บทที่ 147 คนโปรดกับคนที่ไม่ได้รับความโปรดปราน
เย่อวี๋หรานคิดไม่ถึงว่าหลี่ซื่อจะคลอดเร็วขนาดนี้จึงรีบเปิดผ้าห่มออกดู
ศีรษะของทารกโผล่ออกมาแล้ว
“เมียเจ้าใหญ่ รีบเอากรรไกรไปจุ่มน้ำร้อนเร็วเข้า หัวเด็กออกมาแล้ว”
ชาติที่แล้วเย่อวี๋หรานเคยได้ยินคนพูดกันว่าขั้นตอนที่ยากที่สุดของการคลอดบุตรก็คือศีรษะของทารก เมื่อศีรษะของทารกออกมาแล้ว ขั้นตอนหลังจากนั้นก็จะสิ้นสุดอย่างรวดเร็ว
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะระหว่างที่หลิ่วซื่อกุลีกุจอเอากรรไกรไปลวกในน้ำร้อน หลี่ซื่อที่พักยกหายใจก็ออกแรงอีกครั้ง จากนั้นร่างกายของทารกก็ตามออกมา
ยามนั้นเย่อวี๋หรานนึกยินดียิ่งนัก ชาติที่แล้วนางอาจไม่เคยคลอดลูกมาก่อน แต่เจ้าของร่างเดิมเคยคลอดลูกมาแล้วนี่นา
ดังนั้นทารกคลอดออกมาแล้วต้องทำอย่างไรบ้าง นางกระจ่างใจยิ่งนัก
ตัดสายสะดือ เอาเชือกป่านมารัดไว้ ทาผงขี้เถ้า…
น้ำร้อนอ่างที่สองมาถึงช้า แต่ยังร้อนอยู่มาก ยังไม่อาจนำมาใช้ได้
เย่อวี๋หรานสั่งให้คนเอาอ่างน้ำตักน้ำมาผสมน้ำร้อน กระทั่งสัมผัสแล้วอุ่น ๆ จึงเอาผ้าเช็ดหน้าจุ่มน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้ทารก
“ท่านแม่ ทำไมเขาไม่ร้องเลยเจ้าคะ คงไม่ได้เป็นเด็กสมองทึ่มหรอกนะ?!” หลี่ซื่อที่นอนบนเตียงยังมีสติอยู่ นางเบิกตากว้าง เหมือนไม่อยากเชื่อว่าเด็กจะคลอดออกมาทั้งอย่างนี้
“เหลวไหล เมื่อครู่เขาร้องอุแว้แล้วไม่ใช่รึ?” เย่อวี๋หรานกล่าว
“นั่นก็เรียกว่าร้องไห้? พูดกันว่าทารกยิ่งร้องไห้เสียงดังก็ยิ่งแข็งแรงไม่ใช่หรือเจ้าคะ?” หลี่ซื่อกังวล หากตนเองคลอดเด็กผู้ชายออกมาก็ช่างเถอะ ถ้ายังเป็นคนสมองทึ่มเหมือนจูชีอีกคน จะไม่ถูกแม่สามีรังเกียจไปจนตายเลยหรือ?
“มีคำกล่าวแบบนี้อยู่จริง ๆ แต่ความหมายของคำกล่าวนี้ก็คือ ทารกร้องไห้เสียงดังแสดงให้เห็นว่าปาก ลำคอ และคอหอยของเขาใช้งานได้ดี ไม่มีปัญหา ดังนั้นเขาสามารถเติบใหญ่ได้แข็งแรง แต่ลูกของเจ้าร้องก็ร้องไปแล้ว ลมหายใจต่อเนื่องสม่ำเสมอ หมายความว่าไม่มีปัญหาอะไร” เย่อวี๋หรานจัดแจงทารกเสร็จแล้วก็อุ้มเขาไปวางไว้บนทรวงอกของหลี่ซื่อ
พร้อมทั้งแสดงแขนขาเล็กจ้อยของเด็กน้อย รวมถึงดวงตาและใบหูให้หลี่ซื่อดู เพื่อให้นางมั่นใจว่าแขนขาและอวัยวะทั้งห้าของเขาล้วนไม่มีปัญหา
หลี่ซื่อเวียนศีรษะ มองเจ้าตัวเล็กที่ผอมกะหร่องราวกับลูกลิง ไม่อยากเชื่อว่านั่นคือลูกที่ตนเองคลอดออกมา “อัปลักษณ์ยิ่งนัก”
เย่อวี๋หรานใบ้กินอีกครั้ง “ทารกเกิดใหม่คนไหนไม่เป็นแบบนี้บ้าง?”
หลิ่วซื่อที่อยู่ข้าง ๆ อมยิ้ม “ล้วนเป็นเช่นนี้ มองไปเหมือนผ้าขี้ริ้ว แต่ผ่านไปหลายวันเดี๋ยวก็มีเนื้อมีหนังขึ้นมาแล้ว”
“งั้นหรือ ท่านแม่ ทำไมท่านไม่ใส่เสื้อผ้าให้เขาล่ะเจ้าคะ?” หลี่ซื่อกังขา
“รีบอะไร? เขาเพิ่งเกิด โลกใบนี้ยังคงแปลกหน้าสำหรับเขา จำเป็นต้องได้รับความรักจากมารดา อยู่กับเจ้าเขาจะได้รู้สึกมั่นคงปลอดภัย นอกจากนี้ พอเขาอิงอกเจ้าจนหนำใจแล้ว เขายังต้องเร่งน้ำนมให้เจ้าอีก”
หลี่ซื่อมีสีหน้าสนเท่ห์ “อะไรนะเจ้าคะ?”
หลิ่วซื่อก็ไม่ค่อยเข้าใจเช่นกัน เพราะตอนที่นางคลอดลูก แม่สามีไม่ยอมเข้ามาในห้องคลอดด้วยซ้ำ ไม่รู้สักนิดว่าแม่สามีจะ ‘พิถีพิถัน’ ขนาดนี้
ระหว่างที่พวกนางรอให้หลี่ซื่อคลอดรกออกมา หมอตำแยก็มาถึงอย่างล่าช้า
“คลอดเร็วขนาดนี้เชียว? ขอแสดงความยินดีด้วย” หมอตำแยได้ยินว่าคลอดเด็กออกมาแล้วก็ไม่รู้สึกว่าตนเองมาเสียเที่ยวสักนิด นั่นลูกสะใภ้ของหญิงเฒ่าเจ้าเล่ห์เชียวนะ นางจะล่วงเกินใครก็ได้แต่ไม่อาจล่วงเกินหญิงเฒ่าเจ้าเล่ห์
“ท่านแม่ ข้ายังไม่เห็นลูกเลย เขาหน้าตาอย่างไรขอรับ? เหมือนข้าหรือไม่?” จูซื่อชะเง้อชะแง้อยู่ข้าง ๆ ด้วยความอยากเห็นหน้าลูก
“เจ้ารีบอะไร? รอข้างนอกไปก่อน” เย่อวี๋หรานรู้จักวางตัวกว่าเจ้าของร่างเดิม ไม่ปล่อยให้หมอตำแยมาเสียเปล่า
นางไม่เพียงนำเงินสิบอีแปะมาให้เท่านั้น แต่ยังให้หลินซื่อเอาเต้าหู้ชิ้นหนึ่งมาให้หมอตำแย จากนั้นก็ส่งคนกลับไป
หลังคลอดออกมาแล้ว เย่อวี๋หรานก็บอกหลิ่วซื่อเช็ดตัวให้หลี่ซื่อแล้วเปลี่ยนผ้าห่มให้อีกครั้ง ต่อมาค่อยสังเกตว่าห้องนั้นมีปัญหาเรื่องการระบายอากาศ
“ท่านแม่ น้องสะใภ้สี่เพิ่งคลอดลูก ไม่ควรถูกลมใช่ไหมเจ้าคะ?” หลิ่วซื่อได้ยินว่าต้องเปิดประตูหน้าต่างทิ้งไว้ก็นึกกังวล แต่นางไม่กล้าคาดคั้นหาเหตุผลกับมารดา จึงได้แต่เอ่ยถามเสียงเบา
นางคิดว่าทำแบบนี้จะได้ไม่ผิดต่อหลี่ซื่อ
“อากาศร้อนเพียงนี้ เจ้าคิดจะปล่อยให้เมียเจ้าสี่ขาดอากาศหายใจตายหรือ? ไม่ได้จะให้ลมพัดถูกนางตรง ๆ เสียหน่อย แขวนเสื่อสักผืนไว้หน้าประตูก็ได้แล้ว”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่”
เย่อวี๋หรานกลับเข้าไปในห้องแล้วอุ้มซาลาเปาน้อยไปวางไว้ข้างกายหลี่ซื่อ ให้นางประคองเด็กเอาไว้เพื่อให้นมลูก
“ท่านแม่ พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าไม่ได้จะมีน้ำนมเร็วขนาดนั้น” หลี่ซื่อกล่าว
“ข้ารู้แล้ว ข้าถึงพูดว่าเร่งน้ำนม หากไม่มีเจ้าตัวเล็กช่วย คิดว่าน้ำนมเจ้าจะมาเองหรือ? ให้เขาดูดนมดี ๆ ผ่านไปสักพักก็เปลี่ยนข้าง เขาจะได้ฝึกฝนเอาไว้ด้วยว่าจะต้องดูดนมอย่างไร”
“อ้อ” หลี่ซื่อพบว่าสิ่งที่นางถามคนอื่นมาก่อนหน้านี้ไม่เหมือนกับสิ่งที่แม่สามีพูดเลย
แต่ว่าการดูแลเอาใจใส่ของแม่สามีคล้ายจะทำให้คนผ่อนคลายกว่าที่คนอื่น ๆ พูดเอาไว้
เมื่อคิดถึงว่าแม่สามีเคยเป็นสาวใช้ในบ้านสกุลใหญ่มาก่อน หลี่ซื่อก็พอเข้าใจได้ว่าสะใภ้บ้านสกุลใหญ่ย่อมแตกต่างจากสะใภ้ในชนบทอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
เย่อวี๋หรานคิดในใจว่าการพักฟื้นหลังคลอดของสะใภ้ชนบทกับสะใภ้บ้านสกุลใหญ่ไม่ได้ต่างกันตรงไหน ความต่างนั้นมาจากการที่แม่สามีของเจ้าได้เรียนวิทยาศาสตร์ในโลกสมัยใหม่มาต่างหากเล่า เข้าใจไหม?
ความรู้และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับการอยู่เดือนพวกนี้ก็ต้องขอบคุณเพื่อนร่วมงานแม่ลูกอ่อนเหล่านั้นที่พร่ำบ่นให้นางฟัง ทำให้นางฟังเข้าหูมาไม่น้อย
เดิมทียังนึกว่าตนเองแต่งงานแล้วคงได้นำความรู้เหล่านั้นไปใช้ ที่ไหนได้กลับได้นำมาใช้กับลูกสะใภ้ก่อนเสียนี่
การดูแลที่หลี่ซื่อได้รับเปรียบกับตอนที่หลิ่วซื่อคลอดลูกในปีนั้นแล้วห่างกันไกลลิบลับ นางมองสิ่งที่แม่สามีทำเพื่อน้องสะใภ้สี่อย่างเงียบ ๆ ในใจก็บังเกิดความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
ล้วนคลอดลูกชายเหมือนกัน นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างการเป็นคนโปรดกับคนที่ไม่ได้รับความโปรดปรานกระมัง?
ยามนั้น หลิวซื่อยังจงใจกระซิบริมหูนาง “เฮ้อ…ต่างก็เป็นลูกสะใภ้เหมือนกัน พวกเราสู้เมียเจ้าสี่ไม่ได้สักนิด”
หลิ่วซื่อ “…”
จูซานคิดไม่ถึงเลยว่าเขาออกไปค้างข้างนอกคืนเดียว พอกลับมาก็พบว่าตนเองมีหลานชายเพิ่มมาอีกคนเสียแล้ว?!
“คลอดแล้ว?” เขาถามจูอู่อย่างอึ้ง ๆ
“ใช่ คลอดแล้ว เป็นเจ้าตัวเล็กตุ้ยนุ้ยคนหนึ่ง ท่านแม่ทำคลอดด้วยตัวเองเลย” จูอู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เฮอะ ๆๆ…ข้าบอกท่านก็ได้ว่าตั้งแต่คลอดจนถึงตอนนี้ พี่สี่ก็ยังไม่ได้เห็นหน้าลูก ท่านแม่ไม่อนุญาตให้อุ้มออกมา ยังอยู่ในห้องโน่นแน่ะ พวกข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลานชายหน้าตาอย่างไร แต่ได้ยินพี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าวันหน้าต้องเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดีแท้ ๆ เชียว”
จูซานเหม่อลอยอยู่บ้าง ครั้นนึกถึงซาลาเปาน้อยร้อนกรุ่น ในใจก็มีความอบอุ่นขุมหนึ่งวาบผ่าน
อีกไม่นาน เขาก็คงจะมีซาลาเปาน้อยคนหนึ่งเหมือนกันกระมัง?
ส่วนจูอู่ยังคงพล่ามต่อไป
จูซานฟังแล้วก็แอบคาดหวังขึ้นมาเงียบ ๆ
“เอ้อ จริงด้วย พี่สาม ท่านกลับมาจากข้างนอกแต่เช้าแบบนี้ ออกไปไหนมาหรือ?” จูอู่เหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ จึงตบไหล่พี่ชายพลางถามโดยไม่ได้คิดอะไรมาก
“ไม่มีอะไร ก็แค่ตอนเช้านอนไม่หลับจึงออกไปเดินเล่นข้างนอก” จูซานพูดกลบเกลื่อน “แต่คิดไม่ถึงว่าพอข้าออกไปทางนี้ก็คลอดแล้ว เจ้าไปแสดงความยินดีกับพี่สี่ของเจ้าหรือยัง?”
“เรียบร้อยแล้ว ท่านไม่เห็นหรอกว่าตอนนั้นพี่สี่ยิ้มเหมือนคนโง่เลยเชียว” จูอู่พูดถึงตรงนี้ก็ลดเสียงลง “ข้าบอกท่านเลยว่าคนโปรดกับคนที่ไม่ได้รับความโปรดปรานนั้นต่างกันมากจริง ๆ เมื่อก่อนตอนที่พี่สะใภ้ใหญ่คลอดลูก ท่านแม่ไม่สนใจด้วยซ้ำ คราวนี้พี่สะใภ้สี่คลอดลูกชายเหมือนกัน แต่ท่านแม่กลับดูแลอย่างดีตั้งแต่ต้นจนจบ ใส่ใจยิ่งกว่าลูกสาวแท้ ๆ เสียอีก”
เขาพยักพเยิดให้จูซานมองไปทางเสื่อตรงประตูห้องของจูซื่อ บอกว่ามารดาสั่งให้เอามาแขวนเพราะกลัวลมจะพัดโกรกใส่หลี่ซื่อ แต่ก็กลัวว่าหลี่ซื่ออยู่ในห้องจะอุดอู้เกินไป จึงคิดวิธีการเช่นนี้ออกมา
MANGA DISCUSSION