียงลงแล้วมองไปรอบด้าน จากนั้นก็กระซิบข้างหูนางเพื่อป้องกันคนแอบฟัง
ภรรยาของเขาพลันผ่อนลมหายใจออกมา “เช่นนั้นเสียวเสวี่ย…จะกลับมาตอนไหน?”
“ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าเจ้าไม่วางใจ อีกสักครู่ก็หาข้ออ้างไปยืมสิ่งของที่เรือนจูเหล่าโถวเพื่อสังเกตสถานการณ์ ระวังหน่อย เลี่ยงอย่าให้คนเห็น เจ้าหน้าที่ของทางการไม่ให้เจ้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เพราะกลัวว่าคนอื่นจะเชื่อมโยงมาถึงลูกของพวกเรา”
ภรรยาของจูเหวินรุ่ยผงกศีรษะ “ข้าทราบแล้ว เจ้าวางใจได้ ข้าจะระวังตัว จะต้องไม่ทำให้เสียวเสวี่ยเสื่อมเสียแน่นอน” นางพูดอยู่ ดวงตาก็แดงขึ้นมา
จูเสียวเสวี่ยปีนี้อายุสิบสองแล้วและกำลังอยู่ในช่วงดูตัว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้หมั้นหมายกับครอบครัวไหน
นางไม่คิดเลยว่าในช่วงเวลานี้จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้
บางครั้งหากมีคุณชายหนุ่มน้อยมาพำนักในหมู่บ้านก็ไม่ถือเป็นเรื่องแปลกกอะไร ประเพณีในหมู่บ้านไม่ได้เคร่งครัดเหมือนในตำบล ขอเพียงยังไม่ได้หมั้นหมาย ให้พวกนางอาศัยช่วงที่ยังไม่ได้ออกเรือนไปชมดูความครึกครื้นบ้างก็ไม่กระไร
แต่ใครเลยจะคาดคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น?
ถ้าหากว่าเสียวเสวี่ย…
เย่อวี๋หรานคิดไม่ถึงเลยว่ายาสลบของพวกโจรค้ามนุษย์จะมีฤทธิ์แรงเพียงนี้ จนถึงยามฟ้ามืดเด็กสาวทั้งสามถึงค่อยเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา
ครั้นจูเสียวเสวี่ยฟื้นขึ้นมาเห็นสถานที่ไม่คุ้นตาก็จะร้องไห้ แต่ถูกเย่อวี๋หรานห้ามเอาไว้
“อย่าร้องไห้ ถ้าร้องไห้คนอื่นก็จะรู้กันหมดว่าพวกเจ้าเกือบโดนคนรังแกแล้ว”
เสียงเอ็ดครั้งเดียวทำเอาแม่นางน้อยที่ทยอยฟื้นขึ้นมาทั้งสามคนตกตะลึงกันหมด
“จู…ต้าเหนียง?” จูเสียวเสวี่ยจำนางได้แล้ว
“อื้ม! ประเดี๋ยวเจ้ากับคนอื่น ๆ ตามข้ากลับเรือน ข้าจะให้เสี่ยวเม่ยกับพี่สะใภ้สี่ของนางไปส่งเจ้ากลับบ้าน” เย่อวี๋หรานมองไปทางเด็กสาวอีกสองคนแล้วพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าเป็นคนหมู่บ้านไหน แต่ก็ให้คนไปส่งข่าวแล้ว พวกเขาน่าจะมารับคนที่เรือนข้าหลังจากฟ้ามืด พวกเจ้าจำเอาไว้ให้ดี ไม่มีพวกค้ามนุษย์อะไรทั้งนั้น พวกเจ้าแค่มาเล่นกับเสี่ยวเม่ยที่เรือนข้าแล้วทำให้ข้าโมโห ข้าจึงกักตัวพวกเจ้าเอาไว้ และบีบให้พ่อแม่ของพวกเจ้าเอาเสบียงอาหารมาแลกคน เข้าใจแล้วหรือยัง?”
แม่นางน้อยทั้งสองตัวสั่นระริก “เข้า เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“เรื่องพวกค้ามนุษย์ พวกเจ้าต้องปล่อยให้มันเน่าสลายไปในท้อง นับแต่นี้ห้ามพูดถึงอีก”
สายตาของเย่อวี๋หรานกวาดผ่านพวกนางทีละคนจนมาหยุดที่จูปาเม่ย แล้วพูดว่า “ต่อไปก็หัดใช้สมองเสียบ้าง ไม่ใช่คนอื่นให้อะไรมาก็รับเอาไว้ ขนมยัดไส้ไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ ก็ร่วงลงมาจากฟ้า ไม่แน่ว่าในขนมนั้นอาจยัดไส้ยาเบื่อหนูเอาไว้ก็ได้ รอให้พวกเจ้ามากิน จะได้เบื่อพวกเจ้าจนตาย”
ไม่ต้องพูดถึงเด็กสาวคนอื่น แม้แต่จูปาเม่ยก็ก้มหน้าคอตกเสียแล้ว
วันนี้มารดาของนางไม่ยอมพูดจากับนาง ทั้งไม่ถามไถ่สารทุกข์นางสักนิด เพียงนั่งอยู่เป็นเพื่อนนางจนกระทั่งฟ้ามืด
จูปาเม่ยหิวใจจะขาดมาแต่แรก ทว่าเมื่อนางส่งเสียงเล็กน้อย มารดาของนางก็จะมองมาอย่างเย็นชา นางจึงไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
นางทราบว่าตนเองทำผิด มารดาของนางต้องไม่ละเว้นนางแน่แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านแม่จะลงโทษนางอย่างไร
ในเมื่อแม่นางน้อยเหล่านี้ได้สติกันหมดแล้ว เย่อวี๋หรานก็ไม่รีรออีก ให้พวกนางช่วยประคองกันและกันลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวร่างกายเล็กน้อย จากนั้นก็ให้ตามนางกลับไปที่เรือน
เพิ่งเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวก็พบกับกานอี้เซียนที่รับหน้าที่เฝ้ายาม ป้องกันพวกสัตว์ร้ายที่อาจผ่านมาทางนี้
สำหรับหนุ่มน้อยที่หน้าตาหล่อเหลาไม่ธรรมดาผู้นี้ เย่อวี๋หรานรู้สึกชื่นชมยิ่งนัก ไม่เพียงมีดีที่รูปโฉม แต่จิตใจก็ยังดีงาม ถ้าไม่ติดว่าฐานะไม่เหมาะสมกัน เย่อวี๋หรานก็อยากจะทาบทามเขาให้เสี่ยวเม่ยของนางจริง ๆ
“พวกนางฟื้นแล้ว เจ้าก็กลับไปเถอะ วันนี้รบกวนเจ้าแล้ว คุณชายกาน ฟ้ามืดแล้วข้าคงไม่รั้งตัวท่านไว้อีก คราวหน้าถ้ามีโอกาส ข้าค่อยแสดงความขอบคุณต่อเจ้าดี ๆ สักครา”
เย่อวี๋หรานไม่มีทางยอมรับเด็ดขาดว่าที่นางทำอยู่คือใช้งานเสร็จแล้วก็ทิ้งขว้าง
นางที่เป็นสาวแก่คงไม่เป็นไร แต่ข้างกายยังมีสาวน้อยเยาว์วัยอีกหลายคน ถ้าพาคนหนุ่มที่ฐานะไม่ชัดเจนกลับไปด้วย เกรงว่าอาจทำให้คนเข้าใจผิดได้
เพื่อชื่อเสียงของแม่นางน้อยเหล่านี้ นางได้แต่ต้องเป็น ‘คนเลว’ สักครั้งแล้ว
กานอี้เซียนประสานมือคารวะนาง “ขอบคุณคงไม่จำเป็นแล้ว ทุกคนล้วนเป็นคนหมู่บ้านสกุลจู นี่เป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำ”
ในฐานะถู่ตี้เฉินประจำหมู่บ้าน การปกป้องชาวบ้านภายในอาณาบริเวณที่ตนรับผิดชอบเป็นสิ่งที่สมควรทำอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
“เจ้าก็เป็นคนหมู่บ้านสกุลจู?” จูปาเม่ยยื่นหน้ามาถามด้วยความอยากรู้ “แต่ทำไมเมื่อก่อนข้าไม่เคยเห็นเจ้าเลยล่ะ?”
กานอี้เซียนพูดอย่างประดักประเดิดอยู่บ้างว่า “ข้ากำลังเตรียมตัวย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านสกุลจู แต่ยังไม่ได้ย้ายเข้ามา”
เขาพูดได้หรือว่าเขาเป็นคนหลงทิศหลงทาง ไม่ค่อยรู้จักเส้นทางเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งไปหลงทางมา?
วันนี้ในที่สุดก็มาถูกที่เสียที เขากลัวว่าตัวเองจะจำผิดอีก จึงแสร้งทำเป็นคนผ่านทางแล้วหาคนมายืนยันให้สักหน่อย ใครจะทราบว่าจะถูกสตรีสูงวัยผู้นี้ไล่ตีไปยกหนึ่งเหตุเพราะเข้าใจผิดว่าเป็น ‘ผู้ชายลวงโลก’ และยังไม่พอ เขายังถูกม้วนเข้าไปพัวพันกับคดีค้ามนุษย์อีก
เฮ้อ…ยังดีที่สุดท้ายแล้วก็จบลงด้วยดี มิเช่นนั้นถู่ตี้เฉินอย่างเขาคงต้องขายหน้าจริง ๆ แล้ว
เย่อวี๋หรานไม่ให้จูปาเม่ยถามต่อ รีบกล่าวคำอำลากับกานอี้เซียน จากนั้นก็พาเด็กสาวทั้งสี่คนจากไป
พวกเด็กสาวสามคนที่เพิ่งประสบกับเหตุการณ์ทั้งหมดมาหมาด ๆ นั้น ต่อให้กานอี้เซียนมีรูปโฉมงดงามประดุจเทพเซียน พวกนางก็ยากที่จะรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมาได้ ในทางตรงข้าม พวกนางกลับบังเกิดความตื่นตัวระแวงภัยชนิดที่ว่า ‘ถูกงูกัดไปครั้งเดียว กลัวเชือกยาวไปสิบปี’
คนแปลกหน้า?!
หน้าตาดีขนาดนี้ คงไม่ใช่พวกค้ามนุษย์หรอกนะ?
ฮู่ว จากไปได้เสียที ตกใจหมด นึกว่าเจอพวกค้ามนุษย์อีก
เฮ้อ ยุคนี้พวกค้ามนุษย์ล้วนหน้าตาดีขนาดนี้แล้วสินะ
ต้องยอมรับว่า ‘คุณชายหม่า’ ที่ปลอมตัวเป็นคุณชายเจ้าสำราญบ้านผู้ดีมีเงิน แม้รูปโฉมจะเทียบกับกานอี้เซียนไม่ได้ แต่จะต้องไม่แย่เกินไปเด็ดขาด มิเช่นนั้นคงไม่อาจปลอมตัวได้แนบเนียน จนหลอกหลวงผู้คนได้มากมายถึงเพียงนี้
จู่ ๆ เย่อวี๋หรานก็พาเด็กสาวแปลกหน้าสามคนกลับมาด้วย พวกจูเหล่าโถวที่เรือนก็หาได้ประหลาดใจไม่ เนื่องจากหลังเกิดเรื่อง เจ้าหน้าที่ของทางการได้ส่งคนมาแจ้งไว้แล้ว
หลิ่วซื่อ หลิวซื่อ และหลี่ซื่อ ทั้งสามคนสาละวนขึ้นมาทันใด พากันยกโจ๊กใส่ผักที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมา
อย่าโทษว่าพวกนางขี้เหนียว แต่ในเรือนไม่มีของกินอะไรแล้วจริง ๆ เดิมทีคนในครอบครัวก็ต้องกินอย่างกระเบียดกระเสียรกันอยู่แล้ว แล้วจะทำใจยกออกมาให้คนนอกกินได้อย่างไร?
เย่อวี๋หรานเห็นว่าเป็นโจ๊กก็ไม่ได้พูดอะไร
หลิ่วซื่อ หลิวซื่อ และหลี่ซื่อจึงพากันผ่อนลมหายใจออกมา
เรื่องทำโจ๊กเป็นอาหารเย็นเป็นสิ่งที่พวกนางตัดสินใจกันเอง แม่สามีออกไปตอนบ่ายก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย ทั้งยังไม่ได้กำชับอะไรไว้ พวกนางไม่ทราบว่าควรทำอะไรดี หลังจากเจรจากันแล้วจึงตัดสินใจทำโจ๊กใส่ผัก
จูปาเม่ยเพิ่งจะทำความผิดมา นึกว่าโจ๊กใส่ผักเป็นมารดาของนางสั่งมาเพื่อ ‘ลงโทษ’ ตนเอง ประกอบกับไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันแล้ว นางจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ยกขึ้นมากินทันที
ส่วนพวกเด็กสาวทั้งสามคน ที่เรือนของตนก็กินโจ๊กเช่นนี้ จึงไม่ได้รู้สึกแปลกแต่อย่างใด ทั้งยังมาเป็นแขกในเรือนผู้อื่น แน่นอนว่าย่อมไม่มีความเห็นเป็นอื่น
หลังกินโจ๊กหนึ่งถ้วย เย่อวี๋หรานก็ให้จูปาเม่ยและหลี่ซื่อพาจูเสียวเสวี่ยไปส่งที่เรือน
คืนนี้คนบ้านจูเหวินรุ่ยเข้านอนกันดึกมาก ภรรยาของเขาทนรอไม่ไหว วิ่งออกไปยังถนนนอกเรือนแล้วชะเง้อคอมองหา กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันกับลูกสาวอีก
ครั้นนางมองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยของจูเสียวเสวี่ยก็เกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
นางรีบกล่าวขอบคุณต่อหลี่ซื่อและจูปาเม่ยเสียงเบา บอกว่าผ่านไปอีกสักหลายวัน เสียงคนซาลงไปแล้ว จะต้องไปขอบคุณถึงเรือนแน่นอน
ก่อนหลี่ซื่อจะออกมา แม่สามีได้กำชับไว้แล้ว ทั้งนางยังเข้าใจโลกกว่าจูปาเม่ย จึงแสดงท่าทีอบอุ่นเป็นกันเองอย่างมาก บอกว่าทุกคนล้วนเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน เห็นใครพบความลำบากแล้วจะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้อย่างไร อย่าได้เกรงอกเกรงใจ รีบกลับเข้าไปพักผ่อนเถอะ ขอเพียงคนไม่เป็นไรก็พอแล้ว
“แม่สามีของเจ้าช่างเป็นคนดีจริง ๆ!”
หลี่ซื่อแอบภูมิใจ “ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน”
คิดไม่ถึงเลยว่าแม่สามีจะสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่เช่นนี้ไว้อย่างเงียบ ๆ หลังออกจากบ้านไปแค่รอบเดียว
MANGA DISCUSSION