บทที่ 19 ขอบคุณพี่สะใภ้สี่
“เปล่า เปล่าเจ้าค่ะ” จูปาเม่ยปฏิเสธทันควัน
“เจ้าอย่าคิดว่าข้ากำลังลงโทษเจ้า เจ้าทำห้องสกปรก เสื้อผ้าของเจ้าเจ้าก็ทำสกปรกเอง คนที่ใช้น้ำร้อนก็เป็นเจ้า ปัญหาที่เจ้าก่อขึ้นถ้าเจ้าไม่สะสางเอง จะให้คนอื่นมารับผิดชอบแทน? คิดว่าโลกใบนี้ง่ายดายขนาดนั้นเลยหรือ พ้นจากเรือนสกุลจูแล้ว คิดว่าคนข้างนอกยังจะยอมถอยให้เจ้าอีก? อย่าฝันให้สวยงามนัก ข้าไม่ให้เจ้าขึ้นเขาไปตัดฟืนหรือเอาถังไปตักน้ำกลับมาเองก็ดีเท่าไหร่แล้ว” เย่อวี๋หรานว่าต่อ “เจ้าทำผิดก็ต้องแบกรับผลของมันด้วยตนเอง นี่เป็นบทเรียนแรกที่ข้าจะมอบให้เจ้า เจ้าต้องจำให้ขึ้นใจ”
จูปาเม่ยในตอนนี้ไม่เข้าใจเลยว่าประโยคนี้สำหรับนางแล้วหมายความว่าอย่างไรกันแน่ นางจำได้เพียงสายตาเย็นเยียบของมารดา สลักลึกลงในใจ
นางพลันตระหนักว่า นับแต่นี้ไป มารดาของนางไม่มีทางปกป้องนางเหมือนเดิมอีกแล้ว
เย่อวี๋หรานไม่สนใจจูปาเม่ยอีก แต่ให้ทุกคนไปกินข้าวที่ห้องโถงใหญ่
นางอาศัยช่วงที่ไม่มีใครสังเกตเรียกหลี่ซื่อให้ไปแอบดูว่าจูปาเม่ยมีเสื้อผ้าสะอาดใส่หรือไม่ ถ้าไม่มีก็หามาให้นางยืมสักชุด
หลี่ซื่อคล้ายจะไม่กลัวนางขนาดนั้นแล้ว นางพึมพำเสียงเบา “ท่านแม่บอกว่าจะไม่สนใจเสี่ยวเม่ยแล้วไม่ใช่หรือ?”
เย่อวี๋หรานถลึงตาใส่นาง “เจ้าจะไปหรือไม่ไป?”
“ไป ๆๆ ท่านแม่พูดแล้ว ข้าจะกล้าไม่ไปหรือ?” หลี่ซื่อพูดแล้วก็หมุนตัวเดินไปอย่างว่าง่าย
แน่นอนว่านางยังไม่ลืมออดอ้อนกับเย่อวี๋หราน ให้อีกฝ่ายเหลือมันเทศให้นางหัวใหญ่หน่อย ตอนนี้นางกินปากเดียวสองชีวิต อยากจะกินให้อิ่ม ๆ
เย่อวี๋หรานยกยิ้มมุมปาก สะใภ้คนนี้เวลาไหนก็ไม่ลืมเรื่องกิน
แม้ว่าต่อหน้าเย่อวี๋หราน หลี่ซื่อจะมีท่าทีอิดออดอยู่บ้าง แต่เมื่อตัดสินใจทำแล้วนางก็วางตัวดีทีเดียว เจอหน้าจูปาเม่ยก็ไถ่ถามทุกข์สุข เลือกชุดที่ตนเองไม่ชอบแต่ยังพอใช้ได้อยู่ออกมาชุดหนึ่งแล้วเอามาให้จูปาเม่ย
จูปาเม่ยย่อมไม่รู้ว่าพี่สะใภ้สี่ได้รับการไหว้วานจากมารดาของนาง ในใจจึงรู้สึกอุ่นวาบ นางเช็ดคราบน้ำตาตรงหางตาเบา ๆ “พี่สะใภ้สี่ ท่านช่างดียิ่งนัก! ตอนนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านเป็นคนที่ดีต่อข้าที่สุด ต่อไปท่านจะเป็นพี่สะใภ้สี่ที่แท้จริงของข้า”
แม้แต่ท่านแม่ยังโหดกับนางขนาดนั้น นางตระหนักแล้วจริง ๆ ว่าถ้าต้องการให้ใครสักคนดีต่อนางก็ต้องปากหวานสักหน่อย
“เดิมข้าก็เป็นพี่สะใภ้สี่ของเจ้าอยู่แล้ว นี่เป็นเรื่องที่สมควรทำ เอาล่ะ ข้าจะให้พี่สี่ของเจ้าเอาฟืนไปให้ที่ห้องครัว เจ้ารีบต้มน้ำชำระล้างร่างกายเปลี่ยนไปใส่ชุดสะอาดเถอะ” หลี่ซื่อพูด “เมื่อครูู่ท่านแม่ดุขนาดนั้น ใครก็ไม่กล้าห้าม แต่เจ้าวางใจได้ รออีกหน่อยกินข้าวแล้ว รอท่านแม่คลายโทสะ ข้าต้องให้ท่านแม่เหลือของกินไว้ให้เจ้าแน่ เจ้าแค่ต้องเชื่อฟังท่านแม่ ทำตัวดี ๆ ถึงตอนนั้นข้าเอาของให้เจ้ากิน ท่านแม่ก็ไม่สะดวกจะเคืองข้าแล้ว”
เห็นหรือไม่ว่านางเข้าใจพูดขนาดไหน ที่นางพูดก็คือ ข้าเป็นคนเก็บอาหารไว้ให้เจ้า ข้าเสี่ยงถูกท่านแม่ตำหนิเชียวนะ เจ้าต้องพึ่งพาได้ อย่าไปทำให้ท่านแม่โมโห ทำตัวว่านอนสอนง่ายหน่อย
จูปาเม่ยเบ้าตาแดงก่ำ กล่าวอย่างจริงใจว่า “ขอบคุณพี่สะใภ้สี่ ดีที่ท่านไม่เย็นชาไร้น้ำใจเหมือนพี่สะใภ้คนอื่น ๆ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว”
ตอนที่แสดงความขอบคุณก็ยังไม่เลิกนิสัยเก่า ๆ กดพี่สะใภ้คนอื่นอีกครั้ง ยกย่องอีกคนให้สูง กดคนอื่นให้ดูแย่
เคราะห์ดีที่หลี่ซื่อไม่ได้ละเอียดอ่อนขนาดนั้น นางแค่คิดว่า ข้าเป็นคนที่ดีที่สุดในบรรดาลูกสะใภ้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นา ไม่อย่างนั้นแม่สามีจะโปรดปรานข้าที่สุดหรือ ทั้งยังมอบหมายหน้าที่สำคัญขนาดนี้ให้ข้าทำอีกหรือ?
หลี่ซื่อหันกลับไปก็เห็นสะใภ้ห้าหลินซื่อพ่นวาจาใส่หน้านางว่า “ซื้อใจคน”
“เฮอะ!” หลี่ซื่อคร้านจะสนใจนาง เบียดไหล่เดินผ่านไป
หลินซื่อหงุดหงิดจนทนไม่ไหว “เจ้ารอเถอะ ข้าจะฟ้องท่านแม่”
หลี่ซื่อพูดโดยไม่หันกลับไปมองขณะเอ่ยว่า “แล้วแต่เจ้า”
หลินซื่อโมโหจนหน้าหงิก หลี่ซื่อผู้นี้เกินไปแล้วจริง ๆ ช่างไม่เห็นนางอยู่ในสายตา!
หลี่ซื่อเข้าไปในห้องก็ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูจูซื่อ บอกกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านแม่ให้เจ้าไปขนฟืนให้เสี่ยวเม่ย อย่าให้เสี่ยวเม่ยกับคนอื่นรู้ เป็นภารกิจลับ”
จูซื่อฟังแล้วก็กระซิบว่า “ท่านแม่เอ็นดูเสี่ยวเม่ยที่สุดจริง ๆ ด้วย”
เขายังคิดว่าจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ เสี่ยวเม่ยจะหัวเน่าแล้วเสียอีก
กลายเป็นว่ายังไม่ทันได้กินข้าวก็ต้องทำงานเสียแล้ว
ถึงในใจจะไม่ยินดี แต่ก็ยังออกไปช่วยทำให้อยู่
ตอนที่ออกไปก็เจอภรรยาของน้องห้าเข้าพอดี นางอารมณ์บูดบึ้ง หน้าตาบิดเบี้ยว ทั้งยังมองเขาตาขวาง
จูซื่อไม่เข้าใจ “…” สายตาน้องห้าไม่ดีใช่หรือไม่ถึงได้ไปเลือกสตรีที่สายตามีปัญหาแบบนี้เข้า?
พอไปถึงห้องครัว เขาก็เห็นว่าจูปาเม่ยกำลังตักน้ำจากโอ่งไปใส่หม้ออย่างกินแรง
ครั้นได้กลิ่นจากร่างของนางแล้ว จูซื่อก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ “ข้าเอาฟืนวางไว้ให้ตรงนี้ เจ้าก็หาวิธีเอาเข้าไปเองแล้วกัน ข้าไปกินข้าวล่ะ”
ไม่รอให้เสี่ยวเม่ยตอบก็วิ่งหนีจากไป
แม่เจ้า ดมกลิ่นนี้นาน ๆ จะกินข้าวลงหรือไม่?
น่าขยะแขยงยิ่งนัก!
รู้สึกว่าเหม็นกว่าห้องส้วมเสียอีก
จูปาเม่ยกำหมัดอย่างแค้นเคือง “…”
พี่สี่ที่สมควรตาย ท่านรอไปเถอะ อีกหน่อยข้าได้ดีแล้วอย่าคิดมาเสพสุขด้วยเชียว!
จูซื่อกลับไปถึงห้องโถงก็เห็นมารดาของเขาแบ่งอาหารเที่ยงให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว
นอกจากมันเทศของเย่อวี๋หรานกับจูเหล่าโถวที่หัวใหญ่หน่อย ผู้ใหญ่คนอื่น ๆ ล้วนได้รับมันเทศสองหัวขนาดเท่า ๆ กัน ของเด็กจะค่อนข้างหัวเล็ก ส่วนน้ำแกงผักได้คนละหนึ่งถ้วย ส่วนที่เหลือยังสามารถแบ่งปันกันได้อีกคนละถ้วย
“เอาล่ะ กินข้าวกันเถอะ” จูเหล่าโถวสั่งความ ทุกคนจึงเริ่มกินข้าว
ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่ามองมันเทศที่สูญเสียกลิ่นหอมก็รู้สึกร้อนตัว พวกเขากินไปพลางแอบมองท่านย่าไปพลาง กลัวว่าท่านย่าจะสังเกตพบว่าพวกเขา ‘กิน’ กลิ่นหอมของมันเทศไปจนหมด
มีประสบการณ์จากตอนกินแป้งกรอบมาแล้ว ทุกคนก็มีความอดทนอดกลั้นมากขึ้น มองเย่อวี๋หราน ดูว่านางกินอย่างไร ตนเองค่อยทำตาม
เนื่องจากเสียเวลาอยู่ข้างนอกนาน มันเทศจึงหายร้อนแล้ว เย่อวี๋หรานหยิบขึ้นมาทดสอบอุณหภูมิสักหน่อย พบว่าแค่ยังอุ่น ๆ ก็รู้แล้วว่าควรทำอย่างไร
นางลอกเปลือกพลางพูดว่า “นี่เรียกว่ามันเทศ จะกินสด ๆ หรือนำไปปรุงสุกก็ได้ แบบกินสดนั้นเมียเจ้าสี่ให้พวกเจ้าลองชิมแล้ว ส่วนแบบกินสุกนี่มีวิธีกินหลายวิธี นี่เป็นเพียงวิธีกินแบบหนึ่งเท่านั้น มันเทศที่เพิ่งเอาออกมาจากหม้อดูแล้วเหมือนไม่ร้อน แต่ที่จริงร้อนลวกปากเลยทีเดียว ดังนั้นเวลากินต้องระวัง ลองทดสอบอุณหภูมิก่อนค่อยกิน ครั้งนี้ตอนที่พวกเรากลับมามันก็ถูกยกลงจากหม้อแล้ว จับดูก็แค่อุ่นๆ เท่านั้น แสดงว่าข้างในมันไม่ร้อนแล้ว กินได้เลยไม่มีปัญหา”
กล่าวถึงตรงนี้ นางก็หยุดไปครู่หนึ่ง มองคนรอบโต๊ะที่กำลังลอกเปลือกมันเทศตามนาง
หลี่ซื่อเป็นคนใจร้อน นางเริ่มกินไปก่อนแล้ว ครั้นกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ของมันเทศกระจายในช่องปาก สัมผัสนุ่มหนึบนั้นทำให้นางตื่นเต้นยินดี “ท่านแม่ อันนี้อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ!”
“จริงด้วย หวาน ๆ นุ่ม ๆ อร่อยมาก” จูซานยัดเข้าปาก ดื่มด่ำกับรสชาติเลิศล้ำของมันเทศ ชมเชยออกมาว่า “อร่อยสุดยอด!”
MANGA DISCUSSION