บทที่ 38 ฉุนไช่
ฉุนไช่[1] ยังมีชื่อเรียกอื่นว่าฉุ่ยขุย หม่าลี่เฉ่า จิ่นไต้ เป็นพืชที่หน้าตาคล้ายบัวสายชนิดหนึ่ง
แต่ว่ารสชาตินั้นจะว่าอย่างไรดี ด้านหลังของฉุนไช่จะขับเมือกคล้ายวุ้นออกมา ถ้าล้างไม่สะอาดก็จะให้สัมผัสเหนียวเหนอะหนะ รสชาตินั้นย่อมสามารถจินตนาการได้
สัมผัสลื่น ๆ เกลี้ยง ๆ นั้นใช่ว่าทุกคนจะรับได้ โดยเฉพาะหน้าตาที่ทำออกมาขายกันก็ไม่ได้น่ามองนัก เหมือนน้ำชาบูอย่างไรอย่างนั้น[2]…
เย่อวี๋หราน “…”
นางไม่เคยกินของแบบนี้จึงได้แต่ค้นหาในความทรงจำเจ้าของร่างเดิม ปรากฏว่ามีความทรงจำที่เจ้าของร่างเดิมกินฉุนไช่อยู่จริง ๆ เพียงแต่ความรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
คิดแล้วก็เข้าใจได้ไม่ยาก แม้เจ้าของร่างเดิมจะเป็นลูกชาวนา แต่ก็เป็นสาวใช้ในบ้านสกุลใหญ่มาตลอด อาหารการกินและเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มย่อมต่างจากครอบครัวชาวนาเป็นธรรมดา
อาหารที่สตรีชาวนาคิดว่าเป็นของอร่อย ในสายตาของเจ้าของร่างเดิมกลับรู้สึกว่า นั่นคืออะไรน่ะ?! อี๋ ๆๆ…
กินไม่ลงเด็ดขาด
จากนั้นก็ใช้ชีวิตในหมู่บ้านสกุลจูมานาน ได้รับความลำบากมามากพอแล้ว เจ้าของร่างเดิมจึงเริ่มยอมกินผักป่าบางชนิด ยอมให้บนโต๊ะอาหารของครอบครัวมีผักป่าเพิ่มขึ้นมาหลายมื้อ
โดยเฉพาะเมื่อลูกสะใภ้หลายคนแต่งเข้าเรือนมา ผักป่าบนโต๊ะจึงค่อย ๆ เพิ่มขึ้น มิเช่นนั้นด้วยนิสัยเจ้าของร่างเดิมแล้ว อาหารอย่างเช่นอาหารหมู ส่วนใหญ่ไม่อาจเอาขึ้นมาวางบนโต๊ะอาหารได้เลย
ทว่าภายใต้เงื่อนไขนี้ เจ้าของร่างเดิมกับจูเหล่าโถวยังสามารถเลี้ยงลูกหลายคนจนโตได้ ช่างทำให้นางนับถือจริง ๆ
เมื่อหลี่ซื่อเก็บฉุนไช่ได้เต็มตะกร้า เย่อวี๋หรานก็พลิกหาปูได้ครึ่งค่อนตะกร้าไม้ไผ่
นางรู้แล้วว่าอาหารเย็นวันนี้ควรทำอะไร
ไม่รู้ว่าถ้าคนสกุลจูทราบว่านางใช้อะไรทำ ยังจะกล้ากินอยู่หรือไม่?
“ใกล้จะได้เวลาทำอาหารเที่ยงแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่” หลี่ซื่อโยนก้านของฉุนไช่ทิ้งไป แล้วหยิบตะกร้าที่แช่อยู่ในน้ำขึ้นมา ปล่อยให้สะเด็ดน้ำ
จากนั้นเก็บผักฉุนไช่ที่เทไว้บนฝั่งก่อนหน้านี้ใส่ลงในตะกร้า
“คนหมู่บ้านสกุลจูไม่ค่อยกินอะไรแบบนี้ ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่เหลือมาถึงมือเจ้า ถูกคนอื่นเก็บไปหมดแล้ว” เย่อวี๋หรานพูดพลางมองผิวน้ำที่ถูกหลี่ซื่อควานหาฉุนไช่จนกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ
หลี่ซื่อยิ้ม “ที่จริงตอนข้าอยู่บ้านเดิม คนที่นั่นก็ไม่ชอบกินเจ้านี่เหมือนกัน แต่สมัยก่อนข้าเคยได้ยินพวกเขาพูดว่า เจ้าสิ่งนี้ถ้าทำดี ๆ จะอร่อยมากเลยเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าน่าจะเป็นเพราะฝีมือทำอาหารของแม่ข้าไม่ดีพอ แต่ถ้าเป็นท่านแม่ทำ ข้าว่ารสชาติจะต้องไม่แย่แน่นอน”
ริมฝีปากเย่อวี๋หรานกระตุกเล็กน้อย “เจ้าคิดเยอะไปแล้ว ข้าก็ไม่ชอบกินเจ้านี่เหมือนกัน ไม่รู้ว่ามันควรทำอย่างไรด้วย”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไหน ๆ ข้าก็เก็บมาแล้ว เอามาทำเป็นน้ำแกงก็ได้เหมือนกัน”
เย่อวี๋หรานย่อมไม่ให้นางเททิ้งอยู่แล้ว อย่างไรเสียก็เป็นของกิน ไม่เป็นพิษภัยต่อคนกินก็พอแล้ว
แม่สามีกับลูกสะใภ้สองคนเดินกลับมาถึงเรือน
เนื่องจากเย่อวี๋หรานไม่ได้สั่งความเรื่องอาหารเที่ยงเอาไว้ หลิ่วซื่อ หลิวซื่อ และหลินซื่อจึงไม่กล้าลงมือ ทั้งสามคนได้แต่รอให้แม่สามีกลับมาจัดการ
“ท่านแม่ พวกท่านกลับมาแล้ว” ครั้นเห็นพวกนางกลับมา หลินซื่อก็รีบเข้ามารับหน้า
หลินซื่อเห็นสิ่งของในตะกร้าของหลี่ซื่อก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที พร้อมบอกว่าเจ้าสิ่งนี้รสชาติไม่อร่อย ถึงคนทางใต้จะพูดกันว่ามันกินได้ แต่รสชาตินั้นสุดจะทนจริง ๆ
“เจ้านี่ยังไม่ทำให้อิ่มท้องด้วยอีกต่างหาก ถ้าจะเอามาทำเป็นอาหาร ผักป่าบนเขามีอันไหนบ้างไม่อร่อย? ใครจะกินเจ้านี่?”
“เชอะ! อีกหน่อยเจ้าอย่ากินก็แล้วกัน” หลี่ซื่อกลอกตาใส่นาง
หลินซื่ออัดอั้น “ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่น ข้าพูดจริง ๆ นะ เจ้านี่เหนียว ๆ พิลึกมาก เหมือนกับกินน้ำมูก…”
“เฮ้ เจ้าอย่าพูดเสียจนน่ารังเกียจแบบนั้นสิ!” หลี่ซื่อตัดบทนาง
หลิ่วซื่อกับหลิวซื่อเดินเข้ามาถามเย่อวี๋หรานอย่างสงบเสงี่ยมว่ามื้อเที่ยงวันนี้จะกินอะไรดี
“เมื่อวานตอนเย็นไม่ได้กินไข่ เที่ยงวันนี้พวกเราก็กินกันเถอะ” เย่อวี๋หรานส่งตะกร้าไม้ไผ่ให้หลี่ซื่อ ให้นางหาอ่างใส่น้ำมารองไว้
ทั้งยังเตือนหลี่ซื่อว่าเจ้าพวกนี้ปีนป่ายได้ ให้เอาไว้ในตะกร้าตามเดิม ไม่ต้องเทออกมา ไม่อย่างนั้นจะตามจับยาก
“เจ้าค่ะ ท่านแม่!” หลี่ซื่อส่งสายตาท้าทายให้หลินซื่อ
เฮอะ! คิดจะมาแย่งชิงความโปรดปรานกับข้า?
ตัดใจเสียเถอะ ไม่เห็นหรือไรว่าท่านแม่ไปไหนมาไหนก็พาข้าไปด้วย?
หลินซื่อไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ท่านแม่ไม่พูดกับนาง นางก็จนปัญญา
เย่อวี๋หรานเข้ามาในห้อง ได้ยินเสียงจูชีกำลังพาต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าท่องสูตรบวกเลข เหมือนว่าจะตั้งคำถามแล้วให้เด็กสองคนแย่งกันตอบ ใครชนะก็สามารถดีดหน้าผากของอีกคนได้
นางหยิบไข่ไก่ออกมาจากตู้ ส่วนหลี่ซื่อก็รีบไปเอาไข่นกกับผลแดงน้อยที่ซ่อนไว้ในห้องตนเองมาที่ครัวด้วย
“ท่านแม่ ไข่นกพวกนี้เอาใส่น้ำแกงไข่ไปด้วยเลยใช่ไหมเจ้าคะ? แล้วก็ผลแดงน้อยพวกนี้ พวกเราก็ทำน้ำเชื่อมผลไม้ไปด้วยเลย?”
“ได้ หม้อเล็กทางซ้ายมือให้เจ้า ข้าจะสอนเจ้าเคี่ยว ให้เจ้าลงมือทำเอง” เย่อวี๋หรานพูด
หลี่ซื่อลิงโลดดีใจ “ท่านแม่ ท่านจะสอนสูตรลับให้ข้าหรือเจ้าคะ? ท่านแม่ ท่านดีต่อข้าจริง ๆ!”
หลินซื่อที่ขนฟืนเข้ามาได้ยินเข้าก็รู้สึกไม่ยินดี “ท่านแม่ ทำไมท่านสอนแค่นางล่ะเจ้าคะ? ข้าน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รองล่ะ?”
คราวนี้หลินซื่อฉลาดขึ้นมาหน่อย ไม่กล่าวถึงตัวเองโดยตรง แต่ยกหลิ่วซื่อกับหลิวซื่อที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาแทน “พวกนางทำงานเยอะกว่าพี่สะใภ้สี่มากนัก ถ้าท่านจะสอน ก็น่าจะสอนพี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองด้วย”
“เวลาข้าทำกับข้าว พวกเจ้าก็ไม่มีตามาดูเองหรือ?” เย่อวี๋หรานสวนกลับไปตรง ๆ
หลี่ซื่อแสดงท่าทีได้อกได้ใจ “ใช่แล้ว เวลาท่านแม่ทำกับข้าวก็ไม่ได้ปิดบังพวกเราเสียหน่อย อยากเรียนก็มาดูเองสิ…”
“เจ้าก็เหมือนกัน ไม่มีธุระก็ไปหาเรื่องเมียเจ้าห้าอยู่เรื่อยทำไม? ท้องโตขนาดนี้แล้วยังชอบหาเรื่อง หรือเจ้าอยากทะเลาะกับนางสักยก?” เย่อวี๋หรานรู้สึกว่าหลี่ซื่อชักจะโอหังเกินไปบ้างแล้ว จึงหันกลับไปตำหนินางหลายประโยค
หลี่ซื่อแลบลิ้นยิ้มแห้ง “แฮ่ ๆ! ท่านแม่ ข้าก็แค่หยอกน้องสะใภ้ห้าเล่นเฉย ๆ หรอก”
หน้าหนายิ่งนัก ไม่เหมือนคนท้องสักนิด กลับเหมือนลูกสาวคนโตมากกว่า
เย่อวี๋หรานแสดงท่าทางเหมือนกับจะบอกว่า จูปาเม่ยยังไม่กล้าออดอ้อนนางขนาดนี้เลยนะ?
หรือว่าเวลานางอยู่กับหลี่ซื่อจะพูดด้วยง่ายไปหน่อย ทำให้นางเข้าใจผิดไปเช่นนี้?
“พูดให้น้อยหน่อย ทำงานให้มาก หัดเอาอย่างพี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองของเจ้าบ้าง”
หลิ่วซื่อที่ได้รับคำชมสองรอบในวันเดียวก็รู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อ นางเงยหน้าขึ้นมองเย่อวี๋หราน แววตาเปล่งประกายไหวระริก แม่สามีทั้งสอนความรู้ให้ลูกชายนาง ทั้งชมเชยนาง หรือจะเริ่มชอบนางขึ้นมาแล้ว?
ความคิดของหลิวซื่อกลับเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับหลินซื่อ คิดอย่างเจ็บปวดอยู่บ้างว่าแม่สามีช่างเอ็นดูน้องสะใภ้สี่จริง ๆ!
วันนี้เย่อวี๋หรานไม่คิดจะลงมือเอง วัตถุดิบก็มีอยู่เท่านี้ ทำอะไรได้ไม่มากอยู่แล้ว จึงให้หลิ่วซื่อต้มน้ำ เรียกหลิวซื่อกับหลินซื่อมา คนหนึ่งล้างมันเทศ อีกคนหั่นผัก ทำขนมเปี๊ยะมันเทศภายใต้การชี้แนะของนาง
ส่วนหลี่ซื่อกำลังสาละวนอยู่กับน้ำเชื่อมผลไม้
ตอนทำคราวก่อนหลิวซื่อเคยเห็นมาแล้ว เย่อวี๋หรานจึงไม่ลืมเรียกชื่อหลิวซื่อมาด้วยเพื่อให้นางทบทวนความจำ
วิธีทำขนมเปี๊ยะมันเทศที่จริงก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ก่อนอื่นก็นำมันเทศกับข้าวสารผสมรำข้าวไปนึ่ง จากนั้นผสมไข่ไก่และพวกหัวไชเท้าหั่นเต๋าลงไป นวดแล้วปั้นออกมาเป็นก้อนกลม ค่อยนำไปนึ่งอีกครั้ง
ออกจะคล้ายกับการนึ่งวอวอโถว[3] เดิมทีควรจะใส่น้ำมันลงไปนิดหน่อย น่าเสียดายที่ในเรือนนี้อะไรก็ไม่มี เย่อวี๋หรานไม่มีหนทางอื่น ได้แต่กล้อมแกล้มไปภายใต้เงื่อนไขที่ขาดแคลนเช่นนี้
[1] ฉุนไช่ 莼菜 เป็นพืชน้ำชนิดหนึ่งที่มักขึ้นบริเวณน้ำใสสะอาด มีลักษณะคล้ายบัวสายขนาดเล็ก ปกคลุมผิวน้ำกระจายออกไปเป็นวงกว้าง ชอบความอบอุ่น พบได้ในมณฑลอวิ๋นหนาน ซื่อชวน เจียงซูและเจ้อเจียง ใต้ใบของมันจะมียอดอ่อนอยู่ซึ่งสามารถกินได้ (ต้นอ่อนจะขับเมือกใสเหนอะหนะออกมา จำเป็นต้องล้างให้สะอาดก่อนนำไปทำอาหาร) เป็นผักที่อุดมด้วยคาร์โบไฮเดรต แร่ธาตุและวิตามิน กล่าวกันว่าฉุนไช่เป็นหนึ่งในผักที่จักรพรรดิเฉียนหลงทรงโปรด (ค.ศ.1736 – ค.ศ. 1796, ราชวงศ์ชิง)
Source : https://new.qq.com/omn/20190824/20190824A0L1TF00.html
[2] ฉุนไช่ที่ขายในจีนจะมีแบบบรรจุขวดแล้วใส่น้ำเลี้ยงเอาไว้ นางเอกจึงบอกว่าดูเหมือนน้ำชาบู
[3] วอวอโถว(窝窝头)เป็นอาหารประเภทแป้งที่นิยมรับประทานกันทางภาคเหนือของจีน ทำจากธัญพืชที่ไม่ได้ขัดสีเป็นหลัก แต่ที่นิยมใช้กันคือแป้งข้าวโพด มีหน้าตาเป็นทรงกรวยหรือทรงกลม มีรูกลวงตรงฐาน เป็นอาหารที่ทำได้ง่าย ประกอบด้วยเซลลูโลสจำนวนมาก ช่วยกระตุ้นระบบทางเดินอาหาร
Source : http://www.meichubang.com/web/201603/148330.html
MANGA DISCUSSION