บทที่ 39 ผ่านหูไม่ลืมเลือน
ระหว่างที่กำลังนึ่งมันเทศกับข้าวสารผสมรำอยู่นั้น ผลแดงน้อยก็ถูกเคี่ยวอยู่ในหม้ออีกใบหนึ่ง ด้านนี้ใกล้จะยกขึ้นจากเตาได้แล้ว ส่วนด้านนั้นก็ลดไฟให้อ่อนลงและเคี่ยวต่อไป
เวลาไหนควรเติมอะไร ล้วนเป็นเย่อวี๋หรานเอ่ยสั่งและเหล่าสะใภ้ก็ทำตาม
หลิ่วซื่อจุดไฟเสร็จแล้วก็ยืนขึ้น คอยดูการเคลื่อนไหวของพวกนาง
ในฐานะลูกสะใภ้ครอบครัวชาวนา พวกนางไม่อาจทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แต่ละคนล้วนมีสิ่งที่ตนเองถนัด น่าเสียดายที่ปกติแล้วล้วนเป็นเจ้าของร่างเดิมที่ทำหน้าที่ยึดครองเตา ไม่เหลือที่ให้พวกนางได้แสดงฝีมือ
ทำขนมเปี๊ยะมันเทศนึ่งเสร็จแล้ว เย่อวี๋หรานก็คอยกำกับพวกนางทำน้ำแกงไข่ต่อ อาหารอย่างอื่นนางไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งแล้ว ปล่อยให้พวกนางคิดอาหารอีกอย่างกันเอง หนึ่งวันสามมื้อผลัดเวียนกันทำ
เนื่องจากวันนี้หลี่ซื่อตามนางไปเก็บผักฉุนไช่จึงยกโอกาสนี้ให้นางก่อน
“ต่อไปเวลาพวกเจ้าออกจากเรือนไปเห็นผักป่าอะไรแล้วอยากจะเก็บกลับมาทำอาหาร บอกข้าสักคำก็พอแล้ว” เย่อวี๋หรานมองท่าทางสาละวนทำงานของหลี่ซื่อ พลางบอกกับสะใภ้คนอื่น ๆ “ข้าไม่ใช่แม่สามีที่โหดร้ายประเภทที่ว่าข้าไม่กินอะไรก็ไม่อนุญาตให้พวกเจ้ากินเสียเลย แต่บอกไว้ก่อนตรงนี้ว่าต้องเป็นของที่กินได้ อย่าทำอะไรแผลง ๆ จนทำให้คนอื่นกินแล้วเป็นอะไรขึ้นมา ถึงตอนนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
หลี่ซื่อที่นาน ๆ ทีจะได้ทำอาหารเองโดยไม่มีใครคอยควบคุมก็ยิ้มจนตาหยี แล้วรีบพูดว่าไม่มีทางที่นางจะทำพลาดแบบนั้นเด็ดขาด
“ที่จริงแล้ววิธีนำฉุนไช่มาทำอาหารนั้นง่ายมาก พวกท่านดู ใบของมันจะเล็ก ๆ แบบนี้ ต้มน้ำจนร้อน แล้วก็เอาฉุนไช่ลงไปลวกในน้ำร้อน ลวกจนเป็นสีเขียวมรกตแบบนี้ก็ใช้ได้แล้ว”
“จากนั้นเอาขึ้นมาผ่านน้ำเย็น ทิ้งให้สะเด็ดน้ำ ก็ค่อยเติมหัวไชเท้าฝอยกับผักกาดขาวหั่นฝอยลวกสุกพวกนี้ลงไป เติมเครื่องปรุงลงไปนิดหน่อย คลุกเคล้าให้เข้ากัน”
“น่าเสียดายที่เครื่องปรุงในเรือนเรามีไม่เยอะ ข้าได้ยินคนพูดกันว่าการคลุกแบบต้นตำรับแท้ ๆ กลิ่นหอมมากเชียวล่ะ”
หลี่ซื่อโรยเกลือลงไปคลุกให้เข้ากันพลางทำท่าเสียอกเสียดาย หลังทำเสร็จแล้วยังให้เย่อวี๋หรานกับสะใภ้ทั้งสามชิมกันคนละคำ
ไม่ใช่แค่เย่อวี๋หรานที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หลิ่วซื่อ หลิวซื่อ และหลินซื่อก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน
“หมู่บ้านสกุลหลี่ของพวกเจ้ามีวิธีกินแบบนี้ ทำไมข้าถึงไม่รู้?” แม้ว่าหลินซื่อจะไม่ใช่คนหมู่บ้านสกุลหลี่ แต่สมัยก่อนนางมีลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงที่แต่งกับคนหมู่บ้านสกุลหลี่ นางเคยไปนอนค้างที่นั่นมาก่อน แต่กลับไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับผักฉุนไช่เลย
หลี่ซื่อเหล่มองนาง “ข้าบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่านี่เป็นวิธีกินของหมู่บ้านสกุลหลี่? นี่เป็นวิธีกินของคนทางใต้ต่างหาก เป็นสูตรที่ญาติฝั่งยายของข้าสืบทอดกันมา เพียงแต่พวกเราทางนี้ไม่คุ้นเคยกับรสชาติแบบนี้ก็เลยไม่ได้แพร่หลายออกไป”
“รสชาติแปลกอยู่สักหน่อยจริง ๆ ด้วย” หลินซื่อชิมแล้วก็พูดขึ้น “มันลื่น ๆ เกลี้ยง ๆ แบบว่า…ข้าก็ไม่อธิบายไม่ถูก แต่รู้สึกว่ามันแปลก ๆ”
“อาจเป็นเพราะมันลื่น ๆ แบบนี้จึงรู้สึกว่าแปลกกระมัง” หลิวซื่อเสนอความเห็น
ส่วนเย่อวี๋หรานไม่ได้พูดอะไร นางนึกถึงคำพูดเจ้าของร่างเดิมที่บอกว่าเหมือนกิน ‘ขี้มูก’ ขึ้นมาได้ กลัวว่าพูดออกไปแล้วจะทำให้ทุกคนหมดสนุก
“ในเมื่อทำเสร็จแล้ว พวกเจ้าก็ออกไปดูเสี่ยวเม่ยกับสามีของพวกเจ้าหน่อยว่ามากันหรือยัง ถ้าใกล้แล้วก็ยกขึ้นโต๊ะได้เลย”
ขณะที่กำลังพูดอยู่ เสี่ยวเม่ยที่ไปซักผ้าริมลำธารก็กลับมาแล้ว เพียงแต่นางนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ไม่ได้ร้องเรียกใคร ครั้นเห็นว่าในลานเรือนไม่มีคนอยู่ก็ตรงไปตากผ้า
หลิวซื่อกับหลินซื่อออกมาจากห้องครัวเห็นนางเข้าพอดี จึงบอกกล่าวกับเย่อวี๋หราน
เย่อวี๋หรานเองก็ไม่ได้โง่ ช่วงเวลาที่จูปาเม่ยไปซักผ้า นางกับหลี่ซื่อไปกลับลำธารข้างนอกได้รอบหนึ่ง หากบอกว่าไปซักผ้า เป็นไปได้ว่าระหว่างนั้นคงทำอย่างอื่นด้วย
แต่ลูกสะใภ้หลายคนล้วนไม่พูดอะไร และนางก็จำเป็นที่จะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
คนเป็นแม่จะเอาแต่ตามจับผิดลูกสาวต่อหน้าบรรดาลูกสะใภ้อยู่ทั้งวันได้อย่างไร?
ถึงภาพลักษณ์เจ้าของร่างเดิมจะเลวร้ายแค่ไหน ก็คงไม่มีทางย่ำแย่ถึงขั้นนั้น ถ้าถูกคนสงสัยเข้าจะทำอย่างไร?
ความจริงแล้วที่นางไม่รู้ก็คือนางเข้าใจว่าเป็นเช่นนี้ ลูกสะใภ้ทั้งหลายก็ล้วนแจ่มแจ้ง แต่พอนึกถึงความลำเอียงในยามปกติของแม่สามี พวกนางก็ไม่กล้าเปิดโปงเรื่องที่จูปาเม่ยแอบอู้ระหว่างทำงาน
พวกผู้ชายกลับมาถูกเวลาพอดี หลิวซื่อกับหลินซื่อเดินออกไปได้ไม่ไกลก็เห็นเงาร่างของพวกเขา จึงย้อนกลับไปรายงานเย่อวี๋หราน
เย่อวี๋หรานบอกให้ทุกคนยกอาหารขึ้นโต๊ะ
จูปาเม่ยตากเสื้อผ้าเสร็จก็กลับไปที่ห้อง เย่อวี๋หรานหรี่ตามอง ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือเปล่า ดูเหมือนจูปาเม่ยจะไม่กล้ามองนาง?
ไม่ถูกสิ ปกติจูปาเม่ยก็แอบอู้ไม่น้อย ทำไมถึงร้อนตัวได้ขนาดนี้? มีความรู้สึกเหมือนกลัวว่านางจะ ‘จับชู้ได้คาหนังคาเขา’ อย่างไรอย่างนั้น
เย่อวี๋หรานแสร้งทำทีเข้าไปในห้องเรียกต้าเป่ากับเอ้อร์เป่ามากินข้าว จูปาเม่ยที่เพิ่งจะซ่อนสิ่งของเสร็จพลันสะดุ้งยืนตัวตรง บิดผ้าเช็ดหน้าในมือ ทำเป็นเรียกว่า ‘ท่านแม่’ อย่างไม่สะทกสะท้าน แต่เป็นเพราะฝีมือยังไม่ถึงขั้น สายตาหลุกหลิกนั้นมองอย่างไรก็ทราบว่ามีพิรุธ
“ต้าเป่า เอ้อร์เป่า กินข้าวได้แล้ว” เย่อวี๋หรานยังไม่ได้รีบร้อนเปิดโปงบุตรสาว
“ขอรับ ท่านย่า พวกข้ามาแล้ว”
ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่ารีบวิ่งออกมาจากในห้อง แสดงท่าทีให้รู้ว่าพวกเขาท่องท่อนที่สามได้แล้ว
“อาเจ็ดของพวกเจ้าท่องได้หรือยัง?” เย่อวี๋หรานยังคงไม่ไปไหน จงใจรั้งตัวเองอยู่ในห้อง แล้วถามเด็กน้อยทั้งสอง
ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าพยักหน้า “ท่องได้แล้วขอรับ อาเจ็ดร้ายกาจมาก ฟังรอบเดียวก็จำได้แล้ว”
“ใช่ ๆ อาเจ็ดยอดเยี่ยมที่สุด!”
พวกเขาชมเชยจูชีเสียจนอีกฝ่ายดูเลิศล้ำเหนือปฐพีไปแล้ว
ทว่าประโยค ‘ฟังรอบเดียวก็จำได้แล้ว’ กระทบใจเย่อวี๋หรานเข้าพอดี บางอย่างที่นางเพิ่งสงสัยก็ได้รู้โดยพลัน หมายความว่าจูชีมีความสามารถ ‘ผ่านหูไม่ลืมเลือน’ จริง ๆ
สุดท้ายแล้วจะใช่หรือไม่ เย่อวี๋หรานจำเป็นต้องหาทางยืนยันอีกครั้ง
“งั้นหรือ? พวกเจ้าไปนั่งรอที่โต๊ะก่อน ย่าจะไปคุยกับอาเจ็ดของพวกเจ้าสักหน่อย”
“ขอรับ ท่านย่า” ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าจากไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านแม่” จูปาเม่ยยังยืนอยู่ตรงนั้นอย่างวิตกกังวล
เย่อวี๋หรานหันไปมองนาง “ยังยืนอยู่ตรงนี้ทำไม? ไปกินข้าวเถอะ ข้าพูดกับพี่เจ็ดของเจ้าแล้วก็จะตามไป”
กล่าวจบก็ทำเหมือนไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องด้านใน
เย่อวี๋หรานแบ่งสมาธิฟังเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก สังเกตเห็นว่าจูปาเม่ยเหมือนจะยังลังเลเล็กน้อย ลูกสาวของนางได้ทำอะไรหรือไม่นั้นนางไม่ทราบ แต่เอาเป็นว่าจูปาเม่ยไม่ได้จากไปทันทีเช่นนี้ก็ใช่แล้ว
ส่วนสิ่งของที่จูปาเม่ยซ่อนเอาไว้ เย่อวี๋หรานสนใจอยากรู้ขึ้นมาแล้ว
“ท่านแม่!” จูชีเรียกนางอย่างอ่อนน้อม
“อื้ม! หลายวันมานี้เจ้าค่อยว่าง่ายหน่อย นั่งอยู่บนเตียงดี ๆ เดี๋ยวข้าจะให้จูปาเม่ยต้มยามาส่งให้ ท่านหมอบอกว่าเจ้าต้องนอนบนเตียงหลายวัน อย่าเอาแต่ห่วงเล่นกับต้าเป่าเอ้อร์เป่าจนลืมเสียล่ะ”
“ทราบแล้วขอรับ ท่านแม่” จูชีกะพริบตาพลางพูดว่า “ข้าเป็นเด็กดีมาก ไม่เคยลงจากเตียงเลย”
เจ้าไม่ได้ลงจากเตียงจริง ๆ นั่นแหละ แต่กระโดดโลดเต้นกับต้าเป่าเอ้อร์เป่าอยู่บนเตียง คิดว่านางอยู่ในครัวแล้วจะไม่ได้ยินงั้นหรือ? เย่อวี๋หรานครุ่นคิดแต่ก็คร้านจะเรื่องมากกับเขา จึงพูดต่อว่า “สูตรที่สอนไปวันนี้ เจ้าลืมไปแล้วกระมัง?”
สีหน้าจูชีดูไร้เดียงสาอย่างยิ่ง “ท่านแม่ ข้าต้องท่องอีกรอบหรือไม่?”
“ไม่ต้อง ข้าจะมอบหมายภารกิจอย่างหนึ่งให้เจ้า อีกหน่อยข้าจะต้องทำงาน ไม่มีเวลามาสอนต้าเป่าเอ้อร์เป่า ข้าจะสอนท่อนต่อไปให้เจ้า แล้วเย็น ๆ เจ้าก็สอนพวกเขา ดีหรือไม่?”
“ดีขอรับ” จูชีได้ยินว่าท่านแม่จะมอบหมายภารกิจให้ก็พลันยิ้มแฉ่ง
ครั้นเห็นรอยยิ้มนั้น เย่อวี๋หรานก็ปวดใจอยู่บ้าง เด็กคนนี้คงจะถูกละเลยมานานเกินไป ดังนั้นตอนนี้ไม่ว่านางจะสั่งให้ทำอะไร เขาก็ดีใจทั้งนั้น
เห็นได้ชัดว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเขาดูสดใสขึ้นมายิ่งนัก
MANGA DISCUSSION