บทที่ 37 แย่งกันทำงาน
มีลูกสะใภ้สองคนแย่งกันช่วยงาน หอยขมตะกร้านี้จึงทุบได้เร็วมาก เพียงแต่มีกลิ่นคาวอยู่เล็กน้อย
เย่อวี๋หรานให้หลี่ซื่อไปเอาหญ้าที่นางสั่งให้หลิ่วซื่อเหลือไว้ให้โดยเฉพาะมาคลุกเคล้ากับหอยขมเหล่านี้ เทลงไปบริเวณที่ให้อาหารไก่ตามปกติ
“กุ๊ก ๆๆๆๆ…”
“กุ๊ก ๆๆๆ…”
หลินซื่อกับหลี่ซื่อร้องเรียกไก่ ไม่นานฝูงไก่ผอมแห้งก็วิ่งกลับมา
ราวกับค้นพบแผ่นดินใหม่ก็ไม่ปาน พวกไก่ที่ปกติไม่ใคร่กระตือรือร้นกินอาหารเท่าใดนักพลันเปลี่ยนเป็นคึกคักขึ้นมา จิกกินกันอย่างมีชีวิตชีวายิ่งนัก
หลี่ซื่อร้องอย่างตื่นเต้นดีใจ “ท่านแม่ กินแล้ว กินแล้ว พวกมันกินแล้วเจ้าค่ะ”
“ต้องกินอยู่แล้ว ถึงจะน้อยแค่ไหนก็เป็นเนื้อเหมือนกัน” เย่อวี๋หรานพูด
“หา ไก่ก็กินเนื้อด้วย?” หลี่ซื่อมีสีหน้างงงวย
เห็นได้ชัดเจนว่าหลินซื่อที่อยู่ข้าง ๆ ก็มีท่าทางประหลาดใจเช่นกัน
“แล้วแมลงกับตั๊กแตนที่ไก่กินนั่นไม่ใช่เนื้อรึ?” เย่อวี๋หรานกล่าว
“จริงด้วย” หลี่ซื่อกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันใด “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าที่ไก่ของพวกเราผอมแบบนี้ก็เพราะที่ผ่านมาเราให้พวกมันกินแต่หญ้าเลี้ยงหมู ไม่ได้ให้กินเนื้อ พวกมันจึงผอมแห้งกันหมดสินะเจ้าคะ?”
ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่ายังเด็กเกินไป ถ้าให้พวกเขาไปจับตั๊กแตนก็คงจับมาได้ไม่กี่ตัว
ด้วยเหตุนี้ คนส่วนใหญ่จึงเลี้ยงไก่กันแค่ไม่กี่ตัว เพียงสองสามตัวเท่านั้น ทั้งยังให้กินเนื้อบ้าง แต่ถ้าจะให้อาหารมากกว่านี้ก็ยากจะบอกได้แล้ว
ทุกครัวเรือนล้วนเลี้ยงไก่ แต่ไม่สะดวกให้พวกมันออกไปเดินเพ่นพ่าน เนื่องจากหน้าเรือนท้ายเรือนล้วนเป็นสวนผัก ปล่อยออกไปสวนผักก็คงถึงคราววินาศ
การปล่อยไก่เดินเพ่นพ่านสามารถสร้างปัญหาขึ้นได้ไม่น้อย เรือนไหนคิดจะปล่อยไก่ออกไปก็ต้องระมัดระวังให้ดี ไม่เพียงต้องระวังว่าไก่จะไปทำลายสวนผักของใครเข้า แต่ยังเป็นไปได้ว่าไก่อาจหายไปอีกด้วย
ไม่มีใครอยากเสียค่าชดเชยให้สวนผักผู้อื่น ดังนั้นเล้าไก่ท้ายเรือนจึงเลี้ยงไก่อยู่แค่สองสามตัวก็พอแล้ว
แต่เจ้าของร่างเดิมต่างออกไป เจ้าของร่างเดิมมุ่งมั่นจะหาเงินให้ได้มาก ๆ จะได้ไหว้วานคนเพื่อส่งจูปาเม่ยเข้าบ้านสกุลใหญ่ที่ดีหน่อย จึงเลี้ยงเยอะขึ้นอีกหลายตัว
แต่นางอาจลืมไปว่า ไม่ใช่ไก่ทุกตัวที่ให้อาหารแล้วจะยอมกิน โดยเฉพาะไก่หลายตัวที่แออัดอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ เช่นนั้น…
ชีวิตคนสมัยโบราณค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ได้ครุ่นคิดอะไรมากนัก หากหาสาเหตุไม่ได้ก็บอกว่าไก่ตัวนี้ไม่ดี ชุดนี้ใช้การไม่ได้ คราวหน้าเปลี่ยนชุดใหม่ที่ใช้การได้ก็พอแล้ว
เจ้าของร่างเดิมเปลี่ยนไก่มาหลายชุดแล้วแต่ก็ยังเลี้ยงไม่รอด
“แต่พวกเรามีเนื้อมาเลี้ยงไก่มากขนาดนั้นที่ไหนกันเจ้าคะ?” หลินซื่อบ่นอุบ “ถ้ามีเนื้อป้อนไก่ พวกเราเอามากินเองดีกว่า”
“ใช่ น้องสะใภ้ห้าพูดถูก” หลี่ซื่อว่า “ถ้าเป็นแบบนั้น ไม่สู้พวกเราเลี้ยงให้น้อยลงสักหลายตัว ให้ได้ไข่สักฟองก็พอแล้ว”
เย่อวี๋หรานมองพวกนาง ไม่เอ่ยเอื้อนสิ่งใด
หลินซื่อกับหลี่ซื่อยืนพูดอยู่ตรงนั้นกันจนเพลิน เล่าประสบการณ์การเลี้ยงไก่จากบ้านเดิมของพวกนางว่าต้องเลี้ยงอย่างไรบ้างจึงจะเลี้ยงได้ดี
เย่อวี๋หรานเห็นว่าไก่กินอาหารไปพอสมควรแล้ว ในใจรู้แล้วว่าควรทำอย่างไร จึงไม่ได้เสียเวลาอยู่ท้ายเรือนอีก บอกให้หลินซื่อทำงานต่อ และเรียกหลี่ซื่อไปเดินเล่นบริเวณริมลำธารเล็ก ๆ ด้วยกันกับนาง
“ท่านแม่ ไปที่นั่นทำไมเจ้าคะ?” หลี่ซื่อยังไม่ลืมพกย่ามผ้าของนางมาด้วย
ถึงลำธารน้อยจะไม่มีอะไร ถ้ามีของกินก็คงจะถูกพวกเด็กกลุ่มนั้นเอามาเล่นกันหมดแล้ว แต่ถ้าเกิดมีขึ้นมาล่ะ?
“ท่านแม่ ต้องเอาตะกร้าไม้ไผ่ไปด้วยไหมเจ้าคะ? พวกเรางมหอยขมกลับมาสักหน่อย? ถ้าพวกเราโชคดีก็อาจเก็บหอยโข่งที่ตัวใหญ่หน่อยได้ด้วย”
หอยโข่งที่หลี่ซื่อพูดถึงก็คือหอยที่เติบโตอยู่ตามขอบของแหล่งน้ำ ตัวใหญ่หน่อยมีขนาดเท่าไข่ไก่ครึ่งฟอง เป็นคนละชนิดกันกับหอยขมที่มีขนาดเท่านิ้วโป้ง
หอยโข่งชนิดนี้ก็แค่ดูแล้วเปลือกใหญ่ เนื้อกลับไม่เยอะ แต่เทียบกับชนิดที่ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่างมกลับมาแล้วมีขนาดใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อชาวนาลงไปทำงานในท้องทุ่ง หากผ่านบริเวณที่เป็นแหล่งน้ำก็มักจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ ดูว่าจะสามารถเก็บหอยโข่งแถวนั้นได้หรือไม่
“เอาไปด้วยเถอะ” เย่อวี๋หรานย่อมรู้ว่าหอยโข่งไม่ได้หาเจอได้ง่าย ๆ แต่นางไม่ได้ไปเพื่อเก็บหอยโข่ง แต่ไปเพื่อปลาเล็กกุ้งเล็กหรือปูในลำธารเหล่านั้นต่างหาก
นางจำได้ชัดเจนว่าตอนที่ยังเล็กเคยไปหาปูในลำธารกับพวกเด็กคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน
เย่อวี๋หรานพบลำธารที่คล้ายกับในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม แต่กลับไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับการลงไปจับปูในลำธาร นางจึงสงสัยว่าอาจไม่มีก็ได้ และยังเป็นไปได้ว่าคนยุคนี้อาจยังไม่รู้ว่าของแบบนั้นเอามากินได้
ปูสู้กุ้งปลาไม่ได้ ทั้งตัวมันมีแต่กระดอง ถ้าทำไม่สะอาดก็จะมีเชื้อโรคตกค้างได้ง่าย ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา
ถ้าคนยุคนี้ไม่เข้าใจในจุดนี้ แล้วมีใครเสี่ยงเอามาทำเป็นอาหารอย่างไม่ถูกวิธี ก็อาจทำให้คนอื่นเข้าใจไปว่าปูเป็นของที่กินไม่ได้ก็ได้
สอดคล้องกับความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมพอดี ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เป็นสาวใช้ในบ้านสกุลใหญ่หรือชีวิตหลังจากแต่งเข้ามาในครอบครัวสกุลจูแล้ว ก็ไม่เคยได้ยินคนพูดถึงของชนิดนี้หรืออะไรที่คล้ายกันมาก่อน
บริเวณเชิงเขาไท่ตังมีแม่น้ำใหญ่สายหนึ่งเรียกว่า ‘แม่น้ำไท่ตัง’
แม่น้ำสายนี้โอบล้อมครึ่งเชิงเขาไท่ตัง แตกสาขาออกไปหลายสาย จากนั้นก็ไหลไปหาแม่น้ำใหญ่ที่อยู่ห่างไกลออกไป
ลำธารเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านสกุลจูเรียกว่า ‘ลำธารสกุลจู’ นอกจากส่วนที่มนุษย์ขุดขึ้นเอง บริเวณอื่นล้วนปกคลุมด้วยหินกรวดแม่น้ำ ความลึกไม่สม่ำเสมอ
ผู้ใหญ่ทุกคนจะบอกกับเด็ก ๆ ในครอบครัวตนเองว่านอกจากบริเวณที่คนขุดกันเองแล้ว ไม่อาจลงไปอาบน้ำในบริเวณอื่นของแม่น้ำตามลำพังได้ เพราะกลัวว่าเด็กเล็กจะไม่รู้ความ จมแม่น้ำเสียชีวิต
ในหมู่บ้านแถวนี้ ทุกปีมักมีเด็กเอาชีวิตไปทิ้งในแม่น้ำ
ไม่นานนัก เย่อวี๋หรานกับหลี่ซื่อก็ออกมาจากหมู่บ้านสกุลจู เสาะหาลำธารที่ค่อนข้างเงียบสงบ ยามปกติไม่ค่อยมีคนไปเยือน
อย่างไรเสียพวกนางก็ไม่ได้มาเพื่อจับปลา เย่อวี๋หรานไม่อยากไปเจอคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน กลัวจะเกิดความยุ่งยากตามมา
ลำธารสายนี้เทียบกับลำธารอื่นแล้วค่อนข้างอันตรายอยู่บ้าง ข้างบนปกคลุมด้วยหินกรวดแม่น้ำเต็มไปหมด แต่ละช่วงเดี๋ยวแคบเดี๋ยวกว้าง เดี๋ยวลึกเดี๋ยวตื้น ถ้าไม่ใช่จุดที่คุ้นเคย แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ไม่กล้าลงไปโดยประมาท
เย่อวี๋หรานหาจุดที่ค่อนข้างราบเรียบและมีน้ำตื้น อาศัยวิธีการจากในความทรงจำเพื่อเริ่มพลิกหาในลำธาร
ไม่ทราบว่านิ้วทองคำสำแดงอิทธิฤทธิ์ หรือเดิมทีที่นี่เองก็มีของประเภทนี้เยอะอยู่แล้ว ดังนั้นไม่นานเย่อวี๋หรานก็เจอปูเขียวขนาดเท่าฝ่ามือตัวหนึ่ง
เย่อวี๋หรานตาไวมือคล่องแคล่ว จับสองฝั่งของกระดองปูแล้วโยนมันใส่ในตะกร้า
“ท่านแม่ นี่คืออะไรเจ้าคะ?” หลี่ซื่อเบิกตากว้าง ไม่รู้เลยว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร
“เจ้าไม่รู้จัก?” เย่อวี๋หรานเงยหน้าขึ้นถามนาง
หลี่ซื่อส่ายศีรษะ “ไม่รู้จักเจ้าค่ะ ใต้ก้อนหินมีของแบบนี้ด้วย?”
“ไม่ใช่ว่าจะมีอยู่ทุกก้อน ต้องเป็นแบบนี้…” เย่อวี๋หรานพูดไปแล้วก็นึกขึ้นได้ว่านางยังตั้งครรภ์อยู่ จึงบอกนางให้อยู่เฉย ๆ บนฝั่ง ห้ามลงมาวุ่นวายในน้ำ
หินกรวดแม่น้ำไม่เหมือนกับหินชนิดอื่น ลื่นไถลได้ง่ายมาก ถ้าเกิดลื่นล้มขึ้นมา หลี่ซื่อที่กำลังตั้งครรภ์จะยังอยู่ดีหรือ?
ปกติหลี่ซื่อก็ไม่ค่อยไปริมฝั่งแม่น้ำ นางตระหนักถึงความหนักเบาของเรื่องนี้ดี ต่อให้เย่อวี๋หรานไม่พูด นางก็ไม่กล้าไปเหยียบหินกรวดแม่น้ำที่ลื่นไถลง่ายพวกนั้นอยู่แล้ว จึงยืนอยู่บนฝั่งอย่างสงบเสงี่ยม
แต่นางก็ไม่ได้ยืนอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไร นางกวาดสายตามองหาไปทั่ว ดูว่าพอจะมีผักป่าหรือผลไม้ป่าที่กินได้อยู่แถวนั้นหรือไม่
“ท่านแม่ ท่านดูนี่สิเจ้าคะ ฝั่งนี้มีผักฉุนไช่ด้วย ข้าเก็บฉุนไช่ไปทำน้ำแกง ท่านว่าดีไหมเจ้าคะ?”
เย่อวี๋หรานไม่รู้เลยว่าอะไรคือผักฉุนไช่ แต่นางเห็นผักชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘ฉุนไช่’ จากในความทรงจำเจ้าของร่างเดิม
MANGA DISCUSSION