บทที่ 35 เรื่องน่ายินดี
เย่อวี๋หรานไม่ได้จากไปทันทีหลังออกมาจากห้อง แต่ยืนฟังตรงหน้าประตูอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วก็เป็นอย่างที่นางคาดไว้ ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่ารบเร้าให้จูชีสอนท่อนที่สองให้พวกเขา
เย่อวี๋หรานเลิกคิ้ว ความจำของจูชีเหมือนจะดีกว่าที่นางคิดไว้เสียอีก?
ต้าเป่าก็ไม่เลวเลย ถึงจะท่องช้าอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพราะเขาไม่เข้าใจเลขพวกนี้เลยสักนิด ทั้งหมดนี้ยังแปลกใหม่สำหรับเขา บางทีก็มีคำที่เขาคิดไม่ออกว่าควรออกเสียงอย่างไร
เอ้อร์เป่าอายุยังน้อย แต่ความจำกลับไม่เลว ท่องคลอตามไปด้วย บางครั้งท่องไม่ถูก ก็จำเป็นต้องให้จูชีกับต้าเป่าช่วยปรับให้
ให้เวลาพวกเขาครู่หนึ่ง เย่อวี๋หรานก็ร้องเข้าไปข้างในว่า “ต้าเป่า เอ้อร์เป่า ล้างหน้าบ้วนปากได้แล้ว อย่าลืมล้างให้อาเจ็ดของพวกเจ้าด้วย”
ต้าเป่ารีบขานรับ “ขอรับ ข้ารู้แล้ว ท่านย่า”
เขาสาละวนราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย ๆ ด้านหนึ่งพาเอ้อร์เป่าล้างหน้า ส่วนด้านหนึ่งใช้อ่างไม้ใบเล็กช่วยล้างหน้าให้จูชี
จูชีไม่สามารถลงจากเตียงได้ภายในสามวันนี้ ทำได้เพียงอยู่บนเตียงรับการปรนนิบัติจากหลานชายทั้งสอง
หลิ่วซื่อตัดหญ้าเลี้ยงหมูกลับมาแล้ว หลี่ซื่อกับจูปาเม่ยยังซักผ้าไม่เสร็จ แต่ว่าหลินซื่อยกอาหารเช้าขึ้นโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
พวกผู้ชายในเรือนช่วยกันเติมน้ำในโอ่งเผื่อไว้ให้พวกผู้หญิงใช้สำหรับทำอาหารและล้างสิ่งของหลังจากที่พวกเขาออกไปทำงานกันมาแล้ว
อาหารเช้ายกขึ้นโต๊ะ ครั้งนี้หลายคนมีท่าทางผิดหวัง
เย่อวี๋หรานเห็นสีหน้าของพวกเขาก็พูดขึ้น “เอาล่ะ จะกินมื้อใหญ่ทุกวันได้อย่างไร คิดว่าเสบียงอาหารในเรือนเราหล่นลงมาจากฟ้ารึ?”
ปากยังพูดอยู่ มือก็ไม่ได้เคลื่อนไหวช้าลง แจกจ่ายอาหารให้ทุกคน
ทุกคนคิดแล้วก็เห็นด้วย ปกติวัน ๆ ได้กินแต่โจ๊กเปล่าโหรงเหรง มีอะไรให้กินก็ดีแล้ว จึงไม่ได้โอดครวญขึ้นมาอีก
แต่ก็มีคนแอบครุ่นคิดในใจว่าจะไปลงลำธารสักรอบตอนไหนดี ดูว่าจะสามารถจับปลามาสักตัวได้หรือไม่ ช่วยไม่ได้ ลูกชิ้นปลาที่เย่อวี๋หรานทำอร่อยมากจริง ๆ สำหรับพวกเขาที่กรำแดดกรำฝนทำงานหนักแต่ไม่ได้กินเนื้อมานาน นั่นถือเป็นอาหารรสเลิศเชียวล่ะ
หากได้กินอีกสักครั้ง…
ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่านั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างสงบเสงี่ยม รอว่าเมื่อไหร่ท่านย่าจะทดสอบพวกเขา
หลังเย่อวี๋หรานแบ่งอาหารเสร็จแล้วก็พูดขึ้นตัดหน้าจูเหล่าโถว “ต้าเป่าเอ้อร์เป่ามานี่ ยังจำได้หรือไม่ว่าเมื่อเช้าข้าบอกอะไรไว้?”
ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่ามองหน้ากัน ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่อฟัง และพูดว่า “ถ้าใครจำไม่ได้ พวกข้ากับอาเจ็ดก็ไม่ต้องกินข้าว”
หลิ่วซื่อเงยหน้าขึ้นมาอย่างตกใจ มองไปทางแม่สามี ว่าอย่างไรนะ? ไม่ให้กินข้าว?!
นางทราบว่าแม่สามีไม่ชอบลูกชายของนาง รู้ว่าแม่สามีลำเอียงรักน้องสามี แต่เคยที่จะไม่ให้เด็ก ๆ กินข้าวด้วยหรือ?!
คนอื่น ๆ ก็มีท่าทางตกใจ ไม่กระมัง ท่านแม่ลำเอียงถึงขนาดนี้แล้ว…
“ฮึ! ท่องสิ” เย่อวี๋หรานพูดโดยไม่มองหน้าคนอื่น
ไม่รอให้จูเหล่าโถวพูดอะไร ก็ได้ยินต้าเป่ายืนขึ้นมาท่องเสียงดังฉะฉาน “สองบวกสองเท่ากับสี่ สองบวกสามเท่ากับห้า สองบวกสี่เท่ากับหก สองบวกห้าเท่ากับเจ็ด สองบวกหกเท่ากับแปด สองบวกแปดเท่ากับสิบ สองบวกเก้าเท่ากับสิบเอ็ด…”
ที่จริงตอนที่ท่องอยู่นั้น หัวใจดวงน้อย ๆ ของต้าเป่าเต้นตึกตัก ๆ ไม่หยุด กลัวว่าตัวเองจะจำไม่ได้
ถ้าเขาจำไม่ได้ ทุกคนก็ต้องอดข้าวเช้ากันน่ะสิ?
แต่เมื่อท่องประโยคสั้น ๆ เหล่านั้นออกมาประโยคแล้วประโยคเล่า ต้าเป่าก็ค่อย ๆ มีความมั่นใจขึ้นมา เหมือนจะไม่ยากเท่าที่คิดเลยนี่?
“อื้ม!” เย่อวี๋หรานพยักหน้า “ท่องได้ไม่เลว ถึงตาเอ้อร์เป่าแล้ว เอ้อร์เป่า เจ้าเริ่มท่องได้”
เอ้อร์เป่ายังหวาดกลัวอยู่บ้าง เพราะก่อนหน้านี้เขาท่องได้ไม่คล่องเท่าไหร่ และมักจะท่องตกหล่นอยู่เรื่อย หากแต่ก็ยังเริ่มท่องขึ้นมา “สองบวกสามเท่ากับห้า สองบวกห้าเท่ากับเจ็ด สองบวกเจ็ดเท่ากับเก้า…”
แย่แล้ว! ต้าเป่าตื่นตระหนก
น้องเล็กเอ๊ย ทำไมเจ้ามาลืมเอาเวลาสำคัญแบบนี้ล่ะ?
ข้าท่องเสียงดังขนาดนั้นก็เพื่อให้เจ้าจำได้ ทำไมเจ้า…
“สองบวกเก้าเท่ากับสิบเอ็ด” เอ้อร์เป่าเองก็รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่เขาตื่นเต้นเกินไป จึงทำให้นึกไม่ออก
เย่อวี๋หรานมองเขา “สองบวกสองเท่ากับเท่าไหร่?”
“สองบวกสองเท่ากับสี่”
“สองบวกสี่เท่ากับเท่าไหร่?”
“สองบวกสี่เท่ากับหก” เอ้อร์เป่าจึงค่อยนึกออกว่าเขาลืมตรงไหนไป ก่อนจะท่องต่ออีกว่า “สองบวกหกเท่ากับแปด สองบวกแปดเท่ากับสิบ”
หลังท่องจบยังถามขึ้นมาเสียงอ่อยว่า “ท่านย่า แบบนี้ถือว่าท่องจบไหมขอรับ?”
คนสกุลจูไม่รู้เลยว่าเด็กสองคนนี้ท่องอะไรกัน แต่ก็อดตึงเครียดขึ้นมาไม่ได้ ทุกสายตาจับจ้องเย่อวี๋หราน
ต้าเป่ามองสีหน้าของเย่อวี๋หรานอย่างประหม่า
“ผ่านด่าน!”
เมื่อเย่อวี๋หรานพูดสองคำนี้ คนทั้งหมดก็ผ่อนลมหายใจออกมา
“ที่ให้พวกเจ้าท่องเมื่อเย็นวาน ยังจำได้อยู่หรือไม่?” คิดไม่ถึงว่าเย่อวี๋หรานจะถามขึ้นมาอีก
เหล่าผู้ใหญ่ตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง
คราวนี้เด็กทั้งสองไม่ประหม่าแล้ว เอ้อร์เป่ารีบพูดขึ้นว่า “ท่านย่า อันนี้ข้าจำได้ หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง หนึ่งบวกสองเท่ากับสาม หนึ่งบวกสามเท่ากับสี่ หนึ่งบวกสี่เท่ากับห้า หนึ่งบวกห้าเท่ากับหก หนึ่งบวกหกเท่ากับเจ็ด หนึ่งบวกเจ็ดเท่ากับแปด หนึ่งบวกแปดเท่ากับเก้า หนึ่งบวกเก้าเท่ากับสิบ…”
ท่องออกมาได้ทั้งหมดโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
“อื้ม! ไม่เลวเลย คราวหน้าพยายามต่อไปนะ เข้าใจไหม เอ้อร์เป่า?”
ครั้นได้รับคำชมเชย เอ้อร์เป่าก็ดีใจอย่างกับอะไรดี พยักหน้าหงึกหงักอย่างเริงร่า “อื้ม ๆ ท่านย่า ท่านวางใจได้ ต่อไปข้าจะตั้งใจท่องแน่นอน”
“ท่านย่า ข้ายังต้องท่องอีกรอบหรือไม่ขอรับ?” ต้าเป่าถามขึ้นจากข้าง ๆ
เย่อวี๋หราน “ท่อง”
ต้าเป่าท่องออกมา “หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง หนึ่งบวกสองเท่ากับสาม หนึ่งบวกสามเท่ากับสี่ หนึ่งบวกสี่เท่ากับห้า หนึ่งบวกห้าเท่ากับหก หนึ่งบวกหกเท่ากับเจ็ด หนึ่งบวกเจ็ดเท่ากับแปด หนึ่งบวกแปดเท่ากับเก้า หนึ่งบวกเก้าเท่ากับสิบ…”
เอ้อร์เป่ายังท่องได้อย่างคล่องแคล่ว เขาย่อมไม่น้อยหน้า ท่องได้อย่างลื่นไหลยิ่งนัก
เย่อวี๋หรานพยักหน้า “ท่องได้ดีทั้งคู่ นั่งลงกินข้าวเถอะ อีกเดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วให้ไปที่ห้องอาเจ็ดของพวกเจ้า ก่อนมื้อเที่ยง พวกเจ้าต้องท่องท่อนที่สาม”
“เข้าใจแล้วขอรับ ท่านย่า” ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่ากลับไปนั่งที่อย่างรู้ความ
พวกเขาค่อยคลายมือน้อย ๆ ที่กำไว้แน่นออก สองมือชุ่มด้วยเหงื่อ
เย่อวี๋หรานหันมาพูดกับหลิ่วซื่อ “เมียเจ้าใหญ่ เย็นวานนี้ข้าพบว่าเจ้าสอนเด็กสองคนนี้ได้ดีมาก ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจว่าจะมอบรางวัลให้พวกเขา ข้าจะสอนความรู้พื้นฐานให้พวกเขาอยู่ในเรือน ต่อไปจะสามารถก้าวหน้าไปบนเส้นทางบัณฑิตได้หรือไม่นั้นล้วนขึ้นอยู่กับพวกเขาแล้ว”
หลิ่วซื่อมองมาทางเย่อวี๋หรานอย่างเหลือเชื่อ ริมฝีปากสั่นระริกอยู่นาน แต่กลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ
นางอยากถามว่า จริงหรือเจ้าคะ ท่านแม่?!
ท่านจะสอนตำรับตำราให้ลูกชายข้าจริง ๆ หรือ?
ต่อไปท่านจะไม่ลำเอียงแล้วใช่ไหม?
ในที่สุดลูกชายของข้าก็มีตัวตนอยู่ในสายตาของท่านแล้ว? น้ำตาไหลพรากลงมาจากหางตา นางปิดปากร่ำไห้เสียงสะอื้น
“ฮือ ๆๆ…”
ทั้งกดดัน ทั้งยินดี
แต่งเข้ามาตั้งหลายปีแล้ว จากต้าเป่ามาเอ้อร์เป่า มีนางคนเดียวที่คลอดลูกชายให้ครอบครัวสกุลจู
นางคิดว่าตนเองไม่ได้ทำให้สกุลจูผิดหวัง แต่แม่สามีกลับไม่เคยเห็นนางรื่นหูรื่นตา เด็กผู้ชายที่ครอบครัวอื่นโปรดปรานนักหนา พอมาอยู่ในสายตาแม่สามีกลับเป็นได้แค่ ‘ฟางข้าว’
เท่านี้ก็แล้วไปเถอะ ยังจะมาพูดต่อหน้าทุกคนว่า คลอดออกมาแต่พวกเปลืองข้าวสุก ถ้าอยากจะเลี้ยงพวกเขา เจ้าก็ต้องทำงาน
ด้วยเหตุนี้ งานหนักที่สกปรกที่สุดลำบากที่สุดจึงกลายเป็นหน้าที่ของนาง ถ้านางอยากให้ครอบครัวสกุลจูแบ่งข้าวให้เด็กทั้งสองกินก็ต้องทำงานมากขึ้น
MANGA DISCUSSION