บทที่ 32 การค้นพบใหม่ของเย่อวี๋หราน
เมื่อเย่อวี๋หรานยกน้ำผสมน้ำคั้นของหญ้าหอมไล่ยุงเข้ามาก็พบว่าจูชีกำลังลืมตากลมโตมองมาที่นาง
“มองอะไร? ยังไม่รีบถอดชุดออกอีก?”
จากนั้น เย่อวี๋หรานก็พบว่าใบหน้าของจูชีพลันแดงก่ำ
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังคว้าชายเสื้อของตนเองไว้ด้วยท่าทางลนลาน
เขาสั่นศีรษะ “ไม่ได้! ไม่ได้! ไม่ได้!”
“ทำไมไม่ได้?” ตอนแรกเย่อวี๋หรานยังตั้งรับไม่ทัน
“ต้าเป่าบอกว่าไม่อาจถอดเสื้อผ้าต่อหน้าคนนอก ผู้ชายหรือผู้หญิงล้วนไม่ได้…” จูชีว่า
เย่อวี๋หรานตะลึง “ต้าเป่าบอกเจ้า?”
นางย้อนดูในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เนื่องจากเจ้าเจ็ดเป็นเด็กสมองทึ่ม เจ้าของร่างเดิมจึงปล่อยปละละเลยเขามาก และไม่เคยจะใส่ใจเขา
นอกจากเรื่องกินข้าว มีเสื้อผ้าใส่ เรื่องอื่นก็ไม่มีใครสนใจเขาอีก แต่หลังจากที่หลิ่วซื่อแต่งเข้ามา และเพราะว่าเขาเป็นคนที่ว่างงานที่สุดในเรือน จึงให้เขาเป็นคนดูแลต้าเป่ากับเอ้อร์เป่า
จากนั้นจูชีเมื่อไม่มีอะไรทำก็จะไปขลุกอยู่กับต้าเป่ากับเอ้อร์เป่า แทนที่จะบอกว่าเขาดูแลต้าเป่ากับเอ้อร์เป่า ไม่สู้พูดว่าเด็กสองคนนี้ค่อย ๆ โตขึ้น กลายเป็นฝ่ายอยู่เป็นเพื่อนเขา คอยดูแลเขาเสียเอง
เทียบกับเจ้าของร่างเดิมแล้ว ผู้ที่กังวลห่วงใยจูชีกลับเป็นมนุษย์ท่อนไม้หลิ่วซื่อที่ไม่มีปากมีเสียงคนนั้น
“ต้าเป่าบอก ไม่ได้” จูชีสั่นศีรษะ ไม่ยอมถอดเสื้อผ้า
“เจ้าพูดไม่ผิด ต้าเป่าสอนเจ้าถูกแล้ว เสี่ยวชีก็ทำได้ดีมาก แต่ว่านะเสี่ยวชี” เย่อวี๋หรานอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทน “ข้าเป็นแม่ของเจ้า ตอนนี้ข้าจะเช็ดตัวให้เจ้า เจ้าป่วยแล้ว เด็กดี อย่าส่ายหัว เจ้าไม่เจ็บหรือ?”
“เจ็บ!”
“เจ็บแล้วยังส่ายอีก?” เย่อวี๋หรานหมดคำจะพูด ถ้าไม่ใช่เพราะท่านหมอบอกว่าคราวนี้สมองจูชีได้รับความกระทบกระเทือนไม่เบา ขยับเล็กน้อยก็จะเจ็บ นางจะให้จูต้ากับจูเอ้อร์แบกกลับมาหรือ?
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะกลัวว่าเขาจะไม่รู้เรื่องรู้ราว กระโดดขึ้น ๆ ลง ๆ กลายเป็นว่าเขากลับทนเจ็บได้ดีนัก รู้ว่าเจ็บแล้วยังโยกคลอนศีรษะ
จูชีจ้องนางอย่างหวาดระแวง “ท่านถอดเสื้อผ้าข้าไม่ได้นะ”
เย่อวี๋หรานกล่อมแล้วกล่อมอีก พูดตะล่อมอยู่นาน และนางก็พบว่าการที่จะให้จูชีถอดเสื้อผ้าทำไมยากเย็นขนาดนี้?
สุดท้ายก็ไม่มีหนทางอื่น ได้แต่ให้จูปาเม่ยไปเรียกต้าเป่ามา ให้เขาช่วยเช็ดตัวให้จูชีรวมถึงล้างเท้าให้ด้วย
การเคลื่อนไหวของต้าเป่าคล่องแคล่วทีเดียว ได้ยินเสียงดังออกมาจากในห้องเป็นระยะ “อาเจ็ด ถอดชุด”
“อย่างนั้นแหละ ยกแขนขึ้น”
“หันหลังมา หลังก็ต้องเช็ดด้วย”
“อย่าขยับ ๆ อาเจ็ด กางเกงไม่ต้องถอดหมดขนาดนั้นก็ได้”
“เท้าอาเจ็ดเหม็นหรือ? ไม่เหม็นนี่นา”
“อาหญิงเล็กเป็นผู้หญิง รักสะอาดกว่าพวกเรา อาเจ็ดอย่าขยับ เท้าข้างนี้ยังล้างไม่สะอาด”
……
เย่อวี๋หรานนั่งฟังอยู่ข้างนอก ตระหนักเป็นครั้งแรกว่าหลิ่วซื่อสั่งสอนหลานชายคนโตผู้นี้ได้ดีทีเดียว
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เด็กคนนี้เอาแต่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวทั้งวัน ไม่ต่างจากพวกเด็กป่าเถื่อนในหมู่บ้านเหล่านั้นเท่าไหร่นัก ทว่าตอนนี้ เย่อวี๋หรานกลับค้นพบอย่างหนึ่งว่า ถ้าต้าเป่าเหมือนกับเด็กป่าเถื่อนในหมู่บ้านเหล่านั้นจริง ๆ แล้วเขาจะดูแลจูชีได้อย่างไรเล่า?
ต้าเป่าเองก็ยังไม่โต สูงถึงระดับเอวของผู้ใหญ่เท่านั้น แม้ว่าเขาจะเอาแต่เล่นสนุกอยู่ข้างนอกทั้งวัน แต่มีครั้งไหนบ้างที่เขาละเลยจูชี ครั้งไหนบ้างที่ไม่พาเอ้อร์เป่าไปด้วย?
หลังจากต้าเป่าเช็ดตัวให้จูชีเสร็จ เปลี่ยนให้เขาใส่ชุดสะอาดแล้ว ก็หอบเสื้อผ้ากองใหญ่ออกมาด้วยสภาพเหงื่อท่วมทั่วศีรษะ
“ท่านย่า อ่างน้ำหนักเกินไป ข้ายกไม่ไหว ข้าให้ท่านพ่อมายกได้ไหมขอรับ?” พูดจบ เขาค่อยสังเกตว่าแววตาที่ท่านย่ามองมายังตนเองแปลกประหลาดอยู่บ้างก็ตกใจ “ท่านย่า…”
ชั่วขณะนั้นในสมองก็รีบคิดว่าช่วงนี้เขาไม่ได้ทำอะไรผิดมาให้ท่านย่าจับผิดเอาได้ใช่ไหม
เหมือนว่านอกจากเรื่องอาเจ็ดได้รับบาดเจ็บแล้ว เขาก็ไม่ได้ทำอะไรนี่นา แต่ว่าลำพังเรื่องที่อาเจ็ดได้รับบาดเจ็บก็เป็นเรื่องร้ายแรงมากอยู่แล้วกระมัง?
ต้าเป่าหดคอ ยอมรับผิดอย่างซื่อสัตย์ทันที พูดว่าเขาไม่ควรไล่ตีจูโก่วหวา ถ้าเขาไม่ไล่ตีจูโก่วหวา อาเจ็ดก็จะไม่เข้าใจว่าเขากับเอ้อร์เป่าถูกคนรังแก และเข้ามาช่วยพวกเขา จากนั้นก็คงจะไม่ถูกพ่อของจูโก่วหวาเข้าใจผิด เกือบจะตีอาเจ็ดจนเสียชีวิต…
เย่อวี๋หรานมองเขาด้วยสีหน้าพิลึก “เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?”
ประทานโทษ เจ้าของร่างเดิมจำได้เพียงว่าเด็กน้อยนี้เป็นลูกของภรรยาลูกชายคนโต อายุเท่าไหร่ไม่มีอยู่ในความทรงจำแม้แต่น้อย
“หก หกขวบ” ฮือ ๆๆ…แย่แล้ว ท่านย่าจะจัดการเขาแล้ว!
“หกขวบรึ…” เด็กอายุหกขวบก็สามารถเข้าใจได้ปรุโปร่ง แจกแจงเหตุและผลออกมาได้อย่างชัดเจนเหมือนที่เขาสรุปความหลังเกิดเรื่องแบบนี้เลยหรือ?
เย่อวี๋หรานไม่รู้ว่าเด็กครอบครัวอื่นเป็นเช่นนี้หรือไม่ แต่ตอนที่นางเพิ่งจะขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งไม่ได้ฉลาดเฉลียวเท่าเขาแน่นอน
เย่อวี๋หรานกวักมือเรียกต้าเป่า “มานี่”
“ท่านย่า ข้าผิดไปแล้ว” ต้าเป่ายอมรับผิดพร้อมน้ำตาร่วง “ข้าไม่กล้าอีกแล้ว จริง ๆ นะ ต่อไปข้าไม่กล้าแล้วขอรับ”
จูปาเม่ยนึกยินดีในความทุกข์ของผู้อื่นอยู่ข้าง ๆ เฮอะ! เจ้าเด็กหน้าเหม็น คิดว่าเจ้าขยันหน่อย ท่านแม่ของข้าก็จะชอบเจ้างั้นหรือ? ฝันไปเถอะ!
เย่อวี๋หรานเห็นเขาขดตัวกลัวหงอก็พูดเสียงต่ำว่า “เชิดหน้ายืดอก ยืนตัวตรง ๆ”
ต้าเป่าดีดตัวยืนขึ้นโดยสัญชาตญาณ เพียงแต่เสื้อผ้าในมือไม่ได้กอดเอาไว้ให้ดี ทำเอาร่วงลงพื้นเสียอย่างนั้น
เขากุลีกุจอก้มลงเก็บ แต่ก็นึกถึงคำของเย่อวี๋หรานขึ้นมาได้ ตัวพลันแข็งทื่อ ท่าทางดูน่าขบขันอยู่บ้าง
จูปาเม่ยปิดปากหัวเราะอู้อี้
“หัวเราะอะไร? ยังไม่รีบเอาเสื้อผ้าสกปรกของพี่เจ็ดเจ้าไปแช่อีก แล้วเข้าไปเอาอ่างน้ำในห้องออกไปเททิ้งด้วย บอกพี่เจ็ดของเจ้าว่าไม่มีเรื่องอะไรก็รีบนอนเร็วหน่อย” เย่อวี๋หรานหันมาพูดกับจูปาเม่ย
“ข้า?” จูปาเม่ยชี้นิ้วใส่จมูกตัวเอง ท่าทางไม่อยากเชื่อ
“ก่อนนี้เจ้าว่าอย่างไรนะ? ใครกันพูดว่าต่อไปจะเชื่อฟังข้าทุกอย่าง?” เย่อวี๋หรานชายตามองนาง
จูปาเม่ยหงอยแล้ว “เจ้าค่ะ ท่านแม่”
นางแย่งเสื้อผ้าสกปรกของจูชีมาจากมือต้าเป่าอย่างเชื่อฟัง ทั้งยังถลึงตาใส่ต้าเป่าอย่างขุ่นเคือง
ต้าเป่าแสดงท่าที ‘ยอมรับว่าตนเองไร้ความสามารถอย่างนอบน้อม’ ต่อจูปาเม่ย รีบยืนขึ้นมาอย่างฟังความ ทำเหมือนไม่เห็นท่าทางไม่พอใจของจูปาเม่ย
เย่อวี๋หรานยังไม่ลืมเตือนจูปาเม่ยว่า “แช่ให้ดี ๆ วันรุ่งขึ้นก่อนกินข้าว ข้าต้องการเห็นเสื้อผ้าสะอาดของพี่เจ็ดของเจ้าตากอยู่บนราวไม้ไผ่”
“หา ข้าต้องซักด้วย?” จูปาเม่ยอัดอั้น
“เสื้อผ้าของพี่ชายเจ้า เจ้าไม่ซักแล้วจะให้ใครซัก? ให้ข้าซักเรอะ?”
“ยังมีพี่สะใภ้นี่นา? พี่สะใภ้เยอะแยะขนาดนั้นแต่งเข้ามาทำไม? ไม่ใช่เพื่อ…”
“หุบปาก!” เย่อวี๋หรานตัดบทนาง พูดเสียงเย็น “คำพูดพวกนั้นข้าเป็นแม่สามี ข้าพูดได้ เจ้าที่เป็นน้องสามีพูดได้รึ? ถ้าเกิดเจ้าแต่งเข้าครอบครัวไหนไปแล้วน้องสามีของครอบครัวนั้นพูดแบบนี้กับเจ้า เจ้ารับได้ไหม? ตอนนี้เจ้ายังไม่ได้แต่งให้ใครก็หมั่นยั่วโมโหพี่สะใภ้ของเจ้า ในอนาคตเจ้าแต่งออกไปแล้วยังอยากกลับบ้านเดิมอยู่ไหม?”
ครอบครัวจน ๆ แบบนี้ ใครจะยอมกลับมา? ทว่าจูปาเม่ยไม่กล้าพูด ถ้านางพูดออกไปมั่นใจได้เลยว่ามารดาของนางต้องจัดการนางแน่
ท่าทีที่ท่านแม่มีต่อนาง ‘ย่ำแย่’ ขึ้นทุกที เฮ้อ…ชีวิตนางช่างลำบากจริง ๆ
MANGA DISCUSSION