บทที่ 2 ความชอบของลูกสะใภ้
“เจ้าจำไว้ให้ดี หลิวซื่อเป็นพี่สะใภ้รองของเจ้า ข้าไม่สนว่าในใจเจ้าจะคิดอย่างไร ควรมีมารยาทอย่างไรก็มีมารยาทเช่นนั้น เจ้าควรเคารพข้าเสียบ้าง คราวหน้าถ้าข้าเห็นเจ้าขึ้นเสียงใส่สะใภ้รองอีก ข้าจะหักขาสุนัขของเจ้าเสีย”
หลี่ซื่อสั่นสะท้าน
ท่านแม่พูดว่าจะหักขาสุนัขของนาง ถึงเวลาทำจริงอาจมีลดผ่อนให้บ้าง ตีนางสักยกย่อมไม่ใช่ปัญหา
ยกตัวอย่างเช่นเจ้าเด็กสองคนของพี่สะใภ้ใหญ่ เวลาที่พวกเขาไม่เชื่อฟัง แม่สามียกไม้กวาดขึ้นมาพูดว่าจะตีก็ตีเลย ถึงกับวิ่งเต้นไปทั่วบ้าน ทุกคนตกตะลึงแต่กลับไม่มีใครกล้าออกมาเกลี้ยกล่อม
“ขอโทษสะใภ้รองเดี๋ยวนี้!” เย่อวี๋หรานพูดจบก็ทำท่าพยักพเยิดให้หลิวซื่อก้าวออกมา
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ท่านแม่” หลิวซื่อพูดเสียงเบา
“ข้าให้เจ้าออกมาก็ออกมา พูดไร้สาระอยู่ทำไม?”
หลิวซื่อตัวสั่นเทิ้ม เดินออกมาอย่างเชื่อฟัง
หลี่ซื่อจ้องหลิวซื่อด้วยท่าทางไม่พอใจ
“จ้องอยู่ทำไม? ข้าให้เจ้าขอโทษ เจ้าไม่ได้ยินหรือไร?” เย่อวี๋หรานจ้องนางเขม็ง
“ขอโทษเจ้าค่ะ พี่สะใภ้รอง” หลี่ซื่อไม่ยินยอมพร้อมใจ น้ำเสียงจึงเบามาก
“เสียงเบาขนาดนั้น เสียงยุงเรอะ พูดให้ดัง ๆ หน่อย”
เมื่อเห็นว่าไม่อาจทำส่ง ๆ ให้ผ่านไปได้ หลี่ซื่อก็ได้แต่พูดให้เสียงดังขึ้น “ขอโทษพี่สะใภ้รองเจ้าค่ะ”
เย่อวี๋หรานมองไปทางหลิวซื่อ
“เจ้าล่ะ? สะใภ้สี่ของเจ้าขอโทษเจ้าแล้ว เจ้าไม่ควรพูดสักคำว่าไม่เป็นไรหน่อยหรือ? หรือว่าเจ้ายังไม่อยากอภัยให้นาง”
หลิวซื่อรีบร้อนกล่าว
“ไม่เป็นไร…”
ทว่าหลี่ซื่อกลับเค้นเสียง “เฮอะ!”
หลิวซื่อหดคอ เปลี่ยนกลับไปอ่อนแออีกแล้ว
คนขอโทษเทียบกับคนที่ได้รับการขอโทษแล้วยังมีไฟโทสะมากกว่า ไม่เหมือนการขอโทษกันเลยสักนิด เย่อวี๋หรานไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว แต่นางก็แน่ใจได้อย่างหนึ่งว่าสองคนนี้เป็นอย่างไร หลิวซื่อนั้นสอดคล้องกับในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นอาเต๊าที่สนับสนุนอย่างไรก็ไม่ก้าวหน้า [1] ตอนนี้คงได้แต่ปล่อยไปแบบนี้แล้ว
ส่วนหลี่ซื่อผู้นี้กลับไม่ได้มีดีแค่ปากหวาน เฮอะ ๆ!
ไม่ว่าจะคนไหน หากจะบ่มเพาะให้รับหน้าที่สำคัญก็ดูเหมือนหนทางยังอีกยาวไกล
แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เย่อวี๋หรานทราบว่าความทรงจำที่มีอคติของเจ้าของร่างเดิมนั้นเชื่อถือไม่ได้ เวลาจะใช้งานต้องใช้อย่างรอบคอบ
เย่อวี๋หรานปล่อยให้หลิวซื่อไปทำธุระของนาง หากแต่ยังรั้งหลี่ซื่อเอาไว้
“ท่านแม่ มีอะไรอีกหรือไม่เจ้าคะ?” แค่ต้องเผชิญหน้าด้วย หลี่ซื่อก็ใจฝ่อแล้ว
“เจ้าแอบกินไข่ไก่ของที่บ้าน ทั้งยังกล้าผลักข้าล้ม ไม่ควรพูดอะไรหน่อยหรือ?” เย่อวี๋หรานจ้องนางเขม็ง สีหน้าเย็นเยียบ
รอบนี้ถึงคราวหลี่ซื่อต้องหดคอแล้ว
“ท่านแม่ ข้าเปล่านะ ข้ารู้ว่าไข่ไก่เก็บไว้ให้น้องเล็ก ข้าจะขโมยกินไข่ได้อย่างไร? จริง ๆ นะ ข้าไม่ได้ขโมย”
เย่อวี๋หรานจ้องนางโดยไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด
หลี่ซื่อถูกจ้องจนรู้สึกกลัวอยู่บ้าง เพราะนางไม่อาจรู้ได้เลยว่าแม่สามีเห็นอะไรไปบ้าง
นางแอบกินไข่ไก่จริง ๆ นั่นแหละ แต่เรื่องนี้โทษนางได้หรือ? ในเรือนเลี้ยงไก่อยู่แค่ไม่กี่ตัว ไข่ไก่สองฟองต่อหนึ่งวัน หากไม่ใช่น้องแปดกินก็เป็นแม่สามีเก็บเอาไว้ เตรียมไว้สำหรับแลกเงินเวลาฉุกเฉิน
ถ้าเงินที่แลกได้นำมาใช้เป็นส่วนกลางในครอบครัวก็แล้วไป แต่แม่สามีกลับมีจิตใจลำเอียง เอาเงินไปใช้กับน้องแปดทั้งหมด นางจะยอมรับได้อย่างไร?
อีกทั้งนางยังเป็นสตรีมีครรภ์ แต่อาหารการกินกลับเทียบน้องแปดไม่ได้ หลายวันถึงจะได้ดื่มน้ำแกงไข่ไก่สักครั้ง ทั้งยังเป็นแบบที่เจือจาง และยังต้องแบ่งกินกับน้องแปดอีกต่างหาก
นี่ยังเป็นเพราะนางพร่ำพูดต่อหน้าแม่สามีไม่หยุดว่าในท้องของนางอาจเป็นหลานสาวก็ได้ แม่สามีจึงได้ตบรางวัลให้นางด้วยความเมตตา
ยิ่งกินไม่ได้ก็ยิ่งอยากกิน หลี่ซื่อโหยหาใจจะขาด ทันใดนั้นก็ไปเจอไข่ต้มฟองหนึ่งในชามที่วางค้างไว้บนเตา แล้วจะอดใจไหวได้อย่างไร?
แต่ใครจะคาดว่าตอนกินอยู่แม่สามีไม่เห็น ทว่าตอนนางเตรียมจะฝังกลบเปลือกไข่กลับโดนแม่สามีเห็นเข้าเสียได้
เสียงตวาดของแม่สามีทำให้นางที่ใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ อย่างคนกินปูนร้อนท้องต้องสะดุ้ง คิดแต่จะวิ่งหนีท่าเดียว
คิดไม่ถึงว่าแม่สามีจะถูกนางหันกลับไปชนจนล้มลงกับพื้น
และเรื่องราวต่อจากนั้น ทุกคนก็คงทราบแล้ว
“ข้า…เปลือกไข่พวกนั้นข้าเก็บมา จริง ๆ นะ ข้าสาบานว่าข้าเก็บมาจริง ๆ”
“ข้ากลัวว่าท่านแม่จะคิดว่าข้าแอบกินไข่ ข้ากลัว เลยตั้งใจว่าจะเอามันไปซ่อนก่อนที่ท่านจะมาพบ แต่ข้าคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะโชคร้ายขนาดนี้ ท่านแม่ไม่เจอคนที่แอบกินไข่ แต่มาเจอข้าที่กำลังจะฝังเปลือกไข่แทน”
หลี่ซื่อมั่นใจว่าแม่สามีจะต้องเห็นแค่ช่วงหลังแน่ ไม่อย่างนั้นตอนที่นางกำลังกินไข่อยู่ ท่านแม่ต้องเข้ามาห้ามแล้ว
“เฮอะ ๆ!” เย่อวี๋หรานหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าไม่ได้แอบกินไข่แล้วจะไปฝังมันทำไม? นี่เรียกว่ากินปูนร้อนท้อง รู้หรือไม่?”
“ข้าเปล่าจริง ๆ นะเจ้าคะ”
“เจ้าไม่คิดจะยอมรับใช่ไหม? ได้ เย็นนี้ข้าว่าจะทำแป้งกรอบใส่ไข่ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรับ ตอนเย็นเจ้าก็ไม่ต้องกินแล้ว”
“ท่านแม่จะทำแป้งกรอบอะไรนะ?” หลี่ซื่อได้ยินว่าตอนเย็นจะมีไข่ไก่ แววตาพลันวาววับ
“ถ้าข้ายอมรับ ตอนเย็นก็จะได้กินไข่แล้วใช่ไหมเจ้าคะ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็ยอมรับแล้ว ท่านแม่ ข้าแอบกินไข่เองแหละเจ้าค่ะ”
“เจ้าเพิ่งสาบานว่าตัวเองไม่ได้ขโมยกินไข่เองนะ?” ครั้นเห็นสายตาของอีกฝ่าย เย่อวี๋หรานก็หมดคำจะกล่าว
พูดไปพูดมา สะใภ้สี่ที่ไม่สอดคล้องกับความทรงจำเจ้าของร่างเดิมเท่าไหร่นั้นเป็น ‘สายกิน’ หรือนี่?
“ข้าผิดไปแล้ว ท่านแม่ ข้าไม่ควรโกหกท่าน ข้าขโมยกินไข่ฟองนั้นเองเจ้าค่ะ” หลี่ซื่อยังไม่ลืมย้ำกับนางอีกว่า “ท่านแม่ ตอนเย็นข้ากินไข่ได้แล้วใช่ไหม?”
“ได้!” เย่อวี๋หรานรู้สึกว่าตนเองค้นพบวิธีจัดการกับฝ่ายตรงข้ามแล้ว
หลี่ซื่อดีใจยิ่งนัก
“อย่าดีใจเร็วเกินไป ตอนเย็นเจ้ากินได้ แต่ว่าเรื่องที่เจ้าแอบกินไข่ไม่ได้จะผ่านไปง่าย ๆ หรอกนะ สิ่งที่ควรลงโทษก็จะต้องลงโทษ”
“ขอแค่ท่านแม่ไม่ลงโทษให้ข้าอดไข่เย็นนี้ จะลงโทษอย่างไรก็ได้ทั้งนั้นเจ้าค่ะ”
“…” เย่อวี๋หรานหมดคำพูดไปชั่วขณะ แต่พบว่าหลี่ซื่อไม่ได้ไร้หนทางเยียวยาไปเสียทีเดียว ก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมา ทว่าสีหน้าเย็นชายังต้องค้างไว้อยู่
“เรื่องลงโทษ ข้าจะจดไว้ก่อน ถึงเวลาจะบอกเจ้าอีกที”
“ได้เจ้าค่ะ ท่านแม่”
หลี่ซื่อกลับห้องไปอย่างเริงร่า เอาแต่พูดว่าตอนเย็นจะมีแป้งกรอบใส่ไข่ให้กินแล้ว
“แป้งกรอบใส่ไข่? แป้งกรอบที่ทำจากไข่ไก่?” จูซื่อ [2] ที่นอนอยู่บนเตียงลุกขึ้นปุบปับ “มีแค่เจ้ากับน้องแปดที่จะได้กิน หรือว่าพวกเราทุกคนก็ได้กินด้วย?”
“ข้าจะไปรู้หรือ อย่างไรเสียท่านแม่ก็พูดเอง มีส่วนของเจ้าหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่มีของข้าแน่นอน”
จูซื่อยื่นหน้าเข้ามา “เมียจ๋า เรามาเจรจากันหน่อยดีไหม?”
“อยากให้ข้าแบ่งให้เจ้าอย่างนั้นรึ? ฝันไปเถอะ” หลี่ซื่อเชิดคาง กล่าวอย่างเย่อหยิ่ง
“เมื่อครู่ตอนอยู่ข้างนอก ข้าถูกท่านแม่สั่งสอนชุดใหญ่ขนาดนั้น เจ้าก็ไม่ออกมาช่วย ยังจะให้ข้าแบ่งไข่ให้เจ้ากิน อย่าหวังเลย”
“ไม่เอาน่า เมียจ๋า พวกเราไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันหรอกรึ? ไม่ว่าเจ้าจะถูกสั่งสอนอยู่ข้างนอกหรือข้าถูกสั่งสอนอยู่ข้างนอกมันต่างกันตรงไหน? ในเมื่อพวกเราล้วนถูกสั่งสอนเหมือนกัน มีทุกข์ร่วมทุกข์กันแล้ว ตอนเย็นเจ้าได้ไข่มาก็ควรจะมีสุขร่วมเสพสักหน่อย จริงไหม?”
ช่างต่างจากภาพลักษณ์ไร้ตัวตนยามอยู่ข้างนอก เวลาที่จูซื่ออยู่ต่อหน้านางจะช่างเจรจาอย่างมาก และหน้าก็ยังหนามากอีกด้วย
คิดไปแล้วก็คงใช่ ถ้าปากเขาไม่ช่างจำนรรจาแบบนี้แล้วเป็นเหมือนพี่สาม จะหาภรรยาแต่งเข้าบ้านด้วยตนเองได้อย่างไร?
การที่เย่อวี๋หรานกล้าพูดอย่างใจป้ำว่าจะกินแป้งกรอบใส่ไข่ก็มีสาเหตุอยู่เหมือนกัน นั่นเป็นเพราะว่านางมีนิ้วทองคำ [3] ที่ไม่มีใครรู้
ปลูกอะไรก็งอกงาม จะเลี้ยงอะไรก็รอด
ด้วยเหตุนี้ หลังรับรู้จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมว่าครอบครัวที่ตนเองแต่งเข้ามานั้นเป็นครอบครัวชาวนาที่ยากจนข้นแค้น เย่อวี๋หรานก็ไม่รีบร้อน แต่ทำความเข้าใจสถานการณ์ภายในครอบครัวสกุลจูให้ดีเสียก่อน เลี่ยงไม่ให้ตนเองเผยพิรุธว่าตัวเองไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม
อาศัยความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เย่อวี๋หรานจึงได้นำเสบียงอาหารที่ซ่อนไว้ในตู้ออกมาวางเรียงราย คิดคำนวณในใจจนกระทั่งกำหนดแผนการที่แน่นอนได้แล้ว
เห็นเช่นนี้แล้ว นางก็ต้องยอมรับว่าครอบครัวนี้ไม่ได้จนแบบธรรมดาเลย
[1] อาเต๊า ชื่อจริง หลิวเสี้ยน (จีนกลาง หลิวซ่าน) เป็นลูกชายของเล่าปี่ในวรรณกรรมจีนเรื่องสามก๊ก หลังเล่าปี่ตายแล้ว บริวารที่มีความสามารถของเล่าปี่ก็ช่วยสนับสนุนอาเต๊าที่สืบบัลลังก์ต่อจากบิดารบทัพจับศึกบริหารบ้านเมือง แต่สุดท้ายจ๊กก๊กก็ยังตกเป็นของโจโฉ อาเต๊าถูกจับเป็นตัวประกัน แต่กลับไม่อนาทรร้อนใจ วัน ๆ เสพสุขที่แคว้นศัตรูปรนเปรอให้จนลืมบ้านเกิด จึงมีสำนวนว่า ‘สุขจนลืมจ๊ก’ อาเต๊ามักถูกยกไปอุปมาถึงคนที่สนับสนุนไม่ขึ้น ไม่รู้จักแสวงหาความก้าวหน้า
[2] จูซื่อ 朱四 จูเป็นแซ่ ซื่อ แปลว่า สี่. จูซื่อ หมายถึง ลูกชายคนที่ 4 ของสกุลจู. เป็นคนละคำกับคำว่า ซื่อ(氏) ที่ใช้กับสตรีที่แต่งงานแล้ว
[3] นิ้วทองคำ เป็นศัพท์ที่ใช้ในเกมออนไลน์และนิยายจีน หมายถึง สิ่งที่ทำให้ผู้เล่นเกมหรือตัวละครเอกได้เปรียบกว่าชาวบ้าน เช่น ไอเทมหายาก เคล็ดวิชาลับ การย้อนเวลาข้ามมิติ ความรู้ที่ทันสมัย ทักษะที่ไม่มีใครเทียบได้ รูปโฉมงดงามเกินใคร เป็นต้น สรุปก็คือเป็นปัจจัยหรือบทบาทที่ผู้เขียนวางไว้เพื่อให้ตัวละครเอกนั้นเก่งกาจกว่าคนทั่วไป มีความสามารถเหนือชั้นไม่ธรรมดา
MANGA DISCUSSION