บทที่ 49 มีคนขโมยมันเทศ
“ต้องเป็นข้าอยู่แล้วสิ ข้ามีพ่อแม่คนเดียวกันกับพวกพี่ ๆ นะเจ้าคะ” จูปาเม่ยตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ผิดแล้ว” เย่อวี๋หรานพูด “พี่สะใภ้ของเจ้าสนิทสนมกับพี่ชายเจ้ายิ่งกว่า”
“จะเป็นไปได้อย่างไร? พวกนางไม่ได้มีพ่อแม่คนเดียวกับพวกเขาเสียหน่อย”
“ใช่ พวกนางกับพี่ชายหลายคนของเจ้าไม่ได้มีพ่อแม่คนเดียวกัน แต่พวกเขามีลูกน้อยที่เชื่อมโยงกันด้วยสายเลือด คนที่จะดูแลพวกเขาต่อไปในยามแก่เฒ่าก็คือลูก ๆ เหล่านั้น เจ้าคิดว่าถึงตอนที่ลูกน้อยค่อย ๆ เติบโตขึ้น พวกเขาจะฟังลูก ๆ หรือจะฟังน้องสาวที่ออกเรือนไปแล้วและไม่ได้เลี้ยงดูพวกเขายามแก่เฒ่ากันล่ะ?”
จูปาเม่ยพลันเงียบงันไป
ต่อให้นางเขลาแค่ไหนก็ทราบว่าเมื่อพี่ชายของนางชราไปก็มีหลาน ๆ เป็นคนดูแล ไม่มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับนางเลย
คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน ใครบ้างไม่ได้คลอดลูกออกมาเพื่อการนี้?
กระทั่งบิดามารดาของนางเองก็ให้กำเนิดลูกชายหลายคนก็เพื่อเรื่องนี้เองไม่ใช่หรือ? เพียงแต่มารดาของนางอยากจะส่งนางไปเป็นอนุภรรยามาตลอด ต้องการจะพึ่งพาให้นางเสพโชคลาภวาสนา ฉะนั้นจึงได้ปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี
“ข้ากำลังสอนวิธีสานสัมพันธ์กับผู้อื่นให้เจ้า เจ้าอยู่ในเรือนตัวเองยังเอาชนะใจพี่สะใภ้ไม่ได้ หากออกไปแล้วจะเกลี้ยกล่อมคนที่มีผลประโยชน์ผูกพันกับเจ้าได้อย่างไร?” เย่อวี๋หรานกล่าว “ตอนนั้นก็เป็นเพราะข้าไม่ได้ผูกใจคนเอาไว้ให้ดี จึงได้มีคนลอบวางกับดัก ทำให้ข้าล่วงเกินนายน้อยและนายหญิงจนถูกขับไล่ออกมา เจ้าไม่อาจทำความผิดแบบเดียวกับข้าได้ เข้าใจหรือไม่?”
“หมายความว่าท่านแม่ไม่ได้จะให้ข้าไปเอาอกเอาใจพี่สะใภ้ แต่ต้องการสอนข้าว่าจะ ‘ปะเหลาะคน’ ได้อย่างไรสินะเจ้าคะ?” จูปาเม่ยครุ่นคิดขึ้นมาได้ก็ยินดีปรีดา คว้าสร้อยข้อมือเดินออกจากห้องไป
สำหรับการให้เหตุผลของจูปาเม่ย เย่อวี๋หรานได้แต่ยิ้มส่ายศีรษะอย่างอับจนปัญญา
มุมมองด้านคุณค่าของคนผู้หนึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ง่ายดายปานนั้น
แม้ว่าตอนนี้นางจะยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดที่แท้จริงของจูปาเม่ยได้ แต่คงต้องเริ่มปรับปรุงพฤติกรรมของนางก่อน ให้นางทำเรื่องที่สมควรทำไปก่อนก็ดีเหมือนกัน
เรื่องราวบางอย่างก็ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ครั้นถึงตอนเย็น ต้าเป่าและเอ้อร์เป่ายังคงกลับมานอนที่นี่ รับผิดชอบ ‘ปรนนิบัติ’ จูชีต่อไป
เย่อวี๋หรานไม่ทราบว่าจูปาเม่ยไปคราวนี้มีผลตอบรับอย่างไรบ้าง แต่นางอารมณ์ดียิ่งนัก ขาดก็แต่ครวญเพลงแล้ว
ในยุคสมัยนี้ไม่นิยมร้องเพลง เพราะจัดอยู่ในเก้าวิชาชีพของชนชั้นล่าง[1] มีแต่นักแสดงงิ้วจึงจะทำกัน
ถึงเย่อวี๋หรานจะนึกครึ้มอกครึ้มใจอยากสอนนางสักหลายท่อน แต่ก็กลัวว่าจะนำมาซึ่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อจูปาเม่ย จึงระงับความคิดนั้นเอาไว้
จูชีมีต้าเป่าและเอ้อร์เป่าคอยดูแล นับว่าช่วยแบ่งเบาเย่อวี๋หรานได้ไม่น้อย นางไม่มีธุระอย่างอื่นแล้วจึงอาศัยช่วงที่ท้องฟ้ายังไม่ทันมืดสนิทมาทบทวนเนื้อห้าที่สอนให้จูปาเม่ยไปเมื่อตอนกลางวัน ทั้งยังสอนวิธีพลิกแพลงอีกหลายแบบให้จูปาเม่ยค่อย ๆ ขบคิดฝึกฝน
ยุคโบราณไม่มีแสงสว่างจากไฟฟ้า และด้วยฐานะครอบครัวสกุลจูยิ่งไม่อาจใช้ตะเกียงน้ำมันได้ โดยทั่วไปแล้วครั้นฟ้ามืดลงก็ไม่อาจทำอะไรได้อีก ได้แต่ขึ้นไปนอนบนเตียง
เย่อวี๋หรานนอนอยู่บนเตียง ในใจเต็มไปด้วยความเสียดาย นางยังสอนจูปาเม่ยไม่จบเลย น่าเสียดายที่ตะเกียงน้ำมันค่อนข้างฟุ่มเฟือย ไม่อย่างนั้น…
นอนไม่หลับแล้วจะทำอะไรดี?
นอกจากย้อนนึกถึงชีวิตในชาติภพที่แล้ว เวลานี้ยังจะทำอะไรได้อีก เกรงว่าคงมีแต่ครุ่นคิดถึงสิ่งที่จะทำในวันรุ่งขึ้น นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรที่สามารถทำได้อีกแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เย่อวี๋หรานนอนไม่หลับนับตั้งแต่ย้อนยุคมาจวบจนวันนี้
ไม่รอให้เย่อวี๋หรานได้ทันคิดหาวิธีลากตัวผู้ชายของจูปาเม่ยให้เผยออกมา ทั้งยังไม่รอให้นางคิดหาวิธีจับปลามาได้ ระหว่างนั้นภายในเรือนก็เกิดเรื่องขึ้นมาเสียก่อน
มีคนขโมยอาหารไป
“ท่านแม่ ต้องเป็นน้องสะใภ้ห้าทำแน่ ๆ เจ้าค่ะ” หลี่ซื่อกล่าวขึ้นอย่างเป็นเดือดเป็นร้อน “ข้าว่าแล้วเชียว เช้าวันนี้นางบอกว่าจะกลับบ้านมารดา จะต้องมีเรื่องอะไรแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นไม่มีธุระอะไรแล้วทำไมจะต้องกลับไปในเวลานี้?”
เย่อวี๋หรานไม่ปริปาก
กลับบ้านมารดาไปก่อนจะถึงช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยว ดูท่าว่าทางนั้นอาจมีอะไรให้ช่วยเหลือ ก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน
นอกจากจางเยียนภรรยาของเจ้าสามที่ค่อนข้างประหลาด ชอบไปค้างบ้านเดิมไม่ยอมกลับมา ปกติแล้วเหล่าลูกสะใภ้ก็มักจะอาศัยที่เรือน หากมีอะไรเป็นพิเศษก็จะรีบกลับบ้านไปดูสักรอบ จากนั้นค่อยกลับมาช่วยงานทางนี้
ดังนั้นนอกจากหลินซื่อแล้ว ก่อนหน้านี้ยังมีหลิ่วซื่อ และหลิวซื่อที่ขออนุญาตกลับไป
ส่วนหลี่ซื่อไม่ได้กลับไปในปีนี้ สาเหตุสำคัญก็คือนางตั้งครรภ์จนท้องโตแล้ว เย่อวี๋หรานจึงไม่อนุญาต กลัวว่าลูกสะใภ้ที่ฝีปากดีอยู่บ้างผู้นี้จะวิ่งไปวิ่งมาจนทำให้เด็กในท้องเกิดปัญหาเอาได้
“ท่านแม่ ทำไมท่านถึงไม่พูดล่ะเจ้าคะ? ไม่ใช่น้องสะใภ้ห้าแล้วจะเป็นใครได้อีก?”
“เรือนเรากินไปมากน้อยเท่าไหร่ แต่ละมื้อข้าคอยสังเกตมาตลอด รู้แก่ใจดี” หลี่ซื่อพูด “ถ้าไม่ใช่เพราะข้ายังนับจำนวนมาก ๆ ไม่เป็น แผ่นมันเทศที่ตากอยู่พวกนั้นแต่ละวันจะน้อยลงไปนิดหน่อย ข้าก็คงจะนับแผ่นมันเทศด้วยสักรอบ…”
เย่อวี๋หรานนับว่ากระจ่างแจ้งเสียที ไฉนภรรยาเจ้าสี่ไม่มีธุระอะไรก็แล่นมาวนในห้องนางรอบหนึ่ง จากนั้นก็ไปต่อเล้าไก่ท้ายเรือนรอบหนึ่ง ที่แท้ก็คือไป ‘นับจำนวน’ นี่เอง?
“ท่านแม่ พฤติกรรมแบบนี้จะปล่อยไปไม่ได้นะเจ้าคะ มีสะใภ้ที่ไหนบ้างอยู่ว่าง ๆ ก็ขโมยเสบียงบ้านแม่สามีเอาไปช่วยเหลือบ้านมารดา?”
เย่อวี๋หรานชายตามอง “เจ้ารู้อะไรมาใช่หรือไม่?”
“รู้อะไรกันเจ้าคะ? ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น” หลี่ซื่อสายตาหลุกหลิก ไม่ได้พูดความจริงออกมา
“เจ้าจะพูดตอนนี้ หรือจะรอให้ข้าเค้นถามเสียก่อนจึงจะยอมพูด?” เย่อวี๋หรานไม่พูดพร่ำ จ้องนางพลางถามด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
นางไม่เชื่อเด็ดขาดว่าหลี่ซื่อจะไม่รู้ ถ้าไม่รู้แล้วหลี่ซื่อจะพูดออกมาเช่นนี้หรือ?
เห็นสะใภ้ทั้งสามคนลากลับไปบ้านมารดา หลี่ซื่อจับตามองไม่ให้คลาดสายตาขนาดนั้น จะต้องมีปัญหาแน่นอน
เย่อวี๋หรานไม่เหมือนหลี่ซื่อ อยู่ว่าง ๆ ก็ออกไปข้างนอก ทั้งไม่คล่องแคล่วเหมือนหลี่ซื่อที่รู้ทันข่าวสารดุจมีภูตมากระซิบ ทว่าความเคลื่อนไหวทั้งหมดของหลี่ซื่อล้วนอยู่ในสายตาของเย่อวี๋หราน นางเข้าใจความคิดอ่านของลูกสะใภ้ผู้นี้
“ท่านแม่ ท่านอย่ามองข้าเช่นนี้สิเจ้าคะ ข้าไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ”
หลี่ซื่อยิ่งพูดก็ยิ่งร้อนตัว ภายหลังอับจนปัญญาแล้วจริง ๆ นางจึงได้กระทืบเท้า ยอมปริปากพูดออกมาในที่สุด
“ท่านแม่ ถ้าพี่สะใภ้กับน้องสะใภ้มาถามทีหลัง ท่านอย่าบอกว่าข้าเป็นคนพูดเชียวนะเจ้าคะ”
“ที่จริงแล้วเรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก ท่านแม่ ท่านก็รู้ ปีนี้ครอบครัวไหนก็ไม่ง่ายเลยทั้งนั้น ยังไม่ถึงช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงก็ไม่มีอะไรกินแล้ว นี่เป็นเรื่องธรรมดามาก ดังนั้นช่วงนี้จึงมีคนไปขุดผักป่าบนเขากันมาก ข้าไม่ได้ขึ้นเขาแล้ว ของที่พี่สะใภ้ใหญ่เก็บกลับลงมาก็น้อยลง…”
เย่อวี๋หรานเห็นว่าหลี่ซื่อยิ่งพูดก็ยิ่งออกทะเล จึงรู้สึกหมดคำพูดอยู่บ้าง “พูดให้เข้าประเด็นหน่อย”
“ที่ข้าพูดมาเป็นประเด็นทั้งนั้นนะเจ้าคะ ช่วงนี้ทุกคนล้วนมีชีวิตลำบาก ดังนั้นบ้านเดิมของลูกสะใภ้ของท่านก็ลำบากเหมือนกัน” พูดถึงตอนท้าย เสียงของหลี่ซื่อก็เบาลง “ท่านแม่ ท่านคงจะจำได้ ตอนนั้นที่ท่านยอมให้น้องสะใภ้ห้าแต่งเข้ามาก็เพราะครอบครัวนางให้กำเนิดแต่ลูกสาว…ท่านโปรดปรานเด็กผู้หญิง เรือนเราคลอดเด็กผู้หญิงจึงไม่นับเป็นปัญหาอะไร แต่ว่าบ้านของน้องสะใภ้ห้าไม่เหมือนกัน ครอบครัวของพวกนางให้กำเนิดแต่ลูกสาว จึงไม่ได้รับการยอมรับจากคนในหมู่บ้าน”
“พี่สาวที่ออกเรือนไปก่อนหน้านางทั้งสองคนก็คลอดออกมาแต่ลูกสาว ดังนั้นเด็กสาวในครอบครัวของพวกนางจึงไม่ค่อยมีคนอยากแต่งงานด้วย พี่สาวคนที่สามและคนที่สี่ของนางจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ออกเรือน”
เย่อวี๋หรานชักจะเหลืออด “เข้าประเด็นหน่อย”
ในครอบครัวของหลี่ซื่อมีลูกสาวหลายคน แต่งออกไปก็ยาก เจ้าของร่างเดิมยังจะไม่รู้อีกหรือ?
เจ้าของร่างเดิมยอมให้หลินซื่อเข้าเรือนมาก็เพราะพี่สาวของนางทั้งสองคนล้วนให้กำเนิดแต่ลูกสาว นางถึงได้อยากให้หลินซื่อแต่งเข้ามาคลอดลูกสาวให้นั่นเอง
[1] เก้าวิชาชีพของชนชั้นล่าง 下九流 หมายถึง อาชีพของคนที่มีฐานะทางสังคมต่ำต้อยในสมัยโบราณ ได้แก่ หมอผี นางคณิกา คนทรงเจ้า คนตีฆ้องบอกโมงยาม ช่างตัดผม นักดนตรี นักแสดงงิ้ว ขอทาน และคนขายน้ำตาลเป่า
MANGA DISCUSSION