บทที่ 4 ข้าขอชิมได้หรือไม่
เย่อวี๋หรานใช้ชามอีกใบใส่แป้ง เติมน้ำ ผสมให้เข้ากัน และพักทิ้งเอาไว้
ความจริงแล้วผลไม้ป่าควรแช่น้ำเกลือไว้นานกว่านี้ แต่การเคี่ยวน้ำเชื่อมผลไม้ต้องใช้เวลามาก นางจึงเอาขึ้นมาก่อน แล้วให้หลิวซื่อเอาหม้อใบเล็กไปตั้งบนเตาให้ร้อน ก่อนจะเทผลไม้ลงไปต้มจนสุก
จากนั้นก็ค่อย ๆ เทแป้งที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ลงไปในหม้อ ใช้ทัพพีเทแป้งเพื่อป้องกันไม่ให้ไปติดหม้อ เพราะเดี๋ยวจะไหม้เอาได้
ถึงแม้หลิวซื่อจะกำลังติดไฟอยู่ แต่ก็เห็นว่าเย่อวี๋หรานกำลังทำอะไร นางไม่เคยเห็นวิธีการเช่นนี้มาก่อน จึงตกตะลึงอยู่บ้าง
นางกำลังสงสัยว่าแม่สามีใช้เสบียงสิ้นเปลือง แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา ได้แต่ปลอบตัวเองว่าคงเพราะนางอายุยังน้อย เห็นโลกมาไม่มากพอก็เป็นได้
เย่อวี๋หรานไม่ได้สังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย ตอนนี้นางกำลังจดจ่อ ครั้นเห็นว่าได้เวลาพอสมควรแล้ว ก็ให้หลิวซื่อลดไฟลง ขณะเดียวกันก็เอาหม้อใหญ่อีกใบไปตั้งให้ร้อน
น่าเศร้าใจจริง ๆ ไม่มีน้ำมัน แล้วแป้งกรอบจะทำอย่างไรดี?
โชคดีที่นางไม่ได้ชะล่าใจ จึงใช้น้ำแกงข้นกำลังได้ที่ลวกแป้งสำหรับทำแป้งกรอบ ไม่อย่างนั้น แค่เอาแป้งลงหม้อก็คงจะติดหนึบจนพลิกไม่ได้แล้ว
หลังจากนั้นก็เอาแป้งที่ผสมกับผักซอยไว้ออกมานวดเป็นเส้น หั่นเป็นก้อนขนาดเท่า ๆ กัน แล้วพักทิ้งไว้
ต่อไปก็นำหัวไชเท้าฝอยที่เตรียมไว้ลงไปผัดในหม้อ
น้ำผสมน้ำมันในโถก่อนหน้านี้ยังใช้ไม่หมด นางก็เอามาใช้แทนน้ำแกง จะมากหรือน้อยก็ยังพอมีน้ำมันอยู่บ้าง
หัวไชเท้าฝอยไม่ได้ครองพื้นที่เต็มหม้อใบใหญ่ ตอนนี้ยังเหลือที่ว่างอีกมากโข นางจึงเติมน้ำแกงลงไป
จากนั้นนำก้อนแป้งที่เตรียมไว้มารีดออกอย่างรวดเร็ว นวดจนเป็นแผ่นบาง แล้วนำลงไปแปะข้างหม้อที่เติมน้ำแกงแล้ว ใช้ความร้อนจากข้างหม้อเพื่อย่างจนสุก
และที่เรียกกันว่าแป้งย่างขอบหม้อ [1] ก็แค่นี้เอง
ในไม่ช้า กลิ่นหอมของผลไม้และไข่ไก่ก็อบอวลไปทั่วห้องครัว
หลิ่วซื่อที่ตัดหญ้าเลี้ยงหมูอยู่ในลานเรือนถึงกับชะงักไป นี่คือ…
นางกลืนน้ำลายอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
“เจ้าลองชิมดูว่าแป้งกรอบนี่สุกได้ที่หรือยัง” เย่อวี๋หรานส่งแป้งกรอบขนาดเท่าฝ่ามือให้หลิวซื่อ
ไม่เคยได้กลิ่นหอมอะไรเท่านี้มาก่อน หลิวซื่อทั้งตะลึงทั้งยินดี สุกหรือไม่นางดูไม่ออกหรอก แต่พูดได้คำเดียวว่า อร่อย!
“สุกไหม?”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
ครั้นเห็นหลิวซื่อกินแป้งกรอบหมดในไม่กี่คำ เย่อวี๋หรานก็ทราบแล้วว่า ไม่ว่าเจ้านี่จะสุกหรือไม่สุกก็ต้องถูกปากคนกินแน่นอน
“เมียเจ้าใหญ่หั่นหญ้าเลี้ยงหมู่อยู่ข้างนอก เจ้าเอาอันนี้ไปให้นางกินด้วย” เย่อวี๋หรานเอาให้หลิวซื่ออีกชิ้น
ทั้งคู่ล้วนแต่ทำงานอยู่ในเรือนเหมือนกัน แล้วจะลำเอียงได้อย่างไร?
แม้ว่าไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวตนออกไป ตั้งใจว่าจะเลียนแบบนิสัยของเจ้าของร่างเดิมไปก่อนชั่วคราว แต่ก็คงไม่อาจเลียนแบบไปทั้งชีวิตได้หรอกกระมัง?
เพื่อเป้าหมายระยะยาว นางต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงจากรายละเอียดเล็ก ๆ ไปทีละน้อย ทำให้ครอบครัวนี้ค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับนาง ‘คนใหม่’ โดยไม่รู้ตัว เมื่อเป็นแบบนี้ ในอนาคตนางถึงจะสามารถกลับไปเป็นตัวเองคนเดิมได้ และใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างวางใจ
แป้งกรอบขนาดเท่าฝ่ามืออันเดียวจะพอกินได้อย่างไร? แต่แม่สามีพูดแล้ว หลิวซื่อก็ไม่กล้าแอบกินอีก จึงรับมาแล้วเดินออกไปอย่างว่าง่าย
“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านแม่ให้เอามาให้ท่านเจ้าค่ะ”
ตอนที่ส่งออกไป หลิวซื่อยังตัดใจไม่ลงอยู่บ้าง จ้องแป้งกรอบแผ่นบางตาไม่กะพริบ เสมือนว่ามีคำสองคำเขียนไว้ในนั้นว่า อยากกิน!
หลิ่วซื่อลังเลเล็กน้อย เช็ดมือบนร่างแล้วรับมาใส่ปาก
หลิวซื่อมองตาปริบแล้วถาม “อร่อยหรือไม่?”
หลิ่วซื่อเงียบไปก่อนจะตอบ “อื้ม”
“ท่านแม่เป็นคนทำ ทำเยอะเลย”
นึกถึงก้อนแป้งในชามบนเตา หลิวซื่อคิดว่าตอนเย็นน่าจะมีส่วนของนางบ้างกระมัง
ท่านแม่ทำเยอะขนาดนั้น น้องเล็กคนเดียวไม่มีทางกินหมด ถึงตอนนั้นนางก็น่าจะได้รับส่วนแบ่งมาสักสามสี่ชิ้น?
นางไม่หวังว่าจะได้กินอิ่ม แค่รองท้องได้ก็พอแล้ว
ภายในห้องนอนของหลี่ซื่อกับจูซื่อ
หลี่ซื่อทำจมูกฟุดฟิด ผลักจูซื่อที่อยู่ข้างกายออกเบา ๆ “เจ้าได้กลิ่นไหม อะไรก็ไม่รู้หอมมากเลย”
จูซื่อจะไม่ได้กลิ่นได้อย่างไร เขาผุดลุกขึ้นนั่งฉับไว “เหมือนว่าจะใส่ไข่ไก่ หัวไชเท้า ยังมีกลิ่นเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่กลิ่นคุ้น ๆ”
หลี่ซื่อกลืนน้ำลาย “ท่านแม่กำลังทำของอร่อยอยู่ใช่ไหมนะ?”
จูซื่อเองก็กลืนน้ำลายอยู่เช่นกัน “ใช่แน่ ๆ แต่ไม่รู้ว่ามีส่วนของพวกเราบ้างไหม กลัวก็แต่ท่านแม่จะให้น้องเล็กกินคนเดียว ไม่ให้พวกเรากินด้วย”
“เจ้าน่ะ ข้าไม่รู้หรอก แต่ของข้าน่ะมีแน่ ๆ เชียว ท่านแม่บอกแล้วว่าตอนเย็นจะให้ข้ากินแป้งกรอบ”
จูซื่อพลันนึกอิจฉาแกมหมั่นไส้ “ทำไมคนท้องถึงไม่ใช่ข้านะ?”
หากเป็นแบบนั้น คนที่ได้กินแป้งกรอบใส่ไข่ก็คงเป็นเขาแล้ว
หลี่ซื่อหมดคำจะบรรยาย “ผู้ชายตัวโตอย่างเจ้าถ้าท้องขึ้นมาคงถูกคนหาว่าเป็นปีศาจกันพอดี ไม่พูดกับเจ้าแล้ว ข้าจะไปห้องครัวดูว่าท่านแม่ทำของอร่อยอะไรบ้าง”
จูซื่อรีบดึงมือนางไว้ “เจ้าอย่าไปเลย ถ้าเจ้าไปแล้วข้าจะทำอย่างไร?”
“ข้าจะไปรู้หรือ? ตอนนี้เจ้าควรจะทำงานอยู่ในนา ผู้ใดให้เจ้าหลบมาทำตัวสันหลังยาวอยู่ในเรือน? เจ้าระวังตัวให้ดีเถอะ ถ้าท่านแม่รู้เข้า อย่าว่าแต่จะไม่ได้กินไข่ แม้แต่โจ๊กเจ้าก็คงไม่ได้กินแล้ว”
จูซื่อนอนแผ่อยู่บนเตียงอย่างเจ็บปวด ท้องร้องโครกคราก ปวดใจสุดแสน “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
หลี่ซื่อเดินออกมาจากในเรือน มองข้ามหลิ่วซื่อที่กำลังหั่นหญ้าเลี้ยงหมู แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังห้องครัว
ครั้นหลิ่วซื่อเห็นว่าเป็นใครที่เข้ามา เปลือกตานางก็ไม่ขยับสักนิด ไม่แยแสสนใจโดยสิ้นเชิง สิ่งเดียวที่น่าจะทำให้นางหวั่นไหวได้ในตอนนี้คงเป็นแป้งกรอบที่เพิ่งจะได้กินเมื่อครู่นี้ อร่อยจริง ๆ!
อยู่ในลานก็ได้กลิ่นหอมแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนอยู่ในห้องครัว หลี่ซื่อน้ำลายสอ “ท่านแม่ ท่านทำของอร่อยอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?”
“เจ้าไปดูสักหน่อยว่าพ่อกับพี่ ๆ ของเจ้ากลับมากันหรือยัง แล้วก็แวะเรียกเจ้าหลานสองคนนั้นกลับมาด้วย พวกเรากินข้าวเย็นกัน” เย่อวี๋หรานไม่ได้เงยหน้า ก้มหน้าก้มตานวดแป้งต่อไป
โชคดีที่เจ้าของร่างเดิมเป็นชาวนาทำงานหนัก ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นร่างเดิมในชีวิตที่แล้ว นวดแป้งมากขนาดนี้ มือของนางคงพังไปนานแล้ว
“ท่านแม่ ข้าขอชิมสักชิ้นก่อนได้ไหมเจ้าคะ?” หลี่ซื่อทำหน้าหนาเอ่ยถาม
“คนทำผิดไม่มีสิทธิ์ชิม ไปทำงานเลยไป” เฮอะ! ช่างไม่ละอายใจจริง ๆ คิดว่านางหลอกง่ายเหมือนเจ้าของร่างเดิมหรือไง?
สีหน้าของหลี่ซื่อเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ เดินออกมาจากห้องครัวมาราวกับว่าถูกใครทำร้ายจิตใจมาก็ไม่ปาน
นางเดินไปพลางหันกลับไปมอง สูดกลิ่นหอมตรงปลายจมูกดังฟืดฟาด
“ท่านแม่ขี้เหนียวเกินไปแล้ว แป้งกรอบสักชิ้นก็ไม่ให้ข้ากิน!” นางบ่นอุบ
หลิ่วซื่อที่เพิ่งจะหั่นหญ้าเลี้ยงหมูเสร็จ ก็มาระลึกได้ทีหลังว่านางเหมือนจะได้กินไปชิ้นหนึ่งแล้วนี่นา!
ไม่รู้ว่าเย่อวี๋หรานกะเวลาได้พอดี หรือเพราะพักนี้ใกล้ถึงช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตฤดูสารทแล้ว ในนาจึงเหลืองานอีกไม่มาก หลี่ซื่อที่ออกมาจากลานเรือนได้ไม่เท่าไหร่ก็มองเห็นพวกจูเหล่าโถว
พวกเขาแบกสิ่งของไว้บนไหล่ ในมือยังหิ้วปลาตัวหนึ่งกลับมาด้วย
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง ทางนี้…” หลี่ซื่อออกแรงโบกมือให้พวกเขา
“นางตื่นเต้นขนาดนั้นทำไม?” จูซานแกว่งปลาในมือไปมาพลางพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าเห็นปลาในมือข้าก็เลยตื่นเต้นหรอกนะ? ไม่ได้จะให้นางกินสักหน่อย จะดีใจไปเพื่ออะไรกัน?”
ไม่มีใครส่งเสียง จูต้าที่เป็นคนซื่อก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ตอบกลับไปประโยคหนึ่งว่า “ไม่รู้”
จูซานคิดว่าพี่ใหญ่ของเขาไม่พูดคงจะดีกว่า
“ตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น? ไม่ต้องมองแล้ว ปลานี่ไม่ใช่ของเจ้า เอาไว้ให้ท่านแม่กับน้องเล็กกิน”
หลี่ซื่อมองปลาตัวนั้นก็กลืนน้ำลาย แต่นางคิดถึงแป้งกรอบในครัวมากกว่า จึงแย้งกลับทันควัน “ใครอยากได้ปลาของท่านกัน? มันจะอร่อยสู้แป้งกรอบที่ท่านแม่ทำงั้นหรือ? แน่จริงตอนเย็นก็อย่ากินแป้งกรอบสิ”
นางเล่นแง่เล็กน้อย ไม่ได้บอกว่านั่นคือ ‘แป้งกรอบใส่ไข่’
“แม่ของเจ้าลุกขึ้นมาได้แล้วหรือ?” จูเหล่าโถวเอ่ยปากถาม
“ลุกแล้วเจ้าค่ะ!” หลี่ซื่อตอบ
“แม่ของเจ้าคงไม่เป็นไรกระมัง?” ตอนที่พวกเขาออกไป เย่อวี๋หรานยังนอนอยู่บนเตียง
แต่ว่าใกล้จะถึงช่วงเก็บเกี่ยวฤดูสารทแล้ว งานในนาอย่างไรก็ปล่อยไว้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นหากผลเก็บเกี่ยวของครึ่งปีหลังไม่ดี ปีหน้าก็คงต้องอดอยากกันแล้ว
ครั้นเห็นว่าฟื้นแล้ว ท่าทางเหมือนจะไม่เป็นอะไร จูเหล่าโถวจึงพาลูกชายหลายคนออกไปที่ทุ่งนา
เทียบกับการร้อนใจอยู่ในเรือน ไม่สู้นั่งอยู่ในนาเสียดีกว่า เพราะต่อให้ไม่ทำอะไร แต่เมื่อมองพืชผลในท้องทุ่งก็ยังพอสงบใจได้บ้าง
เพียงแค่คิดถึงแป้งกรอบที่ทั้งแห้งและกลืนยาก คอของจูซานก็เจ็บขึ้นมาแล้ว “ไม่ใช่หรอกมั้ง ท่านแม่ทำแป้งกรอบ? ไม่มีเรื่องอะไรแล้วท่านแม่จะทำแป้งกรอบทำไม? ยังห่างจากช่วงเก็บเกี่ยวอยู่พักหนึ่ง ที่บ้านยังเหลืออะไรให้กินอีก? ต้มโจ๊กสักหน่อยก็พอแล้ว จะทำแป้งกรอบไปทำไม”
“อีกเดี๋ยวท่านห้ามกินนะ”
“ไม่กินก็ไม่กิน เจ้าคิดว่าข้าอยากกินนักหรือ? ปลานี่ เจ้าก็ห้ามกินเหมือนกัน ข้าเป็นคนจับมา”
“เฮอะ! ไม่กินก็ไม่กิน ข้าจะกินแป้งกรอบ”
[1] แป้งย่างขอบหม้อ (หมายเหตุ : ภาพนี้เป็นแค่ตัวอย่างของแป้งกรอบย่างขอบหม้อเท่านั้น แต่น้ำซุปเป็นคนละอย่างกัน)
ที่มารูปภาพ : http://k.sina.com.cn/article_6380437839_17c4dc14f001001yg6.html
MANGA DISCUSSION