บทที่ 30 ลูกชิ้นปลา
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น จูเหล่าโถวก็กลับมา ราวกับว่าการทะเลาะกันก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น
เขานั่งลงประจำแหน่งบนโต๊ะกินข้าวอย่างมั่นคง รอให้เย่อวี๋หรานแจกจ่ายอาหาร
น้ำแกงไข่ที่นัดไว้กลายเป็นลูกชิ้นปลา สมาชิกสกุลจูทั้งบุรุษสตรีผู้ใหญ่และเด็กไม่มีใครแสดงทีท่าไม่พอใจ อย่างไรเสียเทียบกับน้ำแกงไข่โหรงเหรงแล้ว ลูกชิ้นปลาที่เคี้ยวได้ยังน่ากินกว่า
เย่อวี๋หรานเก็บอาหารส่วนของจูชีกับจูปาเม่ยเอาไว้ต่อหน้าทุกคน แล้วแจกจ่ายลูกชิ้นปลาที่ผสมมันเทศบดกับหัวไชเท้าฝอยให้ทุกคนในสัดส่วนเท่า ๆ กัน น้ำแกงหนึ่งถ้วย ขนมเปี๊ยะมันเทศให้ทุกคน คนละห้าชิ้น
“เดิมทีตอนเย็นว่าจะทำน้ำแกงไข่ แต่เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้นกับเจ้าเจ็ด ข้าจึงเปลี่ยนใจ มนุษย์เราดิ้นรนก็เพื่อปากท้อง ประหยัดมากแค่ไหนถึงเวลามาก็เอาไปด้วยไม่ได้อยู่ดี ที่ควรกินพวกเราก็ควรกินดีกว่า”
เรื่องอื่น ๆ นั้น เย่อวี๋หรานไม่ได้กล่าวถึง
ต้าเป่ายังไม่ลืมน้ำแกงไข่ที่ผู้เป็นย่ารับปากไว้ “ท่านย่า ต่อไปพวกเรายังจะได้กินน้ำแกงไข่อยู่หรือไม่?”
“กิน!” เย่อวี๋หรานมองเขาเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ขอเพียงเจ้ากับเอ้อร์เป่ายังว่านอนสอนง่ายเหมือนวันนี้ อย่าว่าแต่น้ำแกงไข่ แม้แต่ลูกชิ้นปลาของวันนี้ ย่าก็จะหาวิธีมาทำให้พวกเจ้ากิน”
ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าร้องดีใจ
จูเหล่าโถวเห็นเย่อวี๋หรานเก็บส่วนของจูชีกับจูปาเม่ยเรียบร้อยแล้วก็ว่า “เอาล่ะ กินข้าวได้แล้ว”
ทุกคนประคองถ้วยของตนกินข้าวกันอย่างมีความสุข
“ท่านแม่ ลูกชิ้นปลานี่อร่อยจริง ๆ”
“ใช่ ๆ มีรสชาติของเนื้อปลาด้วย!”
“ข้ารู้สึกเหมือนจะได้กินเนื้อปลาด้วย”
“ไอ้หยา ได้กินเนื้อเสียที โชคดีจริง ๆ!”
“ขนมเปี๊ยะอันนี้ก็อร่อยเหมือนกัน”
“อื้ม กินกับน้ำแกงลูกชิ้นปลา อร่อยมากเชียวล่ะ”
……
พี่น้องสกุลจูกินพลางพูดไปด้วย
พวกเขากินอย่างทะนุถนอมยิ่งนัก เอาลูกชิ้นปลาใส่ปากละเลียดเคี้ยว ดื่มด่ำกับรสชาติของมัน
ความจริงแล้วกลิ่นของหัวไชเท้าฝอยแรงมาก ในนั้นยังผสมมันเทศบดลงไปไม่น้อย ไม่รู้ว่ากลบกลิ่นเนื้อปลาไปตั้งเท่าไหร่ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ สำหรับคนสกุลจูแล้วก็ยังถือว่าเป็นรสชาติเลิศล้ำอันแสนหายาก
ทั้งเด็กและผู้ใหญ่กินกันอย่างเบิกบานใจ
หลังกินข้าวเสร็จ เย่อวี๋หรานก็แจกจ่ายงานให้ลูกสะใภ้ คนที่ควรล้างจานก็ไปล้างจาน คนที่ควรดูแลเด็กก็ไปดูแลเด็ก คนที่ควรให้อาหารไก่ก็ไปให้อาหารไก่ แต่ละคนต่างมีหน้าที่ไปทำ
นางไม่สนใจจูเหล่าโถว เรียกจูต้ากับจูเอ้อร์ให้ยกไม้กระดานออกมาตามนางไปเรือนของหมอชาวบ้าน เพื่อไปรับจูชีกับจูปาเม่ย
ในเรือนของหมอชาวบ้าน จูชีลืมตาขึ้นมาอย่างเลอะเลือน กลายเป็นว่ายังไม่ได้จัดระเบียบความคิดที่วุ่นวายสับสนในหัวก็ถูกยัดยาน้ำขมจัดเข้ามาในปากเสียแล้ว
“พี่เจ็ด อย่าดื้อ ท่านต้องกินยาดี ๆ ยานี่ใช้เงินซื้อมานะ” จูปาเม่ยพูดกล่อมด้วยกลัวว่าเขาจะอาเจียนออกมาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
นางนึกว่าคนทึ่มจะกล่อมยากเสียอีก คิดไม่ถึงว่าหลังจากฟังคำของนางแล้ว จูชีก็กลืนยาลงไปอย่างยากลำบาก
“พี่เจ็ด ท่านว่าง่ายจริง ๆ! ให้รางวัลท่านเป็นผลไม้หนึ่งลูก”
นางยังเอาผลแดงน้อยที่เตรียมมาล่วงหน้ายัดเข้าปากจูชี ให้เขาขจัดรสขมในปาก
“พี่เจ็ด ยังขมอยู่ไหม?”
จูชีอมผลแดงน้อย กะพริบตาปริบ ๆ แววตาไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อย
เขาตัดใจกินผลแดงน้อยไม่ลงอยู่บ้าง กัดเปลือกของมันแตกแล้วอมไว้ในปาก
แม้ว่าภูเขาไท่ตังจะมีผลไม้ชนิดนี้อยู่มาก แต่ความจริงแล้วกลับเก็บได้ยากยิ่งนัก เพราะพวกที่อยู่ริมทางก็มักถูกทั้งผู้ใหญ่และเด็กที่ไปพบเข้าเก็บไปก่อนแล้ว ส่วนที่เหลือมาถึงมือของคนสกุลจูจึงมีไม่มาก
ขณะที่จูชีในฐานะที่เป็นทั้ง ‘ผู้ใหญ่’ และคนสมองทึ่ม จึงเป็นคนที่มักจะถูกมองข้ามมาตลอด
มารดาคนเดิมของเขามีแต่จะเอาผลแดงน้อยให้จูปาเม่ย ส่วนพี่ชายพี่สะใภ้หลายคนของเขาก็เอาให้ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่า
จูปาเม่ยย่อมไม่รู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว นางเห็นว่าเขาไม่พูดไม่จาก็เรียกหมอชาวบ้านเข้ามาดู
เมื่อก่อนถึงพี่เจ็ดของนางจะเป็นคนโง่แต่ก็พูดได้นี่นา ทำไมคราวนี้ฟื้นขึ้นมากลับไม่พูดจาแล้ว?
หมอชาวบ้านเดินเข้ามา บอกให้จูชีอ้าปากให้เขาดูหน่อย แต่ว่าในปากจูชียังมีผลแดงน้อยจึงไม่ยอมอ้าปาก
“ไม่น่าจะเป็นแบบนี้นี่นา ปกติแล้วสมองได้รับความกระทบกระเทือนมักจะปวดหัว ไม่น่าบาดเจ็บไปถึงลำคอ เว้นเสียแต่ว่าจะตกใจมากเกินไป”
จูปาเม่ยถาม “แล้วทำไมพี่เจ็ดของข้าถึงไม่พูดจาล่ะเจ้าคะ?”
“เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ ตอนนี้เขาอาจแค่เพิ่งตื่น ยังสับสนอยู่ อีกสักครู่หากเขายอมอ้าปาก ข้าดูอาการก็ได้รู้แล้ว”
ขณะที่พูดอยู่ก็มีเสียงความเคลื่อนไหวดังมาจากในลานเรือน
“ท่านแม่ของข้ามาแล้วใช่ไหม?” จูปาเม่ยรีบออกไปข้างนอก
แล้วก็เห็นพวกเย่อวี๋หรานดังคาด
“ท่านแม่ พี่เจ็ดฟื้นแล้วเจ้าค่ะ แต่ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ ทั้งไม่ยอมให้ท่านหมอดูอาการ ไม่รู้ว่าบาดเจ็บถึงลำคอด้วยไหม” จูปาเม่ยกังวลอยู่บ้าง พี่เจ็ดเป็นคนสมองทึ่มที่ถูกคนรังเกียจอยู่แล้ว ตอนนี้ยังกลายเป็นคนป่วยร่างกายอ่อนแอ ยังจะมาเป็นใบ้อีก แบบนี้จะไม่ถูกคนรังเกียจยิ่งกว่าเดิมหรือ?
หมอชาวบ้านได้ยินก็รีบร้อนกล่าว “ข้ายังไม่ได้ดูอาการเลย ในปากจูชีเหมือนจะมีอะไรบางอย่างอยู่ถึงได้ไม่ยอมอ้าปาก อีกสักครู่ข้าตรวจดูก่อนถึงจะทราบได้”
เย่อวี๋หรานไร้ความเห็น เพียงแค่ย้ำกับหมอชาวบ้านอีกครั้งว่าจูชีจะมีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่
“ไม่มี ส่วนอื่น ๆ ล้วนยังดีอยู่ ต่อไปค่อย ๆ บำรุงรักษา อย่าไปกระทบถูกศีรษะบริเวณที่มีเลือดคั่งของเขาก็พอแล้ว ถ้ายังไม่วางใจก็มาให้ข้าดูอาการเดือนละครั้ง ข้าจะได้ยืนยันให้” หมอชาวบ้านกล่าว
“แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน ต่อไปคงต้องรบกวนท่านหมอเดือนละครั้งแล้ว ใช้ค่ารักษาไปเท่าไหร่ ท่านโปรดแจ้งจำนวนเงินข้ามา ให้คิดค่ารักษากับฝ่ายจูถงฮว่าก่อน ส่วนที่เหลือข้าจะหามาชำระทีหลัง” เย่อวี๋หรานพูด
หมอชาวบ้านผงกศีรษะ “ตกลง จูถงฮว่ามาจัดการเรียบร้อยแล้ว ค่ายาของวันนี้ก็จ่ายแล้ว จะมีก็แต่ใบสั่งยาที่ข้าเขียนให้จูชี เจ้าลองดูสักหน่อย มีสมุนไพรบางอย่างที่ข้าไม่มี จำเป็นต้องไปซื้อกับร้านใหญ่ในตำบล ถ้าพวกเจ้าไม่กลัวลำบากก็ไปซื้อยาในตำบลเองได้ ทำตามสูตรที่ข้าเขียนไว้ทายาให้จูชี จากนั้นก็ต้มยา ค่อย ๆ บำรุงเขาไปก่อน ถ้าพวกเจ้ากลัวว่าจะลำบาก เชื่อใจข้า ก็สามารถให้ข้าออกหน้าไปรับยาให้เจ้าจากในตำบลได้ ข้าเข้าตำบลเป็นประจำอยู่แล้ว ที่ร้านขายสมุนไพรอาจขายให้ข้าในราคาถูกลงมาหน่อย…”
“อย่างนั้นก็รบกวนท่านหมอแล้ว พวกข้าไม่คุ้นเคยกับร้านขายสมุนไพร คงต้องให้ท่านเป็นธุระให้แล้ว ค่าสมุนไพรพวกข้าจะหามาให้ท่าน”
“นี่กลับไม่ลำบากอะไร ข้าต้องไปเอาสมุนไพรมาเติมทุกช่วงระยะเวลาหนึ่งอยู่แล้ว เอากลับมาพร้อมกันเลยก็ได้ เพียงแต่ว่าเงิน…” หมอชาวบ้านลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า “ข้าอาจสำรองจ่ายไม่ไหว มันมากพอควรอยู่”
เย่อวี๋หรานล้วงถุงเงินออกมาส่งให้เขา กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าถ้าจะเอายาตามตำรับ เงินเท่านี้คงไม่พอแน่ ท่านลองนับดูแล้วจัดสรรไปก่อน รอข้ามีเงินพอแล้วพวกเราค่อยจัดยาเต็มชุด”
หมอชาวบ้านใช้มือชั่งน้ำหนักถุงเงินก็ทราบว่าควรจัดการอย่างไร พูดว่า “ก็ได้ ส่วนที่ราคาค่อนข้างสูงข้าจะตัดออกไปก่อน เอาอย่างอื่นมาทดแทน แต่ว่าส่วนที่ทดแทนเข้ามานี้อาจทำให้สรรพคุณยาลดลงมาก หวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจ อาการบาดเจ็บอย่างสมองถูกกระทบกระเทือนแม้ว่าจะแค่ปวดศีรษะ ไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่พอปวดขึ้นมาก็เป็นปัญหาทีเดียว ตอนนี้ข้าได้แต่กดอาการไว้ชั่วคราว ถ้าจะรักษาให้หายขาดจำเป็นต้องกินยาให้ครบตามสูตร”
“รบกวนท่านหมอแล้ว” เย่อวี๋หรานจิตใจหนักอึ้ง
ในยุคสมัยใหม่ สมองได้รับความกระทบกระเทือนยังแบ่งเป็นสถานเบากับสถานหนัก เบาหน่อยก็ไม่ถึงแก่ชีวิต ค่อย ๆ รักษาก็หายดีได้ ส่วนที่รุนแรงนั้นสามารถคร่าชีวิตคนผู้หนึ่งได้เลย
หมอชาวบ้านพูดกลับไปกลับมาเช่นนี้ เดี๋ยวก็ว่าไม่เป็นไร บำรุงไปก็พอแล้ว เดี๋ยวก็ว่าไม่มีอันตรายถึงชีวิต เพียงแต่จะรักษานั้นยุ่งยากอยู่บ้าง เดี๋ยวก็ว่ากดอาการลงไปก่อนชั่วคราว มีเพียงยาตามตำรับจึงจะรักษาหายได้ คาดว่าเขาคงกลัวว่าคนในครอบครัวได้ยินว่าอาการเจ็บป่วยนี้รุนแรงเกินไป ไม่ยอมรักษา ปล่อยให้จูชีรอความตาย
แน่นอน ยังอาจเป็นเพราะหมอชาวบ้านตรงหน้านี้รู้ไม่จริง ได้แต่กล้อมแกล้มไปแบบนี้ ไม่อาจให้คำวินิจฉัยที่ชัดเจนได้
แต่ก็ไม่มีหนทางอื่น ด้วยสถานการณ์ครอบครัวสกุลจูในตอนนี้ก็ได้แต่พึ่งพาหมอแบบนี้แล้ว และนี่ยังเป็นสิ่งที่นางตัดสินใจเอง คิดถึงตอนที่เจ้าของร่างเดิมล้มฟาดพื้นหมดสติ จูเหล่าโถวยังไม่คิดจะเชิญหมอ ปล่อยให้เจ้าของร่างเดิมนอนบนเตียงอยู่เลยไม่ใช่หรือ?
แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น เย่อวี๋หรานก็คงจะไม่ได้มาอยู่ในโลกใบนี้แล้ว
MANGA DISCUSSION