บทที่ 43 จูปาเม่ยร้อนตัว
เย่อวี๋หรานคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ สาเหตุที่เจ้าของร่างเดิมชอบหลี่ซื่อนั้น ไม่ใช่เพราะหลี่ซื่อปากหวาน แต่เป็นเพราะเย่อวี๋หรานวิวาท ‘ชนะ’ จนได้ลูกสะใภ้คนนี้มาต่างหาก ดังนั้นเพื่อที่จะโจมตีจิตใจมารดาของหลี่ซื่อ นางจึงจงใจทำดีต่อหลี่ซื่อเป็นพิเศษ คิดจะโอ๋เอาใจล่อลวงหลี่ซื่อมาทางนี้ เพื่อให้หลี่ซื่อกับมารดาร้าวฉานกัน…
เย่อวี๋หราน “…”
เจ้าของร่างเดิมชมชอบที่จะทิ่มแทงจุดเปราะบางในจิตใจของผู้อื่นเป็นที่สุด เรื่องแบบนี้หาได้ทำเป็นครั้งแรก
“แอบฟังคนอื่นคุยกันแบบนี้ไม่ถูกต้อง เจ้าลืมที่ตัวเองเคยตำหนิเมียเจ้าห้าไปแล้วหรือ? ‘ครองตนชอบธรรม แม้นไม่ออกสั่งผู้อื่นก็คล้อยตาม ครองตนไม่ชอบธรรม แม้นออกคำสั่งผู้อื่นไม่คล้อยตาม’”
“เอ้อ ท่อนแรกข้าพอเข้าใจ แต่ท่อนหลังหมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ ท่านแม่?” หลี่ซื่อถามอย่างประหม่า
เย่อวี๋หรานพูด “ท่อนหลังหมายถึงตนเองประพฤติตนไม่ถูกต้องชอบธรรม ก็ไม่มีคุณสมบัติไปตำหนิผู้อื่น เจ้าอยากให้เมียเจ้าห้าใช้เรื่องนี้มาอุดปากเจ้างั้นหรือ?”
“ไม่อยากเจ้าค่ะ”
“ไม่อยากแล้วเจ้ายังพูดมากอยู่ทำไม? อย่าเอาแต่ฟังอย่างเดียว ต้องจำให้ขึ้นใจด้วย” เย่อวี๋หรานนึกดีใจที่นางไม่มีนิสัยชอบพูดพึมพำกับตนเองหรือแอบกระซิบให้คนอื่นฟัง ไม่อย่างนั้นถ้าเรื่องคอขาดบาดตายถูกคนอื่น ‘แอบฟัง’ เข้า นางยังจะรอดตัวไปได้หรือ?
สั่งสอนยกหนึ่งแล้วก็ปล่อยนางไป เพื่อให้นางกลับห้องไปพักผ่อน
ครั้นเพิ่งจะเดินเข้าประตูมาก็เห็นจูปาเม่ยกำลังสวมอะไรบางอย่างที่ข้อมือ เย่อวี๋หรานพลันเหนื่อยหน่ายใจ
ครอบครัวนี้นอกจากเรื่องกินข้าวอิ่มท้องแล้ว แต่ละคนคือตัวปัญหาทั้งนั้น คนหนึ่งเพิ่งจบเรื่อง อีกคนก็มาคอยท่านางอยู่ก่อนแล้ว
เฮ้อ…ไม่อยากจะยุ่งกับเจ้าจูปาเม่ยคนนี้แล้ว ปล่อยให้นางทำลายตัวเองไปเถอะ อย่างไรเสียก็ไม่ใช่นางที่คลอดออกมาเองเสียหน่อย
แต่พอมาคิดอีกที นางก็ ‘เก็บ’ ร่างกายของเจ้าของร่างเดิมมาแล้ว ต่อให้ร่างนี้ไม่สมดั่งใจ แต่อย่างน้อยก็มีเลือดเนื้อและมีชีวิต
“ท่านแม่!”
“ไม่นอนกลางวันรึ?”
“จะนอนแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ ท่านจะนอนกลางวันหรือไม่เจ้าคะ? ข้าช่วยท่านปูที่นอนนะ” จูปาเม่ยกระตือรือร้นอย่างมาก
“อืม” เย่อวี๋หรานไม่พูดอะไรมาก ปล่อยให้จูปาเม่ยปูที่นอนไป
ขณะที่จูปาเม่ยกำลังสะบัดผ้าปูที่นอน ก็ทำแถบผ้าหลากสีที่นางใช้ก่อนหน้านี้หล่นลงมา นางลังเลเล็กน้อยก็รีบเก็บขึ้น พลางพูดว่า “อ๊ะ ข้าเพิ่งเรียนถักปมได้ไม่เท่าไหร่ ทำได้อยู่ไม่กี่แบบ แถมยังทำได้ขี้เหร่มาก…”
นางคล้ายกับจะคิดว่าข้ออ้างที่ตนเองคิดขึ้นมาได้นี้ไม่เลวเลย ทั้งยังแสดงสิ่งที่อยู่บนข้อมือออกมาให้เย่อวี๋หรานดู
“ท่านแม่ ท่านดูที่ข้าทำ พันได้น่าเกลียดเกินไปแล้ว ไม่กล้าให้ใครเห็นเด็ดขาด”
“ท่านแม่ ท่านอย่าบอกใครเชียวนะเจ้าคะ ข้ายังทำไม่เป็น รอจนถึงตอนที่ข้าทำเป็นแล้ว ค่อยทำอันที่สวย ๆ ให้ท่าน”
แท้จริงแล้วการถักปมที่จูปาเม่ยพูดถึง ก็คือการทำสร้อยอิงลั่วที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปอย่างหนึ่ง
สร้อยอิงลั่วคือเครื่องประดับประเภทสร้อยคอหรือสร้อยแม่กุญแจอายุวัฒนะที่ถูกนำมาตกแต่งใหม่อีกครั้งด้วยเชือกถักที่ประณีต เพื่อให้แลดูงดงามยิ่งขึ้น
เย่อวี๋หรานพลิกหาในความทรงจำเจ้าของร่างเดิม พบว่าเมื่อครั้งที่นางยังเป็นสาวใช้ข้างกายนายน้อยก็เคยได้เรียนรู้มาก่อน มักจะใช้ไข่มุกหยกมณีมาคล้องไว้บนสร้อยคอทองคำด้วยวิธีการผูกเป็นปม สร้อยคอที่แสนธรรมดาก็กลายเป็นระยิบระยับจับตาขึ้นมาทันใด
นอกจากนี้ เย่อวี๋หรานยังจำได้ว่าตนเองเคยเห็นจากฉากหนึ่งในภาพยนตร์โทรทัศน์ที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมเรื่องความฝันในหอแดง[1] เจี่ยเป่าอวี้รบเร้าพัวพันเซวียเป่าไช ต้องการดูสร้อยทองบนคอนางให้ได้ จึงปลดสร้อยอิงลั่วสีทองอร่ามลงมาจากคอของอีกฝ่าย
การถักปมที่จูปาเม่ยพูดถึงก็ดัดแปลงมาจากสร้อยอิงลั่วนี้เอง เนื่องจากครอบครัวชาวนายากจน ทองคำและเงินเป็นของหายาก แต่สามารถใช้ประโยชน์จากสีสันที่หลากหลายของเชือกถักมาถักร้อยเป็นเครื่องประดับเล็ก ๆ น้อย ๆ สวมใส่บนร่างกายได้
ถ้าเป็นคนอื่นอาจทำไม่เป็น ทว่าเจ้าของร่างเดิมเคยเป็นสาวใช้มาก่อน ฝีมือด้านนี้ต้องมีอยู่แล้ว ในปีนั้นเจ้าของร่างเดิมจึงเคยสอนให้จูปาเม่ย
เพียงแต่ยามนี้จูปาเม่ยเอาไปใช้กับอย่างอื่น
เย่อวี๋หรานเพียงมองกำไลข้อมือที่ใช้แถบผ้าพันเอาไว้ก็ทราบว่าเป็นเรื่องราวใด
พันอย่างสุกเอาเผากินเช่นนั้นก็เพื่อจะได้ไม่ดึงดูดสายตาคน สิ่งของที่จะทำให้จูปาเม่ยสิ้นเปลืองความคิดได้ขนาดนี้ย่อมเป็นกำไลเงินวงนั้นแล้ว
นางอยากบอกจูปาเม่ยจริง ๆ ว่า “นั่นคือของปลอม มันเป็นเงินผสม หลอกได้แต่แม่นางน้อยที่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อนเท่านั้นแหละ”
แต่จูปาเม่ยกลับเป็นคนที่โดนหลอกคนนั้นนี่สิ…
เย่อวี๋หรานลอบด่าผู้ชายสมควรตายที่มาหลอกลวงจูปาเม่ย นึกสาปแช่งบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของอีกฝ่ายในใจ ก่อนจะคว้าแถบผ้าจากมือจูปาเม่ย “นี่คงเป็นเศษผ้าที่เหลือจากซื้อมาคราวโน้นกระมัง?”
แถบผ้าเหล่านี้ไม่ใช่ผ้าฝ้ายธรรมดาทั่วไป น่าจะเป็นเจ้าของร่างเดิมไปซื้อผ้าส่วนเกินนี้มาจากร้านขายผ้าในตำบลเพื่อเอาใจจูปาเม่ยโดยเฉพาะ
ถึงแม้สตรีในหมู่บ้านสกุลจูจะทำผ้ากระสอบใช้งานเองได้ แต่ผ้ากระสอบเนื้อหยาบเช่นนั้นสวมบนร่างแล้วไม่ค่อยสบายตัวนัก มีเพียงตอนไปทำงานจึงสวมไว้ชั้นนอกสุด ป้องกันไม่ให้ชุดผ้าป่านด้านในที่เนื้อละเอียดกว่าต้องเสียหาย
ผ้าป่านหนึ่งฉื่อราคาสิบหกอีแปะ ส่วนผ้าฝ้ายชั้นเลวราคายี่สิบหกอีแปะ แต่ไข่หนึ่งฟองราคาสองอีแปะเท่านั้น เห็นได้ว่าในยุคสมัยที่กำลังผลิตต่ำเตี้ยแบบนี้ ผ้าเหล่านี้ราคาแพงมากเพียงใด
ต่อให้เป็นแถบผ้าแบบนี้ก็ยังขายได้ นำมาใช้ทำกระเป๋าพกกระจุ๋มกระจิ๋ม ดอกไม้ผ้าประดับศีรษะ ล้วนเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
แถบผ้าในมือจูปาเม่ยนี้ก็ใช้เงินไปหนึ่งเหรียญถึงซื้อกลับมาได้
เจ้าของร่างเดิมตัดใจจ่ายเงินหนึ่งเหรียญนี้ออกไปได้ก็เพื่อสอนให้จูปาเม่ยได้รู้จักผ้าพับ ถักร้อยปมผ้า เตรียมการไว้สำหรับอนาคต ส่วนการเย็บปักนั้น เจ้าของร่างเดิมใช่ว่าจะไม่อยากสอน แต่สาเหตุสำคัญก็คือครอบครัวไม่มีเงิน ไม่มีกำลังซื้อสิ่งของที่ใช้ในการเย็บปักจริง ๆ ลำพังด้ายเย็บผ้าพวกนั้นถ้าจะซื้อขึ้นมาก็พอให้ตัดชุดที่ดีหน่อยชุดหนึ่งได้เลยทีเดียว
“อื้ม” จูปาเม่ยขานรับ ที่จริงนางตึงเครียดอยู่บ้าง อย่างไรเสียนี่ก็เป็นครั้งแรกที่นางโป้ปดมารดาอย่างจริงจัง ทั้งยังเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้
เย่อวี๋หรานถือแถบผ้าพลางประเมินเครื่องหน้าของจูปาเม่ยอย่างละเอียด พบว่าแม้จูปาเม่ยจะอายุยังน้อย แต่เมื่อเทียบกับบรรดาเด็กสาวในหมู่บ้าน นางถูกประคบประหงมมาจนแลดูบอบบาง รูปโฉมก็สืบทอดมาจากเจ้าของร่างเดิมโดยสมบูรณ์แบบ สามารถมองเห็นเค้าลางความงามพริ้มเพราได้แล้ว
ไม่แปลกเลยที่จะถูกคนหมายตาทั้งที่ยังเด็ก
“ท่านแม่ ทำไมท่านมองข้าแบบนี้ล่ะเจ้าคะ?” จูปาเม่ยกระวนกระวายใจ
หรือท่านแม่จะมองออกแล้ว?
เป็นไปไม่ได้ นางซ่อนไว้แน่นหนาขนาดนั้น แม้แต่พี่เจ็ดที่อยู่ด้านในยังไม่รู้ แล้วท่านแม่จะรู้ได้อย่างไร?
“เพิ่งจะรู้ว่าที่แท้ปาเม่ยของพวกเราก็งามปานนี้”
จูปาเม่ยหน้าแดง “ท่านแม่ ทำไมท่านพูดแบบนี้ล่ะเจ้าคะ?”
“ข้าพูดแบบนี้แล้วอย่างไร? สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง” เย่อวี๋หรานกล่าว “ก่อนนี้ข้ายุ่งอยู่ทุกวัน ไม่ได้อยู่คุยเป็นเพื่อนเจ้าดี ๆ สักครั้ง บอกว่าจะสอนเจ้าถักปมก็สอนไปไม่ถึงไหน อาศัยว่าตอนนี้พักผ่อนอยู่ ข้าทำสร้อยข้อมือสวย ๆ ให้เจ้าสักหลายอัน จะต้องงามกว่าอันที่อยู่บนข้อมือของเจ้าแน่นอน”
เย่อวี๋หรานย่อมถักปมที่ซับซ้อนมากไม่เป็นอยู่แล้ว แต่ตอนที่ยังเรียนอยู่ การถักสร้อยข้อมือเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียน นางก็ได้ทำตามกระแสนิยมสมัยนั้นด้วยการเรียนรู้การถักเชือกมาช่วงเวลาหนึ่ง
วิธีถักสร้อยข้อมือง่าย ๆ ไม่กี่แบบ นางพอรู้อยู่บ้าง
“ท่านแม่ ท่านทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย?” จูปาเม่ยประหลาดใจ เพราะนางไม่เคยได้ยินมารดาเอ่ยถึงมาก่อน
“ข้าจะสอนแบบง่าย ๆ ให้เจ้าก่อน เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการถักสร้อยข้อมือคืออะไร?”
จูปาเม่ยส่ายศีรษะ “คืออะไรหรือเจ้าคะ?”
[1] ความฝันในหอแดง《红楼梦》คือหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนยุคโบราณ (ส่วนอีกสามเรื่อง ได้แก่ สามก๊ก ซ้องกั๋ง ไซอิ๋ว) เป็นวรรณกรรมที่สะท้อนความเหลวไหลฟุ้งเฟ้อของชนชั้นสูงในยุคศักดินา
MANGA DISCUSSION