บทที่ 18 ดังนั้น เมื่อเช้านี้ข้าเกือบจะได้แบกหม้อก้นดำแล้ว?
“เจ้าเหมือนจะยังไม่เข้าใจว่าตัวเองผิดตรงไหน?” เย่อวี๋หรานถาม
จูปาเม่ยงุนงง นางร้องไห้โศกเศร้าเสียใจเป็นเรื่องจริง ตระหนักว่าตนเองทำให้มารดาโกรธก็เป็นเรื่องจริง แต่เห็นได้ชัดว่านางยังไม่เข้าใจว่าตกลงแล้วนางทำ ‘ผิด’ ที่ใด
เย่อวี๋หรานทอดถอนใจ “ต้องโทษข้า ข้าเป็นแม่ที่ไม่ดีเอง ไม่ได้สอนเจ้าให้ดี พูดให้น่าฟังหน่อยก็คือไร้เดียงสา พูดให้ไม่น่าฟังก็คือรนหาที่ตาย โง่เขลาสิ้นดี”
“ท่านแม่ ทำไมท่านพูดเช่นนี้?”
“ถ้าอย่างนั้นข้าถามเจ้า เจ้าผิดตรงไหน?”
จูปาเม่ยไม่ยินดี แต่กลับไม่กล้าเถียง ความผิดใหญ่หลวงที่สุดของนางอย่างนั้นหรือ? ก็คือทำให้ท่านแม่โกรธล่ะสิ
“ข้อแรก ข้าเป็นแม่เจ้า ตอนที่ข้าป่วยในฐานะลูกสาวก็ควรจะดูแลอยู่ข้าง ๆ ข้อสอง เจ้าเจ็ดโง่งมอย่างไรก็ยังเป็นพี่เจ็ดของเจ้า ต่อหน้าคนนอกเจ้าควรจะปกป้องเขา ไม่ยอมให้ใครมารังแกเขา เจ้ารังแกเขาก็คือเจ้าโง่”
“ข้าจะโง่ได้อย่างไร?”
“เขาเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเจ้า ต่อให้เจ้าไม่ได้เคารพเขาจากใจจริง น้องสาวคนหนึ่งควรมีท่าทีอย่างไรต่อพี่ชายแท้ ๆ ของตนเอง เจ้าก็ควรจะทำออกมาเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะหาว่าเจ้า ‘ไม่เคารพพี่ชาย’ แค่จุดนี้ก็สามารถบีบเจ้าจนตายได้ เจ้ายังคิดจะไปเป็นสาวใช้บ้านสกุลใหญ่หรือ แม้กระทั่งหลักการตื้น ๆ แบบนี้ก็ยังไม่เข้าใจ เจ้าเข้าไปก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น” เย่อวี๋หรานกล่าวอย่างเย็นชา
จูปาเม่ยกลัวจนคอหด
นางไปบ้านสกุลใหญ่ก็เพื่อเป็นอนุภรรยาเสพโชคลาภวาสนา ไม่ใช่ไปตายเสียหน่อย
“กฎระเบียบบ้านสกุลใหญ่มีมากยิ่งนัก ถ้าเจ้าไม่รู้จักควบคุมตัวเอง เก็บงำความคิดให้มิดชิด ทำตามกฎอย่างเคร่งครัดไม่พลาดแม้แต่ก้าวเดียว แล้วยังคิดจะเข้าไปเสพโชคลาภวาสนา? ฝันไปเถอะ เจ้าเข้าไปแล้ว ข้ากับพ่อของเจ้าคงจะได้แต่ศพกลับมา เจ้าคิดว่าแม่ของเจ้าอยู่ในนั้นตั้งหลายปีก็อยู่มาเสียเปล่าอย่างนั้นหรือ? ถ้าเจ้ามีความสามารถได้สักครึ่งหนึ่งของแม่เจ้าในตอนนั้น ข้าคงจะส่งเจ้าไปนานแล้ว ยังจะเก็บเจ้าไว้ในเรือนอยู่ทำไม?”
จูปาเม่ยเอ่ยเสียงเบาหวิว “ท่านแม่บอกว่าครอบครัวเราไม่มีเงินไม่ใช่หรือ…”
เย่อวี๋หรานถลึงตาใส่นาง
จูปาเม่ยปิดปากฉับ
“ข้อสาม ผู้อาวุโสพูดอะไร ผู้เยาว์ก็ควรฟัง” เย่อวี๋หรานกวาดตามองลูกชายกับลูกสะใภ้ รวมถึงหลานชายสองคนก็ไม่ละเว้น
ต้าเป่าและเอ้อร์เป่ารีบหลบไปอยู่ข้างขามารดา กลัวว่าจะถูกจับออกไปโบย
ลูกชายกับลูกสะใภ้คิดขึ้นมาพร้อมกันว่า วันนี้ข้าคงไม่ได้ทำอะไรผิดไปหรอกนะ?
จูเหล่าโถวลอบคิดว่า เมียเฒ่าเอาแต่แสดงบารมีอยู่นั่นแหละ นางยังจะกินข้าวอยู่ไหม? เสี่ยวเม่ยมีสภาพแบบนั้น ไม่ใช่เพราะนางเป็นคนทำหรอกหรือ?
“ไม่ว่าข้าจะพูดถูกหรือผิด ในเมื่อข้าเป็นผู้อาวุโส ตอนที่ข้าพูดอยู่ไม่ว่าใครก็ห้ามสอดปาก ทุกคนทำได้แค่ฟัง” สุดท้ายสายตาเย่อวี๋หรานก็ตกลงบนร่างของจูปาเม่ย แล้วถามว่า “เข้าใจหรือยัง?”
จูปาเม่ยพยักหน้าอย่างว่าง่าย “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“ดี ไม่ว่าในใจเจ้าคิดอะไร อย่างน้อยข้างนอกเจ้าก็ต้องแสดงว่าเชื่อฟังออกมา”
จูปาเม่ย “…”
ท่านแม่ ท่านกำลังสอนให้ข้าหลอกลวงท่านอยู่หรือ?
“ข้อสี่”
จูปาเม่ยอยากจะร้องไห้ ยังจะมีอีก?!
“ตัวเองรู้สึกโกรธก็เอาความผิดของคนอื่นมาลงโทษตัวเอง ตอนกินข้าวเจ้าสะบัดหน้าใส่ข้า จงใจแสดงท่าโกรธกระฟัดกะเฟียดกลับห้องไปไม่กินข้าว ร่างกายเป็นของเจ้าไม่ใช่ของคนอื่น เจ้าคิดว่าเจ้าไม่กินข้าว นอกจากคนที่กังวลสนใจเจ้าจริง ๆ ยังมีใครสงสารเจ้าอีกอย่างนั้นหรือ?” เย่อวี๋หรานพูดต่อว่า “ต่อให้โกรธอยู่ ก็ไม่ควรเอาความโกรธมาลงกับร่างกายตัวเอง ถ้าจะทำก็ระบายออกมาใส่คนอื่น เจ้าทำร้ายตัวเอง คิดว่าจะมีสักกี่คนที่คนสงสารเจ้า? ถ้าไม่มี คนที่เสียเปรียบก็เป็นเจ้าเองไม่ใช่หรือ? เจ้าคงไม่คิดว่าพอเข้าไปในบ้านตระกูลใหญ่แล้วยังจะมีคนสงสารเจ้าเหมือนที่บ้านหรอกนะ? ฝันไปเถอะ ต่อให้เจ้าตายที่นั่น คนอื่นแม้แต่จะมองเจ้าก็ยังไม่มอง”
จูปาเม่ยเย็นสันหลังวาบ คงไม่ใช่หรอกกระมัง?
“ถ้าเจ้าอยากไปจริง ๆ ก็ต้องเข้าใจหลักการข้อหนึ่ง คนที่หัวเราะเป็นคนสุดท้ายจึงจะเป็นผู้ชนะที่แท้จริง ปีนั้นแม่พลาดท่าก็เพราะแบบนี้ ย่ามใจเร็วเกินไป จึงได้ถูกคนอื่นเอาเปรียบ ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่มีเจ้าแล้ว”
จูปาเม่ยคิดถึงความร้ายกาจของมารดาแล้วก็เงียบไป
คนทั้งครอบครัวถูกท่านแม่จัดการได้หมด ตัวนางเองไม่มีความสามารถเช่นนี้จริง ๆ
จุดนี้กลับทำให้คนสกุลจูทั้งหมดเห็นพ้องด้วย เสี่ยวเม่ยไม่มีความสามารถถึงครึ่งหนึ่งของมารดาจริง ๆ นั่นแหละ ดูเหมือนเรื่องนี้จะต้องผิดหวังแล้ว
“ข้อห้า”
ครั้นได้ยินมารดาเอ่ยคำว่า ‘ข้อห้า’ จิตใจของจูปาเม่ยก็เย็นเยียบ ไร้ท่าทีตอบสนอง
“พูดออกมาแล้วทำไม่ได้” เย่อวี๋หรานมองนางพลางกล่าว “ในเมื่อเจ้าทำสงครามเย็นกับข้า หนีกลับห้องไปไม่คิดจะกินข้าวเย็น ก็ควรจะพูดได้ทำได้ ไม่ใช่ว่ารอจนข้าหลับไปแล้วก็แอบมากินแป้งกรอบในตะกร้าลับหลังข้า”
บัดนี้หลินซื่อพลันเข้าใจกระจ่าง นางว่าแล้วเชียว ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลกับแป้งกรอบในตะกร้าแน่ ๆ ที่แท้ก็ไม่ใช่สะใภ้สี่หลี่ซื่อที่แอบกิน แต่เป็นน้องสามี?!
ในขณะที่หลี่ซื่อครุ่นคิดว่า ‘ดังนั้น เมื่อเช้านี้ข้าเกือบจะได้แบกหม้อก้นดำแล้ว?’
ส่วนจูเหล่าโถว… ‘ดังนั้น เมื่อวานเสี่ยวเม่ยไม่เปิดประตูให้ ก็เพราะแอบกินแป้งกรอบ?’
“เจ้าไม่คิดว่าข้าจะรู้จำนวนแป้งกรอบหรือ? ถึงข้าจะไม่พูด แต่พี่สะใภ้ของเจ้าตื่นเช้ามา ใครบ้างจะไม่รู้? แป้งกรอบพวกนั้นหายไปไหน สาเหตุที่พวกนางไม่กล้าถาม นั่นก็เพราะพวกนางกลัวข้าที่เป็นแม่ของเจ้าถึงได้ไม่กล้าถาม เรื่องนี้ก็ผ่านไปทั้งอย่างนี้ ถ้าเป็นเรือนผู้อื่น เจ้าก็ลองดูสิ? น้องสามีอย่างเจ้าแอบกินอาหารในเรือน ชื่อเสียงแบบนี้น่าฟังหรือไม่?”
จูปาเม่ยน้อยใจ “แต่ข้าหิวนี่นา”
“รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองทำไม่ได้ ยังกล้าผลีผลามทำลงไปด้วยความคิดชั่ววูบ อย่างเจ้าไม่เรียกโง่จะเรียกว่าอะไร? คนโง่งมที่ไหนตกปากรับคำทำในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้? นี่ไม่เท่ากับว่าเจ้าขุดหลุมพรางดักตนเอง ส่งมอบจุดอ่อนของตัวเองให้ผู้อื่นหรอกหรือ? โชคดีที่นี่เป็นบ้านของพวกเราเอง ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ลองไปทำในเรือนคนอื่นสิ ผู้อื่นวางหลุมพรางเจ้าสักหน่อย น้องสามีอย่างเจ้าก็คงจะถูกไล่ออกมาแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบ้านสกุลใหญ่ เพิ่งจะก้าวเข้าไปก็คงจะถูกไล่ออกมาแล้ว ข้ากับพ่อเจ้าจะได้คนเป็น ๆ กลับมาไหม ก็ยากจะบอกได้”
“ฮือ ๆๆ…ท่านแม่ ข้าสำนึกผิดแล้วจริง ๆ ข้าจะปรับปรุงตนเองไม่ได้หรือ? ท่านพูดมาเลย ท่านจะให้ข้าปรับปรุงตัวเองอย่างไร ข้าล้วนเชื่อฟังท่านทุกอย่าง” มารดาของนางพูดขึ้นมาหน่อยก็ปาไปห้าข้อแล้ว จูปาเม่ยแทบกลัวหัวหด
รอบด้านล้วนเป็นทางตาย ด้วยสภาพนางตอนนี้เข้าไปในบ้านสกุลใหญ่แล้วยังจะมีชีวิตออกมาอยู่หรือ?
นางคิดมาตลอดว่าตนเองฉลาดกว่ามารดา ต่อไปไม่มีทางแพ้ให้มารดาของนาง จะเป็นอนุภรรยาอย่างมั่นคง ใช้ชีวิตสุขสบาย แต่สุดท้ายกลายเป็นว่า…
ฮือ ๆๆๆ ชีวิตสุขสบายที่ไหนกัน นี่มันเอาชีวิตไปทิ้งชัด ๆ
เพื่อชีวิตสุขสบายในอนาคต นางยอมจ่ายค่าตอบแทนราคาแพง ขอเพียงท่านแม่ยอมสอนนาง อย่าว่าแต่ให้สำนึกผิด จะให้นางคุกเข่าก็ยอม
เพียงแต่จูปาเม่ยคิดผิดแล้ว เย่อวี๋หรานไม่มีนิสัยชอบสั่งให้คนคุกเข่า เพียงแต่เพื่อจะแสดงอำนาจต่อหน้านาง เย่อวี๋หรานจึงไม่ได้สั่งให้นางลุกขึ้น
“สำนึกผิดแล้วจริง ๆ?” เย่อวี๋หรานถาม
“อื้ม สำนึกผิดแล้วจริง ๆ เจ้าค่ะ”
“ต่อไปเจ้าจะเชื่อฟังข้าทุกอย่าง ข้าว่าอย่างไรก็เป็นเช่นนั้น?”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่ว่าอย่างไรก็เป็นเช่นนั้น” ภายใต้ท่าทีสำนึกผิด จูปาเม่ยแสดงออกมาอย่างค่อนข้างจริงใจทีเดียว
เย่อวี๋หรานไม่สนว่านางจะยอมรับจริงหรือไม่จริง นางต้องการให้จูปาเม่ยแสดงท่าทีออกมาเท่านั้น นางกล่าวว่า “ดี งั้นเจ้าไปจัดการต้มน้ำชำระร่างกาย ทำความสะอาดภายในห้อง ยังมีเสื้อผ้าที่เจ้าทำสกปรกอีก เอามาซักให้หมด เดี๋ยวข้าจะไปตรวจดู ถ้าผ่านการตรวจสอบแล้ว เรื่องนี้ก็ถือว่าแล้วกันไปครึ่งหนึ่ง”
“หา? แค่ครึ่งเดียว?!” จูปาเม่ยเงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง
“ทำไม เจ้าไม่ยินดี?” เย่อวี๋หรานไม่อธิบาย เพียงชายตามองนางอย่างเย็นชา
MANGA DISCUSSION